หนองใน อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคหนองในแท้ 6 วิธี

โรคหนองในแท้

หนองในแท้ หรือ โรคโกโนเรีย (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (กามโรค) ที่พบได้มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาการมักเป็นรุนแรงและชัดเจนจนผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาอาการจะดีขึ้นได้เองเพียงเล็กน้อย แต่ตัวโรคยังคงเป็นอยู่ และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้

ในประเทศไทยมีรายงานจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ. 2551 พบว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคหนองในจำนวน 6,168 ราย หรือคิดเป็น 15.43% ของผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหมด หรือคิดเป็น 9.76 ต่อประชากร 100,000 คน

สาเหตุของหนองใน

หนองในเกิดจากการติดเชื้อหนองในซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “ไนซีเรีย โกโนเรียอี” (Neisseria gonorrhoeae) หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า “โกโนค็อกคัส” (Gonococcus ) ซึ่งสามารถตรวจพบได้ในน้ำอสุจิและสารน้ำในช่องคลอด จึงถ่ายทอดผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้สามารถเจริญได้ดีในที่ชื้นและที่อบอุ่นของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ตั้งแต่ปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก ท่อปัสสาวะ (ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง) นอกจากนี้ยังสามารถเจริญในบริเวณอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ทวารหนัก เยื่อบุตา ช่องปากคอ เป็นต้น

หนองใน

หนองในแท้

อาการของหนองใน

อาการหนองใน

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหนองใน

การวินิจฉัยโรคหนองใน

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหนองในได้จากประวัติทางการแพทย์ เช่น เรื่องคู่นอน เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ สเปกติโนมัยซิน การตรวจร่างกาย การตรวจบริเวณอวัยวะเพศ การตรวจภายใน (ในผู้หญิง) แล้วนำหนองจากปากมดลูก ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก หรือช่องคอ ไปย้อมสีและส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือนำไปเพาะเชื้อ (การเก็บเชื้อส่งตรวจแพทย์จะทำการตรวจทุกตำแหน่งที่มีเพศสัมพันธ์ เช่น ถ้ามีเพศสัมพันธ์ทางปากจะต้องตรวจเชื้อในคอด้วย, ถ้ามีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักก็ต้องตรวจทางทวารหนักด้วย เป็นต้น)

ในขั้นตอนการวินิจฉัยเบื้องต้น สามารถทำได้แล้วเสร็จภายใน 1 วัน ส่วนผลการเพาะเชื้อจะทราบได้ภายใน 1 สัปดาห์ เมื่อผลตรวจออกมาว่าเป็นเชื้อหนองใน ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจเลือดเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ โรคติดเชื้อเอชไอวี, โรคซิฟิลิส และโรคไวรัสตับอักเสบบี

สำหรับความแม่นยำในการตรวจนั้นจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งและปริมาณของเชื้อหนองในเป็นหลัก โดยพบว่าการตรวจที่บริเวณคอจะมีความแม่นยำน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่มีการตรวจใดที่ให้ผล 100% ดังนั้นหากผู้ป่วยยังคงมีอาการอยู่ ทั้ง ๆ ที่ผลตรวจเป็นลบ ก็ควรกลับมาตรวจติดตามเพื่อประเมินซ้ำอีกครั้ง ในทางกลับกัน หากผู้ป่วยไม่มีอาการแต่ผลการตรวจเป็นบวก (ติดเชื้อ) ก็ควรไปรับการรักษาจากแพทย์อย่างครบถ้วน

วิธีรักษาโรคหนองใน

การดูแลตัวเองของผู้เป็นโรคหนองใน

  1. หากมีอาการปัสสาวะแสบขัด หรือมีอาการปวด หรือมีผื่นขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์แล้วรีบไปพบแพทย์ ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคหนองในหลังได้รับการรักษาแล้ว เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำอีก ควรบอกให้คู่นอนมารับการรักษาด้วย และให้งดมีเพศสัมพันธ์ไปจนกว่าจะหายดีแล้วทั้งคู่
  2. ผู้ที่เป็นโรคหนองในทุกคนจำเป็นต้องได้รับการรักษา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่จะแสดงอาการหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคหนองใน และบางรายมีอาการดีขึ้นเองก็ตาม แต่ไม่แนะนำให้เพิกเฉยไม่ไปรับการรักษา เพราะผู้ป่วยจะยังคงแพร่เชื้อไปยังคู่นอนได้อยู่ และยังรับเชื้อกลับเข้ามาได้อีก ซึ่งอาจทำให้พบภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้งที่ได้รับเชื้อเข้าไปจนเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้
  3. ในระหว่างการรักษาหนองในห้ามมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อ (ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ จะต้องใช้ถุงยางอนามัยอย่างเคร่งครัด) และต้องงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 เดือน เพราะแอลกอฮอล์หรือเหล้าจะทำให้หนองไหลมากขึ้น
  4. ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องอาหารแสลงของโรคหนองใน เช่น หูฉลาม อาหารทะเล หน่อไม้ สาเก เป็นต้น ในทางการแพทย์ยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัด แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือ ต้องงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดเป็นเวลา 1 เดือน เพราะหากไม่ปฏิบัติตามจะทำให้หนองไหลมากยิ่งขึ้น ส่วนอาหารอื่น ๆ ถ้ากินแล้วทำให้หนองไหลมากขึ้นหรือกำเริบใหม่ก็ควรจะงดอาหารนั้น ๆ ไปก่อน
  5. ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาโรคหนองในจะมีผลต่อประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิด ในระหว่างการรักษาจึงควรงดการมีเพศสัมพันธ์ และในรอบเดือนนั้นควรใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัยอย่างเคร่งครัด
  6. หลังได้รับการรักษาแล้ว โดยมากอาการต่าง ๆ จะหายไปค่อนข้างเร็วภายใน 2-3 วันหลังเริ่มการรักษา ทั้งอาการตกขาวผิดปกติและแสบขัดเวลาปัสสาวะ ส่วนเลือดออกกะปริดกะปรอยในระหว่างรอบเดือนนั้นก็จะดีขึ้นในรอบเดือนหน้า ส่วนอาการปวดท้องน้อยและอาการปวดอัณฑะในผู้ชายจะใช้เวลานานกว่า และมักจะหายไปภายใน 2 สัปดาห์ แต่หากอาการต่าง ๆ ไม่ดีขึ้น ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินซ้ำอีกครั้ง เนื่องจากอาจพบภาวะเชื้อดื้อยาหรือโรคมีการลุกลามมากขึ้น
  7. หากได้รับการรักษาแล้วและพบว่ามีอาการที่สงสัยว่าแพ้ยา เช่น มีผื่นคันขึ้นตามตัว คลื่นไส้อาเจียน หรืออาการที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนนัด
  8. เมื่อรักษาครบแล้วควรกลับมาตรวจซ้ำจนกว่าจะแน่ใจว่าเชื้อหนองในหายสนิทในทุกตำแหน่งที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว เช่น ช่องปาก ทวารหนัก ช่องคลอด
  9. ผู้ที่เป็นโรคหนองใน หลังจากได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว หากสัมผัสโรคอีกครั้งก็จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก

ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคหนองใน

วิธีป้องกันโรคหนองใน

  1. เลือกมีคู่นอนเพียงคนเดียว และจะแน่นอนยิ่งขึ้นหากคู่นอนได้รับการตรวจแล้วว่าไม่มีการติดเชื้อใด ๆ
  2. หลีกเลี่ยงการเที่ยวกลางคืนหรือการสำส่อนทางเพศ และถ้าจะหลับนอนกับคนอื่นหรือคนที่สงสัยว่าจะเป็นหนองใน ควรใช้ถุงยางอนามัยเสมอ ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคนี้ได้เกือบ 100% (ส่วนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ อาจจะได้ผลไม่เต็มที่ และยังมีโอกาสติดเชื้อได้บ้าง)
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดหน้าและผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้ติดเชื้อ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  4. ควรดื่มน้ำก่อนร่วมเพศและถ่ายปัสสาวะทันทีหลังร่วมเพศ หรือฟอกล้างสบู่ทันทีหลังร่วมเพศ อาจช่วยลดการติดเชื้อลงได้บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ผลทุกราย
  1. กินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคภายหลังการร่วมเพศอาจได้ผลบ้าง แต่ต้องเป็นยาชนิดและขนาดเดียวกันกับที่ใช้ในการรักษา (ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยคุ้มเท่าใดนัก สู้รอให้มีอาการแสดงออกมาแล้วค่อยรักษาไม่ได้ อีกทั้งยังไม่อาจป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ ได้)
  2. การกินยาล้างลำกล้อง ซึ่งเป็นยาระงับเชื้อ (Antiseptic) ไม่ใช่ยาทำลายเชื้อ จึงไม่ได้ผลในการป้องกัน (ยานี้กินแล้วจะทำให้ปัสสาวะเป็นสีแปลก ๆ เช่น สีแดง สีเขียว)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “หนองใน (Gonorrhea)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1039-1041.
  2. ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.  “โรคหนองใน”.  (อ.พญ.เจนจิต ฉายะจินดา, พยาบาลวิชาชีพ ขวัญจิตร  เหล่าทอง).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [11 มี.ค. 2016].
  3. Centers for Disease Control (CDC).  “Gonococcal Infections”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.cdc.gov.  [04 พ.ย. 2016].

ภาพประกอบ : www.mobieg.co.za, www.cdc.gov, www.wikihow.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคหนองในแท้
  • 2 สาเหตุของหนองใน
  • 3 อาการของหนองใน
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของโรคหนองใน
  • 5 การวินิจฉัยโรคหนองใน
  • 6 วิธีรักษาโรคหนองใน
  • 7 การดูแลตัวเองของผู้เป็นโรคหนองใน
  • 8 ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคหนองใน
  • 9 วิธีป้องกันโรคหนองใน
  • 10 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
  • 11 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ