โรคด่างขาว อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคด่างขาว 10 วิธี

โรคด่างขาว

โรคด่างขาว (Vitiligo) เป็นภาวะที่ผิวหนังบางส่วนกลายเป็นรอยด่างขาว เนื่องจากผิวหนังส่วนนั้นไม่มีเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) จึงไม่สามารถสร้างเม็ดสี (Pigment) ได้อย่างเป็นปกติเหมือนกับผิวหนังส่วนที่อยู่โดยรอบ

โรคด่างขาวเป็นโรคที่พบได้ประมาณ 1-2% ของประชากรทั่วโลก สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่จะพบได้มากในช่วงอายุ 10-30 ปี โดยเฉลี่ยแล้วโรคด่างขาวไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิด อาจจะเป็นขึ้นมาในช่วงอายุเท่าใดก็ได้ ซึ่งโดยมากมักจะเริ่มเป็นเมื่ออายุประมาณ 20 ปีและในผู้สูงอายุ อัตราส่วนที่พบในเพศหญิงจะมีมากกว่าเพศชาย ซึ่งอาจสืบเนื่องมาจากผู้หญิงมักให้ความสนใจและมาพบแพทย์มากกว่า จึงทำให้พบได้มากกว่า นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าโรคด่างขาวนี้มีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ซึ่งประมาณ 30% ของผู้ป่วย จะพบว่ามีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย

สาเหตุของโรคด่างขาว

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดในการเกิดโรคด่างขาว แต่สันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวกับปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (ร่างกายมีการสร้างแอนติบอดีต่อแอนติเจนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างเม็ดสี) หรืออาจมีการกระตุ้นปลายประสาทจนทำให้เกิดการหลั่งสารที่ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี หรือในกระบวนการสร้างเม็ดสีอาจมีการสะสมของเมตาบอไลต์ (Metabolite) บางอย่างที่มีฤทธิ์ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี นอกจากนี้ยังเชื่อว่าโรคด่างขาวมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมที่ทำให้เซลล์สร้างสีอ่อนแอและถูกทำลายได้ง่ายอีกด้วย

โรคด่างขาวเกิดจากอะไร

อาการของโรคด่างขาว

ผู้ป่วยจะมีรอยด่างสีขาวมีขอบเขตชัดเจนเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังโดยไม่มีผื่นคันนำมาก่อน (ผิวส่วนอื่นจะยังมีลักษณะเป็นปกติทุกอย่าง) รูปร่างของรอยด่างขาวจะมีลักษณะไม่แน่นอน โดยอาจเป็นรูปกลม รูปรี หรือเป็นเส้นยาวก็ได้ และมีขนาดแตกต่างกันไปตั้งแต่ 1-10 เซนติเมตร อาจมีเพียงวงเดียวหรือหลายวงกระจายไปทั่วตัวและอาจขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของผิวหนังก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะขึ้นบริเวณใบหน้า รอบริมฝีปาก รอบจมูก รอบดวงตา คอ หลัง มือ ปลายนิ้ว แขน ขา ข้อพับ ศอก เข่า ข้อมือ หลังมือ และหลังเท้า นอกจากที่ผิวหนังแล้ว ยังอาจพบรอยด่างได้ตามเยื่อเมือกบุในอวัยวะต่าง ๆ อีกด้วย เช่น ในช่องปาก เหงือก อวัยวะเพศ หัวนม

ผิวด่างขาว

โดยมากรอยด่างขาวจะขึ้นกระจายตัวทั้ง 2 ข้างของร่างกายอย่างสมมาตรกัน เช่น ถ้าขึ้นที่หลังมือก็มักจะขึ้นพร้อมกันทั้งมือซ้ายและมือขวา แต่ในบางรายอาจพบขึ้นเพียงซีกเดียวของร่างกายก็ได้ เช่น บนหน้าผาก แก้ม ปาก ไหล่ หน้าอก หน้าท้อง เป็นต้น ส่วนขอบของรอยด่างขาวนั้น จะมีลักษณะโค้งหรือนูนออก จึงทำให้ผิวหนังส่วนที่ยังปกติที่อยู่โดยรอบมีลักษณะตรงกันข้าม คือ เว้าเข้า สำหรับขนหรือผมที่ขึ้นอยู่ในรอยด่างขาวก็จะกลายเป็นสีขาวด้วยเช่นกัน

รูปโรคด่างขาว

การดำเนินโรคของรอยด่างขาวในผู้ป่วยแต่ละรายนั้นไม่แน่นอน โดยส่วนใหญ่รอยโรคจะค่อย ๆ ลุกลามออกไปอย่างช้า ๆ (ในบางรายรอยโรคอาจลุกลามเร็วในช่วงแรกและคงอยู่ในลักษณะนั้นไปตลอด หรือบางรายรอยโรคจะค่อย ๆ ลุกลามออกไปอย่างช้า ๆ จนวันหนึ่งเกิดลุกลามขึ้นมาอย่างรวดเร็วก็ได้) ผู้ป่วยอาจมีรอยด่างขาวเกิดขึ้นเฉพาะที่หรืออาจเกิดขึ้นกระจายไปเกือบทั่วตัวก็ได้ และอาจมีผู้ป่วยบางรายที่พบว่า รอยด่างขาวนั้นสามารถหายไปได้เอง หลังจากเป็นอยู่เป็นแรมเดือนแรมปี แต่ในกรณีนี้ก็พบได้เป็นส่วนน้อย

เมื่อถูกแดด มักจะมีอาการแพ้แดดได้ง่าย ทำให้รอยด่างขาวออกแดงและแสบร้อนได้ แต่โดยปกติแล้ว รอยด่างขาวจะไม่ก่อให้เกิดอาการคัน หรือชา หรือทำให้ปวดแสบปวดร้อนแต่อย่างใด และผู้ป่วยยังมีการรับรู้ความรู้สึกได้อย่างเป็นปกติ (เมื่อถูกเข็มแทง จะรู้สึกเจ็บ)

นอกจากนี้ โรคด่างขาวยังอาจเกิดร่วมกับความผิดปกติของอวัยวะอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ดวงตา (เนื่องจากเยื่อเมือกบุตามีเซลล์เม็ดสีเป็นส่วนประกอบสำคัญ จึงอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการทางดวงตาร่วมด้วย เช่น ม่านตาอักเสบ), โรคทางหู (เนื่องจากเซลล์เม็ดสีเป็นส่วนประกอบในโครงสร้างและการทำงานของหูชั้นในและระบบการได้ยิน จึงอาจพบความผิดปกติทางการได้ยินร่วมด้วย), โรคภูมิต้านตนเอง, โรคของต่อมไร้ท่อ (ที่พบได้บ่อยคือ โรคของต่อมไทรอยด์ ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ภาวะขาดไทรอยด์ โรคเบาหวาน), โรคเลือด, โรคแอดดิสัน มะเร็งกระเพาะอาหาร, ผมร่วงเป็นหย่อมไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น

หมายเหตุ : โรคด่างขาวไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อและไม่ใช่โรคติดต่อ (แต่อาจมีกรรมพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้องได้) จึงไม่สามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้

โรคด่างขาวมีกี่ชนิด

ในทางการแพทย์จะแบ่งชนิดของโรคด่างขาวตามการกระจายของโรค ได้แก่

โรคผิวด่างขาว

นอกจากนี้ ยังอาจแบ่งชนิดของโรคด่างขาวได้ตามการพยากรณ์โรค (ความรุนแรงของโรค) และการรักษาได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้

  1. Segmental vitiligo มักพบได้ในเด็ก และมีการลุกลามอย่างรวดเร็ว ในบางครั้งโรคอาจสงบได้ ตอบสนองต่อการรักษาดี และไม่มีความสัมพันธ์กับโรคภูมิต้านตนเองที่เกิดกับอวัยวะหรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ
  2. Nonsegmental vitiligo เป็นโรคด่างขาวที่เหลือจากโรคในข้อ 1 ทั้งหมด

การวินิจฉัยโรคด่างขาว

ส่วนใหญ่แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคด่างขาวได้จากลักษณะของรอยด่างขาวที่พบ แต่อาจต้องแยกจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดรอยขาวอื่นด้วย เช่น เกลื้อน โรคเรื้อน กลากน้ำนม ปาน หรือผิวหนังเกิดรอยด่างจากการเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่น ๆ มาก่อน หรือเกิดจากรอยที่ผิวหายจากผิวอักเสบ หรือผิวหลุดออกจากการถูกไฟลวก ถูกสารเคมี กรดด่าง หรือจากยาฟอกสีผิว รวมไปถึงโรคของระบบภายในร่างกายก็ทำให้เกิดรอยด่างขาวได้เช่นกัน เช่น โรคภูมิแพ้ โรคแพ้แสง โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคต่อมหมวกไตพิการ เป็นต้น แต่โรคที่เป็นและมีผิวด่างร่วมด้วยจะไม่เรียกว่าเป็นโรคด่างขาว แต่จะเรียกตามชื่อโรคที่เป็นสาเหตุ ดังนั้นการวินิจฉัยจึงต้องใช้ดุลยพินิจจากแพทย์ผิวหนังที่มีประสบการณ์ เพื่อทำการจำแนกการเกิดโรคและเข้าสู่กระบวนการรักษาที่ถูกต้อง

เนื่องจากโรคด่างขาวที่สัมพันธ์กับโรคภูมิต้านตนเองที่เกิดกับอวัยวะหรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ ซึ่งแพทย์อาจต้องทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์

โรคด่างขาวแตกต่างจากเกลื้อน โรคเรื้อน และกลากน้ำนม ตรงที่ถ้าเป็นโรคด่างขาว ผื่นมักจะขึ้นกระจายคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้างของร่างกาย ผื่นจะมีขอบเขตที่ชัดเจน ไม่คัน ไม่ชา การรับรู้ความรู้สึกยังเป็นปกติ (เมื่อถูกเข็มแทง จะรู้สึกเจ็บ) และมักเป็นเรื้อรังไปตลอดชีวิต แต่ถ้าเป็นเกลื้อนมักจะขึ้นเป็นรอยแต้ม ๆ มีสีต่าง ๆ มีขุยบาง ๆ และหลุดออกเมื่อใช้เล็บขูด ถ้าใช้ยารักษาเกลื้อนก็มักจะหายได้เป็นพัก ๆ ส่วนโรคเรื้อนนั้นผิวหนังจะเป็นวงด่างซึ่งจะไม่มีขน ไม่มีเหงื่อ และชา (เมื่อหยิกหรือถูกเข็มแทงจะไม่เจ็บ) และสำหรับกลากน้ำนม วงด่างจะมีขอบเขตไม่ชัดเจนและมีขุยบาง ๆ มักพบในเด็กและวัยรุ่น เมื่อโตขึ้นจะหายได้เอง

วิธีรักษาโรคด่างขาว

โรคด่างขาวเป็นโรคที่หายได้ยาก ไม่สามารถทำให้รอยโรคหายได้ทุกราย จะหายได้ในบางรายเท่านั้น การรักษาในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ (คือ ไม่มีวิธีการรักษาใดที่ได้ผลถาวรและเป็นที่น่าพอใจ) แพทย์จึงใช้แนวทางการรักษาแบบผสมผสานกันไปทั้งการทายา การรับประทานยา การฉายแสง การปลูกถ่ายเซลล์สร้างเม็ดสี เพราะโรคด่างขาวแต่ละชนิด ในแต่ละคนก็มีการตอบสนองต่อการรักษาไม่เหมือนกัน แนวทางในการรักษาโดยทั่วไปจึงขึ้นอยู่กับลักษณะของสีผิวดั้งเดิม ชนิด การกระจาย และการดำเนินโรค

วิธีป้องกันโรคด่างขาว

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดโรคด่างขาวได้ เพราะยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด อีกทั้งโรคนี้ก็มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม เพราะฉะนั้นคงทำได้แค่คอยสังเกตร่างกายตัวเองว่ามีรอยโรคที่เป็นรอยด่างขาวเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้ามีก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาแนวทางในการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “โรคด่างขาว”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1016-1017.
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 208 คอลัมน์ : ผู้หญิงกับความงาม.  (พญ.ปรียา กุลละวณิชย์).  “โรคด่างขาว”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [26 พ.ค. 2016].
  3. สำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง.  “โรคด่างขาว”.  (ศ.ดร.นพ.ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.mfu.ac.th.  [26 พ.ค. 2016].

ภาพประกอบ : www.novitiligo.com, spdermacenter.com, www.huffingtonpost.co.uk, www.fightvitiligo.com, vitiligocover.com, www.healthtap.com, www.vitiligozone.com, www.skindiseasehospital.org, www.naturallyhealthyskin.org, www.medicalnewstoday.com, www.ijpd.in, www.skindiseasehospital.org, www.huffingtonpost.com, www.e-ijd.org, www.dermavision.in, www.skinmds.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคด่างขาว
  • 2 สาเหตุของโรคด่างขาว
  • 3 อาการของโรคด่างขาว
  • 4 โรคด่างขาวมีกี่ชนิด
  • 5 การวินิจฉัยโรคด่างขาว
  • 6 วิธีรักษาโรคด่างขาว
  • 7 วิธีป้องกันโรคด่างขาว
  • 8 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ