โรคแพนิค (Panic disorder) อาการ สาเหตุ การรักษาโรคแพนิค 9 วิธี

โรคแพนิค

โรคแพนิค/แพนิก หรือ โรคตื่นตระหนก (Panic disorder)* หรือบ้างก็เรียกว่า “โรคหัวใจอ่อน” หรือ “โรคประสาทลงหัวใจ” คือ ภาวะวิตกกังวลหรือมีความรู้สึกกลัวอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีโดยไม่คาดคิดมาก่อน คือ อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นมาเองโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาการแต่ละครั้งจะเป็นอยู่เพียงไม่นานก็จะหายไป และอาการจะมีลักษณะกำเริบซ้ำ ๆ ได้อีกเป็นครั้งคราว จนทำให้ผู้ป่วยบางรายกลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจหรือกลัวว่าจะเสียชีวิต ซึ่งความจริงแล้วโรคนี้ไม่ได้มีอันตราย และหากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่องก็จะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข

โรคแพนิคเป็นโรคที่พบได้ประมาณ 2-5% ของประชากรทั่วไป และพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2-3 เท่า

หมายเหตุ : Panic แปลว่า ความหวาดกลัว

สาเหตุของโรคแพนิค

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่า โรคนี้อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม เพราะพบว่าผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ยังอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางด้านจิตใจและด้านชีวภาพ

โดยปกติแล้วเวลาที่คนเราตกใจร่างกายจะมีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจนั้นผ่านระบบของร่างกาย ที่สำคัญก็คือระบบประสาทอัตโนมัติ (Automatic nervous system; เป็นระบบที่ทำหน้าที่รักษาสมดุลให้ร่างกาย ซึ่งเราสั่งให้มันทำงานไม่ได้ เช่น เราจะสั่งให้หัวใจของเราเต้นเร็วขึ้นไม่ได้ จะสั่งให้เหงื่อออกเองไม่ได้ เป็นต้น แต่มันจะทำงานเองโดยอัตโนมัติเมื่อสิ่งแวดล้อมภายนอกเปลี่ยนแปลงไป) ซึ่งจะส่งผลทำให้หัวใจเต้นแรง หายใจเร็ว เหงื่อออก ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเตรียมร่างกายให้พร้อมที่สุดเพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่ทำให้ตกใจต่าง ๆ (ทั้งสถานการณ์ที่ดีและไม่ดี) เพียงแต่ระบบที่ว่านี้จะทำงานเฉพาะเมื่อมีสิ่งที่มากระตุ้นเท่านั้น แต่ถ้าระบบนี้ทำงานขึ้นมาเองโดยที่ไม่มีสิ่งใดมากระตุ้นเลยนั่นคืออาการของโรคแพนิคครับ คือระบบประสาทอัตโนมัติไวเกินไปนั่นเอง (เปรียบเหมือนกับสัญญาณกันขโมยของรถยนต์ที่ไวเกิน แค่สุนัขปัสสาวะใส่ล้อ มีลมพัด หรือใบไม้หล่นใส่ สัญญาณก็ดังแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการขโมยหรือถูกงัดแงะแต่อย่างใด ซึ่งระบบประสาทอัตโนมัติไวเกินก็เช่นกันครับ คือ ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติเกิดขึ้นเลย แต่ระบบก็ส่งสัญญาณไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้ทำงานแล้ว เช่น สั่งให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว เหงื่อออก เป็นต้น)

ระบบประสาทอัตโนมัติจะทำงานได้จะต้องส่งผ่านเส้นประสาทจากสมองไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ ต่อมเหงื่อ โดยอาศัยสารสื่อประสาทเล็ก ๆ เป็นตัวส่งสัญญาณ ถ้าสารสื่อประสาทดังกล่าวอยู่ภาวะปกติ สมดุลดี ก็จะทำให้สัญญาณที่ส่งไปนั้นมีความถูกต้อง ไม่ผิดพลาด ไม่ไวเกิน และไม่ช้าเกินไป แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าสารสื่อประสาทดังกล่าวเกิดเสียสมดุลก็จะนำไปสู่การสั่งงานที่ผิดพลาด (หลายคนอาจจะเคยได้ยินแพทย์อธิบายสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแพนิคนั้นเป็นเพราะสารสื่อประสาทหรือสารเคมีในสมองไม่สมดุลนั่นเอง) โดยสาเหตุที่ทำให้สารสื่อประสาทในสมองเสียสมดุลมีได้หลายสาเหตุ เช่น

อาการของโรคพานิค

ผู้ป่วยมักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงอายุประมาณ 17-30 ปี (โดยเฉลี่ยคือ 25 ปี) โดยจะมีอาการวิตกกังวลหรือรู้สึกกลัวอย่างรุนแรงเกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันทันทีทันใดโดยไม่คาดคิดมาก่อนและไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ (ชนิดที่ว่าอยู่ดี ๆ ก็เป็นขึ้นมาเอาดื้อ ๆ โดยที่ไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น) และผู้ป่วยจะมีอาการแบบนี้กำเริบซ้ำได้อีกบ่อย ๆ บางรายอาจเป็น 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือบางรายที่เป็นมากก็อาจจะเป็นวันละหลาย ๆ ครั้ง จนอาจไม่สามารถนอนหลับได้ในตอนกลางคืน ซึ่งผลจากการที่มีอาการแบบนี้บ่อย ๆ จึงทำให้ผู้ป่วยหลายรายเกิดความวิตกกังวลตามมา เช่น กลัวว่าจะมีอาการขึ้นมาอีก หรือกลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคอะไรบางอย่าง เป็นต้น ซึ่งในแต่ละครั้งที่มีอาการผู้ป่วยจะมีอาการดังต่อไปนี้ตั้งแต่ 4 ข้อขึ้นไป

ทั้งนี้ อาการที่เกิดขึ้นจะไม่สัมพันธ์กับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใด ๆ และไม่เกี่ยวข้องกับโรคทางกายหรือการใช้ยาหรือสารใด ๆ โดยอาจจะเกิดขึ้นในขณะที่อยู่ในบ้าน หรืออยู่นอกบ้านตามลำพังหรืออยู่กับผู้อื่นก็ได้

อาการแพนิคนั้นจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเพิ่มความแรงถึงระดับสูงสุดภายใน 10 นาที ซึ่งในแต่ละครั้งผู้ป่วยมักจะมีอาการเกิดขึ้นประมาณ 15-20 นาทีแล้วหายไป (ส่วนมากจะมีอาการแต่ละครั้งไม่เกิน 30 นาที และมีน้อยรายมากที่จะมีอาการเกิดขึ้นนานเกิน 1 ชั่วโมง)

โรคแพนิก
IMAGE SOURCE : treatmenttoday.com

ผู้ป่วยมักมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งเป็นผลมาจากอาการดังกล่าวจนทำให้มีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้ เช่น ไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้าอยู่คนเดียวหรือไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว หรือไม่กล้าทำกิจกรรมบางอย่างหรือไปในสถานที่ที่เคยเกิดอาการ (ผู้ป่วยอาจจะเชื่อมโยงอาการกับสถานที่หรือกิจกรรมบางอย่าง) ยกตัวอย่างเช่น บางคนไม่กล้าที่จะออกไปไหนเพียงคนเดียว อาจเป็นเพราะเคยมีอาการกำเริบตอนออกไปนอกบ้านแล้วไม่มีใครช่วย จึงกลัวว่าหากอาการกำเริบขึ้นมาอีกจะไม่มีใครช่วยเหลือ หรือบางคนไม่กล้าที่จะนั่งรถหรือขับรถ เพราะครั้งแรกที่มีอาการแพนิคเป็นตอนที่นั่งรถหรือขับรถอยู่พอดี เป็นต้น

ในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการกำเริบ อาจตรวจพบชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง หายใจเร็วเล็กน้อย มือสั่น หรือมีกลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน (Hyperventilation syndrome – HVS)

เป็นโรคแพนิคแล้วจะมีโอกาสเป็นบ้าหรือไม่ ?

ยังไม่ค่อยพบว่าคนที่เป็นโรคแพนิคแล้วจะกลายเป็นโรคจิตเภทในภายหลัง แต่อาจจะพบภาวะอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น

อาการแพนิค

ผู้ที่มี “อาการแพนิค” (Panic attacks) ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นโรคแพนิค (Panic disorder) เสมอไป หากมีอาการแพนิคเพียงครั้งเดียวแล้วไม่ได้เกิดผลอะไรตามมาก็ไม่นับว่าเป็นโรคแพนิค (เช่น เครื่องบินสั่นมากตอนเจอสภาพอากาศที่ไม่ดี แล้วเกิดอาการขึ้นมา) เพราะในโรคแพนิคนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการกำเริบซ้ำหลายครั้ง จนเกิดความกังวลว่าจะมีอาการนี้ขึ้นมาอีก กลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจ กลัวว่าจะเสียชีวิต กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวว่าจะเป็นบ้า และอาจส่งผลทำให้ต้องเลี่ยงสถานการณ์บางอย่าง เช่น ไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้าขับรถ เป็นต้น กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้ป่วยจะมีอาการกำเริบซ้ำ ๆ ประกอบกับมีความกลัวต่อเนื่องซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน จึงจะถือว่าเป็นโรคแพนิค (Panic disorder)

อาการแพนิคสามารถพบได้ในโรคอื่น ๆ เช่น โรคกลัวการเข้าสังคม (Social phobia) ที่เมื่อผู้ป่วยต้องพูดกับคนแปลกหน้า อาจจะกลัวจนมีอาการแพนิคเกิดขึ้นได้ แต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะไม่ได้กลัวว่าจะมีอาการแพนิคเกิดขึ้นอีกหรือกลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจ ฯลฯ ซึ่งนี่เป็นข้อแตกต่าง

อาการแพนิค
IMAGE SOURCE : girltalkhq.com

ภาวะแทรกซ้อนของโรคแพนิค

การวินิจฉัยโรคแพนิค

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากอาการที่แสดงเป็นหลัก ส่วนในรายที่แพทย์ไม่แน่ใจ อาจต้องส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อแยกจากโรคทางกายต่าง ๆ เช่น การตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์ ตรวจคลื่นหัวใจ เป็นต้น

เนื่องจากอาการที่เด่นชัดของโรคแพนิคนี้มีอยู่ด้วยกันหลายอย่างประกอบกัน ในครั้งแรก ๆ ที่เป็น ผู้ป่วยจึงมักถูกพาไปห้องฉุกเฉินเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย แต่พอไปถึงโรงพยาบาลกลับพบว่าอาการดังกล่าวได้หายไปแล้ว เมื่อแพทย์ตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมที่จำเป็นทุกอย่างก็ไม่พบว่ามีความผิดปกติอะไร หัวใจยังเต้นเป็นปกติดี ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยและสร้างความสงสัยให้แก่ผู้ป่วยเป็นอย่างมากว่าอาการหนักเกือบตายขนาดนี้ ทำไมแพทย์ตรวจไม่เจออะไร และพอกลับบ้านมาได้ไม่กี่วันก็มีอาการแบบเดิมเกิดขึ้นอีก ซึ่งในครั้งที่ 2-3 ที่เกิดอาการ แพทย์ก็ยังตรวจไม่เจอความผิดปกติอีก คราวนี้ผู้ป่วยก็มักจะเริ่มสับสนและกลัวมากขึ้นว่าตัวเองเป็นโรคอะไรกันแน่ เพราะมาตรวจหลายครั้งก็ปกติทุกครั้ง แล้วอาจได้รับวิตามินและ/หรือยากล่อมประสาทมารับประทาน แต่หากแพทย์ทราบว่านี่คือโรคแพนิคก็จะแนะนำให้ผู้ป่วยไปพบจิตแพทย์ซึ่งเป็นหมอที่เชี่ยวชาญในการรักษาโรคนี้ครับ

โรคแพนิครักษาที่ไหน
IMAGE SOURCE : apahealthyminds.blogspot.com

การแยกโรค

อาการแสดงออกทางกายที่เป็นผลมาจากความรู้สึกวิตกกังวลหรือกลัวอย่างรุนแรง อาจคล้ายกับโรคทางกายได้หลายแบบที่สำคัญ (ซึ่งถ้าตรวจไม่พบว่าเป็นโรคเหล่านี้ก็แสดงว่าอาจเป็นโรคแพนิคครับ) เช่น

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคแพนิค

  1. อาการที่เป็นนั้นไม่ได้เกิดจากการเจ็บป่วยทางร่างกาย (เช่น คอพอกเป็นพิษ) หรือเกิดจากการใช้สารกระตุ้น (เช่น ยาหรือสารเสพติด)
  2. มีทั้งข้อ ก. และข้อ ข.
    • ก. มีอาการกำเริบซ้ำโดยคาดไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
    • ข. อย่างน้อยในอาการกำเริบ 1 ครั้ง จะมีอาการข้อใดข้อหนึ่งตามมาอย่างน้อย 1 เดือน คือ
      1. มีความกังวลอยู่ตลอดเวลาว่าจะมีอาการกำเริบขึ้นอีก
      2. มีความกังวลว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากโรคร้ายแรง (เช่น โรคหัวใจ) หรือกลัวว่าจะเป็นอะไรไป (เช่น กลัวว่าจะเป็นบ้า กลัวว่าจะหัวใจวาย)
      3. อาการที่เป็นส่งผลให้มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน (เช่น เก็บตัว ไม่กล้าออกจากบ้าน)

วิธีรักษาโรคแพนิค

1. ถ้าผู้ป่วยมีอาการเข้าได้กับเกณฑ์การวินิจฉัยโรคนี้ และแพทย์มั่นใจว่าผู้ป่วยไม่มีโรคทางกายอย่างอื่น (เช่น โรคหัวใจ คอพอกเป็นพิษ) แพทย์จะให้การรักษาดังนี้

แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาทั้ง 2 กลุ่มนี้ร่วมกันตั้งแต่แรก ถ้าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นให้รับประทานติดต่อกันนาน 4-6 สัปดาห์ แล้วจึงค่อย ๆ ลดยากล่อมประสาทลงจนเหลือแต่ยาแก้ซึมเศร้าเพียงอย่างเดียว (ปัญหาที่สำคัญของยากล่อมประสาทคือสามารถทำให้เกิดการเสพติดได้ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ควรใช้ยานี้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำเท่านั้น) และเมื่อควบคุมอาการได้ดีแล้ว ให้คงยาแก้ซึมเศร้าต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 12 เดือน แล้วจึงค่อย ๆ ลดขนาดยาลงจนหยุดยาได้ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2-6 เดือน ทั้งนี้เพื่อป้องกันอาการแพนิคกำเริบ (เพราะจากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่หยุดยาเร็วก่อนครบกำหนด มักจะมีอาการกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อย)

ยารักษาโรคแพนิค
IMAGE SOURCE : howtocurepe.com, pillspharma.net

2. ในรายที่รับประทานยาดังกล่าวไปประมาณ 2-4 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือผู้ป่วยรู้สึกกลัวหรือกังวลมาก หรือมีอาการที่สงสัยว่ามีสาเหตุมาจากโรคทางกาย ควรปรึกษาจิตแพทย์

3. การดูแลและจัดการตัวเองเมื่อมีอาการแพนิค สิ่งสำคัญเมื่อมีอาการแพนิคเกิดขึ้น คือ ให้พยายามตั้งสติ อย่าตกใจ และอย่าคิดว่าจะป่วยหนักหรือจะหัวใจวายหรือเสียชีวิต เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความเครียดและเป็นมากขึ้น โดยสิ่งแรกที่ควรทำ คือ การนั่งพัก จากนั้นให้หายใจเข้าออกช้า ๆ ลึก ๆ ยาว ๆ เหมือนเวลานั่งสมาธิ (เพราะหากยิ่งหายใจเร็วหรือหายใจสั้นถี่ก็จะยิ่งทำให้อาการที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้น) แล้วรอให้อาการสงบไปเอง (ในระหว่างที่มีอาการเกิดขึ้นให้บอกกับตัวเองด้วยว่า “เราไม่ได้เป็นอะไรนะ ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ และไม่ได้กำลังจะตาย เราแค่มีอาการแพนิคกำเริบ สักพักอาการเหล่านี้ก็จะหายไปเองเหมือนครั้งก่อน ๆ ที่ผ่านมา” โดยให้ท่องความจริงข้อนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ นาที พร้อมกับเปิดตามองดูว่าเราไม่ได้มีอันตรายตรงไหนเกิดขึ้นกับเราจริง ๆ เลย) ซึ่งโดยทั่วไปถ้าสามารถควบคุมการหายใจได้อาการก็จะดีขึ้นภายใน 15-20 นาที หรือจะรับประทานยาที่แพทย์ให้ไว้สำหรับเวลามีอาการร่วมด้วย (ยากล่อมประสาทนั่นแหละครับ) แล้วพักสักครู่เพื่อรอให้ยาออกฤทธิ์ก็ได้ครับ

รักษาแพนิคด้วยตัวเอง
IMAGE SOURCE : recoveryhelpnow.com

4. การดูแลตัวเองของผู้ป่วยที่เป็นโรคแพนิค ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

โรคแพนิครักษาอย่างไร
IMAGE SOURCE : selmamariudottir.com

คำแนะนำเกี่ยวกับโรคแพนิค

วิธีป้องกันโรคแพนิค

โรคนี้ส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมและความบกพร่องเกี่ยวกับสารสื่อประสาทในสมอง ผู้ป่วยจึงต้องอาศัยยารักษาเพื่อช่วยปรับสมดุลการทำงานของสมองให้เป็นปกติ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการกำเริบขึ้นมาได้ (อาการก็จะดีขึ้นมากจนหายสนิทได้ 7 หรือ 9 ราย ใน 10 ราย โดยอาการจะดีขึ้นอย่างชัดเจนภายหลังเริ่มการรักษาได้ประมาณ 6-8 สัปดาห์)

สรุป โรคแพนิค (Panic disorder) เป็นโรคที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จัก แต่จริง ๆ แล้วพบได้บ่อยมาก หลายคนอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ ถ้าพบว่ามีอาการดังกล่าวก็ควรเข้ารับคำปรึกษาจากจิตแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุของโรค ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งโรคแพนิคหรือโรคอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายกัน ถ้าพบว่าเป็นโรคแพนิคก็ไม่ต้องกลัวหรือเป็นกังวลไปครับ เพราะโรคนี้รักษาได้ไม่ยาก เพียงแต่ผู้ป่วยจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของโรค วิธีการรับมือ แนวทางการรักษาที่ถูกต้อง และติดตามการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง และโปรดจำเอาไว้เสมอว่า “โรคนี้ไม่เคยทำให้ใครตาย และไม่มีอันตรายอะไร” นอกจากอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตเท่านั้น และหากรักษาจนอาการหายดีแล้ว คุณก็จะกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติและมีความสุขได้เหมือนคนทั่วไปครับ 🙂

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “โรคแพนิก (Panic disorder)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 663-665.
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 327 คอลัมน์ : สารานุกรมทันโรค.  “โรคแพนิกโรคตื่นตระหนก”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [21 ม.ค. 2017].
  3. โรงพยาบาลพระรามเก้า.  “โรคแพนิค”.  (นพ.วิทยา วันเพ็ญ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.praram9.com.  [22 ม.ค. 2017].
  4. ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  มหาวิทยาลัยมหิดล.  “โรคแพนิค (panic disorder)”.  (พญ.นิดา ลิ้มสุวรรณ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : med.mahidol.ac.th/ramamental/.  [22 ม.ค. 2017].
  5. สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย.  “โรคแพนิค (Panic disorder) ตอนที่ 1-2”.  (หมอคลองหลวง).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : fb.com/ThaiPsychiatricAssociation/.  [23 ม.ค. 2017].
  6. wikiHow.  “รับมือเมื่อโรคแพนิคกำเริบ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : th.wikihow.com.  [23 ม.ค. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคแพนิค
  • 2 สาเหตุของโรคแพนิค
  • 3 อาการของโรคพานิค
  • 4 อาการแพนิค
  • 5 ภาวะแทรกซ้อนของโรคแพนิค
  • 6 การวินิจฉัยโรคแพนิค
  • 7 เกณฑ์การวินิจฉัยโรคแพนิค
  • 8 วิธีรักษาโรคแพนิค
  • 9 คำแนะนำเกี่ยวกับโรคแพนิค
  • 10 วิธีป้องกันโรคแพนิค
  • 11 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ