ไข้หวัด (หวัด) อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคหวัด 20 วิธี

ไข้หวัด

ไข้หวัด หรือ โรคหวัด (Common cold, Upper respiratory tract infection – URI) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนต้นที่กระทบต่อจมูกและคอ อาการที่สำคัญของโรคนี้มีทั้งไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล และไข้ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะหายไปได้เองภายใน 7 วัน

หวัด* เป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ง่าย โดยการอยู่ใกล้ชิดกัน จึงพบเป็นกันมากตามโรงเรียน โรงงาน และในสถานที่ที่มีผู้คนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สามารถพบเกิดได้ตลอดทั้งปี มักพบได้มากในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว และในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ส่วนในช่วงฤดูร้อนจะพบโรคนี้ได้น้อยลง ในคนบางคนอาจเป็นโรคนี้ได้ปีละหลาย ๆ ครั้ง โดยเฉพาะในเด็กเล็กและเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนในปีแรก ๆ ที่อาจเป็นไข้หวัดเฉลี่ยประมาณเดือนละหนึ่งครั้ง ทั้งนี้เป็นเพราะเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดนั้นมีอยู่มากกว่า 200 ชนิด ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทำให้เกิดการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนต้น (จมูกและคอ) ครั้งละชนิด จึงมีโอกาสเป็นหวัดได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่มาก เมื่อมีอายุมากขึ้น ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดต่าง ๆ มากขึ้น ก็จะทำให้ป่วยเป็นไข้หวัดห่างขึ้นและมีอาการรุนแรงน้อยลงไป

หมายเหตุ : หวัด หรือ ไข้หวัด (Common cold) หมายถึง โรคไข้หวัดธรรมดา ไม่ใช่โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) โดยเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนต้น (จมูกและคอ) ส่วนอาการตัวร้อน หรือ ไข้ (Fever) นั้น อาจเกิดจากสาเหตุอะไรก็ได้ที่ทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงกว่าค่าปกติคือ 36.5–37.5 องศาเซลเซียส เช่น เกิดจากการติดเชื้อ (ไข้หวัดก็เป็นการติดเชื้อชนิดหนึ่ง) รวมถึงโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น ภูมิต่อต้านตัวเอง มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งคนที่เป็นไข้นั้นอาจไม่จำเป็นต้องเป็นหวัดก็ได้ และถ้าเป็นไข้ก็ต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าเป็นไข้เพราะอะไร จึงจะได้ใช้ยารักษาได้อย่างถูกต้อง

สาเหตุของไข้หวัด

เชื้อที่เป็นสาเหตุ : เกิดจาก “เชื้อหวัด” ซึ่งเป็นไวรัส (Virus) ที่มีอยู่มากกว่า 200 ชนิดจากกลุ่มไวรัสจำนวน 8 กลุ่มด้วยกัน โดยกลุ่มไวรัสที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มไวรัสไรโน (Rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด พบได้มากที่สุดประมาณ 30-80% นอกนั้นก็มีกลุ่มไวรัสโคโรนา (Coronavirus) ที่พบได้ประมาณ 10-15%, กลุ่มไวรัสอะดีโน (Adenovirus), กลุ่มไวรัสเอนเทอโร (Enterovirus), กลุ่มไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (Parainfluenza virus), กลุ่มอาร์เอสวี (Respiratory syncytial virus – RSV), กลุ่มเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus), กลุ่มเชื้อเริม (Herpes simplex virus) เป็นต้น

สาเหตุไข้หวัด

การเกิดซ้ำ : การเกิดโรคไข้หวัดขึ้นในแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อหวัดเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดนั้นไปตลอด ส่วนในการเจ็บป่วยครั้งใหม่ก็จะเกิดจากเชื้อหวัดชนิดใหม่หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ

การติดต่อ : เชื้อหวัดเป็นเชื้อที่มีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย สามารถติดต่อกันได้โดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด ภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร ซึ่งจัดว่าเป็นการแพร่กระจายทางละอองเสมหะที่มีขนาดใหญ่ (Droplet transmission) นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังอาจติดต่อกันได้โดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้อหวัดอาจติดอยู่ที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ (เช่น แก้วน้ำ จาน ชาม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว โทรศัพท์ หนังสือ ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ ของเล่นต่าง ๆ เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อม เมื่อคนปกติมาสัมผัสถูกมือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคน ๆ นั้นมา และเมื่อไหร่ที่คน ๆ นั้นใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายจนกลายเป็นไข้หวัดได้ (ยังไม่มีหลักฐานชี้ว่าอากาศที่ไหลเวียนอยู่ในเที่ยวบินพาณิชย์เป็นวิธีการแพร่เชื้อ อย่างไรก็ดี บุคคลที่นั่งใกล้ชิดก็ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงสูงกว่า)

ระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ผู้ป่วยรับเชื้อเข้าไปจนกระทั่งแสดงอาการ) : ประมาณ 1-3 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 10-12 ชั่วโมงนับตั้งแต่ได้รับเชื้อ และมักมีอาการรุนแรงที่สุดในช่วง 2-3 วันหลังเริ่มมีอาการ

อาการของไข้หวัด

โดยทั่วไปโรคนี้มักมีอาการไม่รุนแรง อาการที่พบได้ทั่วไป คือ เป็นหวัด คัดจมูก จาม มีน้ำมูกใสไหล คอแห้ง หรือเจ็บคอเล็กน้อย ไอแห้ง ๆ หรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ลักษณะสีขาว อาจมีอาการปวดหนักศีรษะเล็กน้อย อ่อนเพลีย (แต่ไม่มาก) ปวดกล้ามเนื้อ มีแสบตา เสียงแหบ และอาจมีไข้ได้ แต่เป็นไข้ไม่สูง (ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส) โดยจะมีไข้เป็นพัก ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ในบางครั้งอาจทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณลิ้นปี่เวลาไอ ในเด็กเล็กอาจมีอาการอาเจียนเวลาไอ ส่วนในทารกอาจมีอาการอาเจียนหรือท้องเสียร่วมด้วย

ในผู้ป่วยโรคหวัดพบว่ามีอาการเจ็บคอประมาณ 40% พบอาการไอ 50% ในขณะที่อาการปวดกล้ามเนื้อพบในผู้ป่วยราวครึ่งหนึ่ง ส่วนผู้ป่วยในวัยผู้ใหญ่มักไม่พบอาการไข้ (มีเพียงอาการคัดจมูก มีน้ำมูกใส) แต่พบทั่วไปในทารกและเด็ก

ในเด็กมักจับไข้ขึ้นมาทันทีทันใด บางครั้งอาจมีไข้สูงและชัก และประมาณ 35-40% ของผู้ป่วยเด็กจะมีอาการไอนานกว่า 10 วัน และ 10% ของผู้ป่วยเด็กจะมีอาการไอนานกว่า 25 วัน

ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะมีไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 24 ชั่วโมง หรือไอมีเสมหะเป็นสีเหลืองหรือเขียว

อาการไข้หวัด

ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัด

ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับว่า เป็นการติดเชื้อไวรัสชนิดใด แต่โดยทั่วไปมักไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 7 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงนั้นพบเกิดได้น้อย ถ้าเกิดก็มักจะเกิดในผู้สูงอายุ ในเด็กทารก ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ดังนั้น ถ้าอาการน้ำมูกไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน หรือน้ำมูกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว หรือมีอาการปวดหูหรือหายใจหอบเหนื่อย ไข้กลับมาสูง ไอมาก เสมหะมาก ควรรีบกลับไปพบแพทย์

การวินิจฉัยโรคไข้หวัด

โดยทั่วไปแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหวัดได้จากอาการที่แสดง ประวัติการระบาดของโรค ฤดูกาล และจากการตรวจร่างกาย เช่น อาการไข้ มีน้ำมูก เยื่อจมูกบวมและแดง คอแดงเล็กน้อย ส่วนในเด็กอาจพบทอนซิลโต แต่ไม่แดงมาก และไม่มีหนอง ส่วนในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง อาจต้องมีการตรวจเลือดซีบีซี (CBC) เพื่อแยกว่าเป็นการติดเชื้อไวรัสหรือติดเชื้อแบคทีเรีย และอาจมีการตรวจสืบค้นอื่น ๆ เพิ่มเติมตามดุลยพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจเลือดดูค่าเกล็ดเลือดเพื่อแยกจากโรคไข้เลือดออก เป็นต้น

วิธีรักษาไข้หวัด

เนื่องจากไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ เพียงแต่ให้การรักษาไปตามอาการเท่านั้น ได้แก่

ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาและป้องกันไข้หวัดอย่างได้ผล การรักษาส่วนใหญ่จึงอยู่ที่การพักผ่อนและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ส่วนยาที่ใช้ก็เป็นเพียงยาที่ใช้รักษาไปตามอาการเท่านั้น โดยทั่วไปอาการตัวร้อนมักจะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วัน ถ้าเป็นเกิน 4 วัน มักแสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนหรืออาจเกิดจากโรคอื่น ๆ

วิธีป้องกันไข้หวัด

ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคหวัดธรรมดา มีแต่วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่พบบ่อย ดังนั้นการป้องกันโรคหวัดธรรมดาที่สำคัญ คือ

  1. หมั่นดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำทำงานหนักมากเกินไป
  2. รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง
  3. ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่ม
  4. ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น
  5. หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่บ่อย ๆ และล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
  6. ในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น ห้างสรรพสินค้า สถานบันเทิง งานมหรสพ เป็นต้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาด หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะของผู้ป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้ายังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด
  7. อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย แต่ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
  8. ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ เช่น แก้วน้ำ จาน ชาม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว โทรศัพท์ ของเล่น เครื่องใช้ต่าง ๆ ฯลฯ ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือกับผู้ป่วยโดยตรง
  9. สำหรับผู้ป่วยควรแยกตัวออกห่างจากผู้อื่น ไม่นอนปะปนหรืออยู่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก ส่วนเวลาที่เข้าไปในสถานที่ที่มีคนอยู่กันมาก ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัยด้วยทุกครั้ง

วิธีรักษาไข้หวัด

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 389-392.
  2. ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “รับมือโรคหวัดอย่างไร ให้เหมาะสม”.  (ภก.วสุ ศุภรัตนสิทธิ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th.  [21 ก.ค. 2016].
  3. หาหมอดอทคอม.  “โรคหวัด (Common cold)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [22 ก.ค. 2016].

ภาพประกอบ : lillingtonmedicalservices.org, wwww.wikimedia.org, dorothyanneb.com, www.npr.org, www.wikihow.com, www.nhs.uk

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ไข้หวัด
  • 2 สาเหตุของไข้หวัด
  • 3 อาการของไข้หวัด
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัด
  • 5 การวินิจฉัยโรคไข้หวัด
  • 6 วิธีรักษาไข้หวัด
  • 7 วิธีป้องกันไข้หวัด
  • 8 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ