หนองในเทียม อาการ สาเหตุ การรักษาโรคหนองในเทียม 5 วิธี

โรคหนองในเทียม

หนองในเทียม (Non-gonococcal urethritis – NGU) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยเช่นเดียวกับโรคหนองในแท้ โดยจะมีอาการที่เกิดคล้ายกัน แต่จะไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อหนอง Neisseria gonorrhoeae (เชื้อหนองในแท้) กล่าวคือถ้าไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อหนองในแท้ก็จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มหนองในเทียมทั้งหมด โดยเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคหนองในเทียมก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด อาจเป็นเชื้อแบคเรีย เชื้อไวรัส โปรโตซัวหรือเชื้อราก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Chlamydia trachomatis (พบได้ประมาณ 40%) รองลงมาคือเชื้อ Ureaplasma urealyticum (พบได้ประมาณ 30%)

ในสหรัฐอเมริกา หนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามอุบัติการณ์การเกิดที่รายงานโดยทั่วไปนั้นมักจะต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการ จึงทำให้ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคดังกล่าว ส่วนข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กองควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2548 ได้รายงานว่าพบผู้ป่วยเป็นโรคนี้เท่ากับ 26.35% ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (และน่าจะต่ำกว่าความเป็นจริงเยอะมาก ด้วยเหตุผลดังกล่าว)

สาเหตุของหนองในเทียม

เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคหนองในเทียมมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด โดยอาจจะเป็นเชื้อแบคเรีย เชื้อไวรัส โปรโตซัวหรือเชื้อราก็ได้ ซึ่งประมาณ 20% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะไม่ทราบเชื้อที่เป็นต้นเหตุอย่างแน่ชัด, ประมาณ 40% จะเกิดจากเชื้อคลามัยเดียทราโคมาติส (Chlamydia trachomatis) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรีย (เชื้อนี้มีพันธุ์ย่อยอีกหลายชนิด ซึ่งบางชนิดสามารถทำให้เป็นฝีมะม่วงได้), ประมาณ 30% เกิดจากเชื้อยูเรียพลาสมายูเรียไลทิคัม (Ureaplasma urealyticum) นอกจากนั้นยังอาจเกิดได้จากเชื้ออื่น ๆ เช่น เชื้อโปรโตซัวที่มีชื่อว่า ทริโคโมแนสวาจินาลิส (Trichomanas vaginalis), เชื้อไวรัสเริม เป็นต้น

การติดต่อของโรคหนองในเทียม : มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ (โดยไม่สวมถุงยางอนามัยในขณะมีเพศสัมพันธ์) ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก ซึ่งรวมถึงการที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย หรือผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง ก็สามารถทำให้ติดเชื้อหนองในเทียมได้เช่นกัน (เพราะเชื้อหนองในเทียมสามารถติดต่อได้ทางทวารหนัก หรือจากการที่อวัยวะเพศสัมผัสกัน) นอกจากนี้ยังอาจติดต่อจากแม่ไปสู่ลูกในขณะที่มีการคลอดปกติทางช่องคลอดได้อีกด้วย

กลุ่มเสี่ยง : ผู้ที่มีคู่นอนจำนวนมาก (ยิ่งมีคู่นอนมากเท่าไร โอกาสการติดเชื้อก็จะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น), เด็กวัยรุ่นโดยเฉพาะผู้หญิงที่เยื่อบุปากมดลูกยังไม่มีการพัฒนาอย่างเต็มที่ (มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้นหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาดังกล่าว)

ระยะฟักตัวของโรค : หลังจากได้รับเชื้อมักจะแสดงอาการภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น

หนองในเทียม

อาการของหนองในเทียม

อาการหนองในเทียม

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหนองในเทียม

ผู้ป่วยที่เป็นโรคหนองในเทียมโดยที่มีหรือไม่มีอาการก็ตาม หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนี้

การรักษาโรคหนองในเทียม

หลังการรักษาโรคหนองในเทียมจะหายเมื่อไหร่

โรคหนองในเทียมอาจเป็นเรื้อรังและรักษาให้หายได้ยากกว่าโรคหนองในแท้ เนื่องจากส่วนใหญ่จะตรวจไม่พบเชื้อที่เป็นต้นเหตุ แต่สำหรับโรคหนองในเทียมที่เกิดจากเชื้อคลามัยเดีย (ซึ่งเกิดได้เป็นส่วนใหญ่) จะรักษาให้หายขาดได้ภายใน 14 วัน หากรับประทานยาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาพบว่าประมาณ 20-30% อาจหายจากโรคหนองในเทียมได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ และประมาณ 60% จะหายได้เองภายใน 8 สัปดาห์

วิธีป้องกันโรคหนองในเทียม

  1. เลือกมีคู่นอนเพียงคนเดียว และจะแน่นอนยิ่งขึ้นหากคู่นอนได้รับการตรวจแล้วว่าไม่มีการติดเชื้อใด ๆ ส่วนวิธีอื่นที่ได้ผลก็ได้แก่ การใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี
  2. หลีกเลี่ยงการเที่ยวกลางคืนหรือการสำส่อนทางเพศ และถ้าจะหลับนอนกับคนอื่นหรือคนที่สงสัยว่าจะมีเชื้อ ควรใช้ถุงยางอนามัยเสมอ ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคนี้ได้เกือบ 100% (ส่วนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ อาจจะได้ผลไม่เต็มที่ และยังมีโอกาสติดเชื้อได้บ้าง)
  3. ในผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีอายุ 25 ปีหรือน้อยกว่า และผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 25 ปีและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่มีคู่นอนคนใหม่ หรือมีคู่นอนในช่วงเวลาเดียวกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคหนองในเทียมอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปีเพื่อความมั่นใจ และอาจจะตรวจมากกว่า 1 ครั้งต่อปีในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือตรวจตามคำแนะนำของแพทย์
  1. ควรดื่มน้ำก่อนร่วมเพศและถ่ายปัสสาวะทันทีหลังร่วมเพศ หรือฟอกล้างสบู่ทันทีหลังร่วมเพศ อาจช่วยลดการติดเชื้อลงได้บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ผลทุกราย
  2. กินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคภายหลังการร่วมเพศอาจได้ผลบ้าง แต่ต้องเป็นยาชนิดและขนาดเดียวกันกับที่ใช้ในการรักษา (ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยคุ้มเท่าใดนัก สู้รอให้ผลตรวจออกมาหรือมีอาการแสดงออกมาแล้วค่อยรักษาไม่ได้ อีกทั้งยังไม่อาจป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ ได้ด้วย)
  3. การกินยาล้างลำกล้อง ซึ่งเป็นยาระงับเชื้อ (Antiseptic) ไม่ใช่ยาทำลายเชื้อ จึงไม่ได้ผลในการป้องกัน (ยานี้กินแล้วจะทำให้ปัสสาวะเป็นสีแปลก ๆ เช่น สีแดง สีเขียว)
  4. หากมีอาการที่บ่งชี้ว่ากำลังเป็นโรคหนองในแท้ หนองในเทียม หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์และรีบไปพบแพทย์ เพราะหากผลตรวจออกมาพบว่าเป็นโรคหนองในเทียม และผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนดังที่กล่าวมาได้ นอกจากนี้ยังต้องแจ้งให้คู่นอนที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยภายในช่วง 60 วันที่ผ่านมาได้ทราบเพื่อเข้ารับการตรวจรักษาที่เหมาะสมจนกว่าจะหายดี ก่อนที่จะเริ่มมีเพศสัมพันธ์อีกครั้ง

วิธีป้องกันหนองในเทียม

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “หนองในเทียม (Nonspecific urethritis/NSU / Nongonococcal urethritis/NGU)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1041-1042.
  2. หาหมอดอทคอม.  “หนองในเทียม (Chlamydia infection)”.  (รศ.พญ.วรลักษณ์ สมบูรณ์พร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [12 มี.ค. 2016].
  3. โครงการสุขภาพแรงงานไทย ขององค์กรชุมชนเอเชียต้านโรคเอดส์.  “CHLAMYDIA หนองในเทียม”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : amfw.acas.org.  [13 มี.ค. 2016].

ภาพประกอบ : www.wikihow.com, www.safersex.co.za

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคหนองในเทียม
  • 2 สาเหตุของหนองในเทียม
  • 3 อาการของหนองในเทียม
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของโรคหนองในเทียม
  • 5 การรักษาโรคหนองในเทียม
  • 6 หลังการรักษาโรคหนองในเทียมจะหายเมื่อไหร่
  • 7 วิธีป้องกันโรคหนองในเทียม
  • 8 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ