หนอนตายหยาก สรรพคุณประโยชน์ของต้นหนอนตายหยาก 29 ข้อ

หนอนตายหยาก

หนอนตายหยาก เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์หนอนตายหยาก (STEMONACEAE) เป็นพืชที่พบได้ามป่าทั่วไปในประเทศจีน ญีปุ่น อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย และไทย

โดยสามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ หนอนตายหยากเล็ก และหนอนตายหยากใหญ่[6],[7]

ลักษณะของหนอนตายหยากเล็ก

ต้นหนอนตายหยาก

รากหนอนตายหยาก

ใบหนอนตายหยาก

ใบหนอนตายหยาก

ใบหนอนตายหยาก

ลักษณะของหนอนตายหยากใหญ่

ต้นหนอนตายยาก

หนอนตายยาก

ใบหนอนตายยาก

ดอกหนอนตายยาก

ผลหนอนตายยาก

ข้อสังเกต : ความแตกต่างระหว่างหนอนตายหยากเล็กและใหญ่คือ ลักษณะของใบหนอนตายหยากเล็กจะเป็นรูปหัวใจทรงกลม ส่วนใบของหนอนตายหยากจะเป็นรูปหัวใจทรงยาว และหนอนตายหยากใหญ่จะมีกลีบดอกใหญ่กว่า รากอวบใหญ่กว่าหนอนตายหยากเล็ก[6]

สรรพคุณของหนอนตายหยาก

  1. เหง้าหรือรากมีรสขมชุ่ม เป็นยาร้อนเล็กน้อย มีพิษเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อปอดและม้าม ใช้เป็นยาแก้ไอเย็น ไอเรื้อรัง หลอดลมอักเสบ อาการไออันเนื่องมาจากเป็นวัณโรค (ราก)[3]
  2. ตำรับยาแก้อาการไอเนื่องมาจากวัณโรค ให้ใช้รากหรือเหง้าหนอนตายหยาก, เปลือกหอยแครงสะตุ, เกล็ดนิ่ม, จี๊ฮวง อย่างละเท่ากัน แล้วนำมาบดให้เป็นผง ใช้ชงกับน้ำรับประทานครั้งละ 5 กรัม วันละ 2-3 ครั้ง (ราก)[3]
  3. ช่วยขับเสมหะ รักษาวัณโรค (ราก)[4]
  4. บางข้อมูลระบุว่ามีการหนอนตายหยากเป็นยาแก้ภูมิแพ้ โดยใช้รากหนอนตายหยากและใบหนุมานประสานกาย (สดหรือแห้งก็ได้) อย่างละเท่ากัน นำมาต้มกับน้ำดื่มขณะยังอุ่นต่างน้ำทุกวัน จะช่วยแก้อาการของโรคภูมิแพ้ รวมถึงช่วยละลายเสมหะ และลดอาการไอได้ด้วย (ราก) (ข้อมูลจาก : tripod.com)
  5. ชาวเขาเผ่าม้งและเย้าจะใช้รากหรือทั้งต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มและอาบแก้โรคโปลิโอ (ราก,ทั้งต้น)[8]
  6. ใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน ให้ใช้รากสด 1 ราก ที่ล้างสะอาดแล้ว นำมาหั่นตำให้ละเอียด เติมเกลือ 1/2 ช้อนชา ใช้อมประมาณ 10-15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง ทำแบบนี้ติดต่อกันประมาณ 2-4 ครั้งจะหายปวดฟัน (ให้เว้นระยะห่างกัน 4-5 ชั่วโมง) (ราก)[4] ส่วนอีกวิธีใช้ใบนำมาตำและอมแก้อาการปวดฟัน (ใบ)[8]
  1. ในประเทศอินโดจีนจะใช้รากเป็นยารักษาโรคเจ็บหน้าอก (ราก)[7]
  2. ในประเทศจีนจะใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นยาขับผายลม (ราก)[7]
  3. ใช้เป็นยาแก้บิดอะมีบา ด้วยการใช้รากหรือเหง้าหนอนตายหยาก 5-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ราก)[3]
  4. รากมีสรรพคุณเป็นยาฆ่าเชื้อพยาธิภายในลำไส้ พยาธิตัวกลม พยาธิตัวแบน พยาธิเส้นด้าย พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิปากขอ พยาธิตัวจี๊ด ด้วยการใช้รากแห้ง 2 ราก นำมาต้มกับน้ำกินติดต่อกันประมาณ 15-20 วัน (ราก)[1],[3],[5],[8] ส่วนวิธีใช้ถ่ายพยาธิปากขอ ให้ใช้รากหรือเหง้า 100 กรัม แบ่งต้ม 4 ครั้ง จากนั้นนำมาสกัดจนเหลือ 30 ซีซี ใช้รับประทานครั้งละ 15 ซีซี โดยให้รับประทานติดกัน 2 วัน จึงจะสามารถถ่ายพยาธิปากขอออกมาได้ (ราก)[3]
  5. ตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานี จะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาถ่ายพยาธิตัวจี๊ด โดยนำรากมาผสมกับหญ้าหวายนาและชะอม ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาถ่ายพยาธิตัวจี๊ด (ราก)[5]
  6. ชาวเขาเผ่าม้งและเย้าจะใช้รากหรือทั้งต้นหนอนตายหยากต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ ขับนิ่ว แก้ปัสสาวะติดขัด (ราก,ทั้งต้น)[8]
  7. รากและหัวมีสรรพคุณเป็นยารักษาริดสีดวงทวารหนัก ด้วยการใช้รากนำมาปรุงต้มรับประทาน พร้อมกับต้มกับยาฉุนใช้รมหัวริดสีดวง จะทำให้ริดสีดวงฝ่อและแห้งไป (หัว,ราก)[4],[5],[6]
  8. รากใช้ปรุงเป็นยารักษามะเร็งตับ (ราก)[1],[5]
  9. รากหรือหัวใช้ปรุงเป็นยารับประทานแก้น้ำเหลืองเสีย (ราก)[1],[5]
  10. ใช้รักษาจี๊ด ให้ใช้รากสดประมาณ 3-4 ราก ที่ล้างน้ำสะอาดแล้ว นำมาหั่นตำให้ละเอียด ใช้พอกตรงที่มีตัวจี๊ด ซึ่งจะสังเกตได้โดยบริเวณนั้นจะบวมขึ้นมา โดยให้พอกหลาย ๆ ครั้งจนกว่าจะหาย (ราก)[4]
  11. รากใช้ปรุงเป็นยาแก้โรคผิวหนัง ผื่นคันตามร่างกาย และผิวหนังอักเสบ ด้วยการใช้รากประมาณ 50-100 กรัม นำมาต้มแล้วเอาน้ำใช้ล้างหรืออาบ (ราก)[1],[3],[5]
  12. ตำรายาไทยจะใช้รากนำมาทุบหรือตำผสมกับน้ำหรือหมักกับน้ำแล้วเอาน้ำมาพอกทาฆ่าหิด เหา แมลง หนอน หรือศัตรูพืช (ราก)[1],[2],[5]
  13. รากนำมาทุบให้ละเอียดแช่กับน้ำ ใช้พอกแผลต่าง ๆ ฆ่าหนอน และทำลายหิดได้ (ราก)[5]
  14. รากหนอนตายหยากใหญ่ มีรสเย็น เป็นยาแก้อาการวัยทองทั้งชายและหญิง (รากหนอนตายหยากใหญ่)[6]
  15. สมุนไพรหนอนตายหยากยังใช้เป็นส่วนผสมของตำรับยาไทยอีกหลายรายการ เช่น ยาตัดรากอุปะทม (แก้อุปะทมโรคสำหรับบุรุษ), ยาแก้นิ่วเนื้อด้วยอุปทุม, ยาต้มสมานลำไส้, ยาแก้ลมกำเริบ, ยาแก้ดีลมแลกำเดา, ยาแก้ดีกำเดาแผลงฤทธิ์ร้าย เป็นต้น[6]
  16. นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอื่น ๆ ที่ระบุสรรพคุณนอกเหนือจากที่กล่าวมาไว้อีกหลายอย่าง เช่น ช่วยลดระดับน้ำตาลสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย (นันทวัน และอรนุช 2543) แก้มะเร็งในกระดูก แก้มะเร็งในมดลูก แก้โรคผิวหนังเป็นตุ่มหนอง (th.apoc12.com – ฐานข้อมูลพันธุกรรมพืช กรมวิชาการเกษตร), มะเร็งผิวหนัง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกและรังไข่ ฯลฯ ซึ่งข้อมูลส่วนนี้เองผมก็ยังหาเอกสารอ้างอิงไม่เจอครับ จึงไม่แน่ใจว่าจะมีสรรพคุณดังที่กล่าวมาหรือไม่

หมายเหตุ : วิธีใช้ตาม [3] ให้ใช้รากแห้งครั้งละ 3-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน ถ้าใช้ภายนอกให้ใช้ประมาณ 50-100 กรัม นำมาต้มแล้วใช้น้ำล้างหรืออาบแก้โรคผิวหนังผดผื่นคัน[3]

ข้อควรระวังในการใช้หนอนตายหยาก

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของหนอนตายหยาก

ประโยชน์ของหนอนตายหยาก

  1. ใช้รักษาเหา ด้วยการใช้รากสดประมาณ 3-4 ราก ที่ล้างน้ำสะอาดแล้ว นำมาตำผสมกับน้ำใช้ชโลมเส้นผมทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงค่อยสระออกให้สะอาด โดยให้ทำติดต่อกันประมาณ 2-3 วัน จนกว่าเหาจะตายหมด[4]
  2. รากใช้ฝนคลุกข้าวหรือมะพร้าวแล้วโดยให้มดกินเป็นยาฆ่ามด (คนเมือง)[8]
  3. ใบใช้ยักปากไหปลาร้าเพื่อป้องกันหนอน[8]
  4. ใช้รากของต้นหนอนตายหยากสดประมาณ 500 กรัม นำมาตำให้ละเอียด แล้วนำไปใส่ในท่อน้ำทิ้ง จะสามารถฆ่ายุงและลูกน้ำได้[3] หรือจะใช้รากนำมาตำผสมกับน้ำเป็นยาฆ่าแมลงและหนอนศัตรูพืชที่มารบกวนพืชผักได้ดี[5],[6]
  5. รากนำมาโขลกบีบเอาแต่น้ำใช้หยอดแผลวัวควายที่มีหนอนไช หรือจะใช้กากของรากสดนำมาโปะปิดแผลของสัตว์พาหะที่เลียไม่ถึง จะเป็นยาฆ่าหนอนที่เกิดในแผล หนอนจะตายหมด[5],[6]
  6. การใช้ประโยชน์ทางการเกษตรเพื่อใช้เป็นยาฆ่าแมลง ให้ใช้รากหรือเหง้าหนอนตายหยาก 10 กิโลกรัม กากน้ำตาล 10 กิโลกรัม ตะไคร้ทั้งต้น 5 กิโลกรัม ใบสาบเสือ ใบหูเสือ แล้วนำส่วนผสมทั้งหมดมาบดให้ละเอียดโดยไม่ต้องใส่น้ำ หมักไว้ในภาชนะ ตอนจะใช้ก็ให้นำมาผสมกับน้ำฉีดพ่นสวนส้ม นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอื่น ๆ อีก เช่น ใช้รากหนอนตายหยาก 15 กิโลกรัม กากน้ำตาล 15 กิโลกรัม น้ำ 20 ลิตร ตะไคร้หอม เปลือกเงาะ และเปลือกมังคุดประมาณ 5 กิโลกรัม โดยนำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมหมักในภาชนะทิ้งไว้ประมาณ 15-20 วัน แล้วค่อยนำมาใช้[7]
  7. สามารถนำผลิตใช้ในเชิงอุตสาหกรรม เพื่อทดแทนการใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลงได้[7]
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  “หนอนตายหยาก (Non Tai Yak)”.  หน้า 323.
  2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “หนอนตายหยาก”.  หน้า 193.
  3. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  “หนอนตายหยาก”.  หน้า 608.
  4. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  “หนอนตายหยาก”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [14 ก.ค. 2014].
  5. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “หนอนตายหยาก”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com.  [14 ก.ค. 2014].
  6. สำนักคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร.  “ข้อมูลของหนอนตายหยาก”.
  7. กรมวิชาการเกษตร.  “หนอนตายหยาก”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: it.doa.go.th/vichakan/.  [14 ก.ค. 2014].
  8. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน).  “หนอนตายหยาก”.  อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือองค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของไทย เล่ม 3 (สุธรรม อารีกุล, จำรัส อินทร, สุวรรณ ทาเขียว, อ่องเต็ง นันทแก้ว).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [14 ก.ค. 2014].
  9. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “รากของว่านหนอนตายหยาก”.  เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th.  [14 ก.ค. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by judymonkey17, 潘立傑 LiChieh Pan, 翁明毅), www.phargarden.com (by Sudarat Homhual)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 หนอนตายหยาก
  • 2 ลักษณะของหนอนตายหยากเล็ก
  • 3 ลักษณะของหนอนตายหยากใหญ่
  • 4 สรรพคุณของหนอนตายหยาก
  • 5 ข้อควรระวังในการใช้หนอนตายหยาก
  • 6 ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของหนอนตายหยาก
  • 7 ประโยชน์ของหนอนตายหยาก
  • 8 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ