เปลือกตาอักเสบ (Blepharitis) อาการ สาเหตุ การรักษาเปลือกตาอักเสบ 8 วิธี

เปลือกตาอักเสบ

เปลือกตาอักเสบ หรือ หนังตาอักเสบ (Blepharitis หรือ Eyelid inflammation) คือ การอักเสบของผิวหนังบริเวณเปลือกตาหรือหนังตาและเนื้อเยื่อใกล้เคียง เช่น ขนตา, ต่อมรอบโคนขนตา, ต่อมสร้างน้ำตาที่ขอบเปลือกตาซึ่งเรียกว่า “ต่อมไมโบเมียน” (Meibomian gland) ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างน้ำตาชั้นนอกสุดที่เป็นชั้นไขมัน ช่วยให้น้ำตาไม่ระเหยเร็ว

เปลือกตาอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อย สามารถพบได้ในคนทุกวัยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ชายและผู้หญิงก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ใกล้เคียงกัน โดยทั่วไปมักพบในผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และโดยมากเปลือกตาอักเสบมักจะเป็นกับตาทั้ง 2 ข้าง และเป็นแบบเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ ส่งผลทำให้ตาแห้ง ขนตาเกเข้าเขี่ยกระจกตา ตลอดจนผิวกระจกตาอักเสบ

เปลือกตาอักเสบอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้

  1. เปลือกตาอักเสบชนิดที่เกิดจากเปลือกตาติดเชื้อแบคทีเรียสแตฟีโลค็อกคัส (Staphylococcal blepharitis)
  2. เปลือกตาอักเสบชนิดที่เป็นการอักเสบของผิวหนังรอบ ๆ ต่อมสร้างไขมันที่เปลือกตา (Seborrheic blepharitis)
  3. เปลือกตาอักเสบชนิดที่เกิดจากต่อมไมโบเมียนทำงานผิดปกติ (Posterior blepharitis หรือมักเรียกกันว่า Meibomian gland dysfunction – MGD) โดยปกติแล้วต่อมไมโบเมียนจะสร้างสารที่เรียกว่า “Meibum” ที่มีลักษณะใส สีเหลือง ๆ เป็นส่วนประกอบของชั้นไขมันที่อยู่บนสุดของชั้นน้ำตา เมื่อต่อมไมโบเมียนเกิดทำงานผิดปกติ สาร Meibum ที่ออกมาจะมีลักษณะข้นเป็นสีขาวคล้ายแป้งเปียก ทำให้มีการสร้างน้ำตาในชั้นไขมันได้น้อยลง จึงมีผลทำให้น้ำตาระเหยเร็ว ทำให้เกิดอาการตาแห้ง ตาแดง คันตา เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล หรืออาจมีการสร้างไขมันมาก ทำให้เกิดการอักเสบของเปลือกตา ส่งผลให้เกิดอาการหนังตาแดง มีคราบขี้ตาหรือสะเก็ดบริเวณขนตา

นอกจากนี้ยังอาจแบ่งภาวะเปลือกตาอักเสบออกได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้

  1. การอักเสบส่วนหน้า (ประกอบด้วยขนตาและต่อมรอบโคนขนตา) ได้แก่ การอักเสบของเปลือกตาชนิดที่เกิดจากเปลือกตาติดเชื้อแบคทีเรียสแตฟีโลค็อกคัส (Staphylococcal blepharitis) และการอักเสบของเปลือกตาชนิดที่เป็นการอักเสบของผิวหนังรอบ ๆ ต่อมสร้างไขมันที่เปลือกตา (Seborrheic blepharitis)
  2. การอักเสบส่วนหลัง (ประกอบด้วยต่อมไมโบเมียน) ได้แก่ การอักเสบของเปลือกตาชนิดที่เกิดจากต่อมไมโบเมียนทำงานผิดปกติ (Posterior blepharitis หรือมักเรียกกันว่า Meibomian gland dysfunction – MGD) ซึ่งจะไม่กล่าวถึงในบทความนี้ เพราะโดยทั่วไปแล้วถ้าเราพูดถึงเปลือกตาอักเสบ เรามักจะหมายถึงเฉพาะการอักเสบส่วนหน้าที่มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ ชนิด Staphylococcal blepharitis และ Seborrheic blepharitis ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีลักษณะอาการของการอักเสบส่วนใหญ่ที่คล้ายกัน และแตกต่างกันแต่เพียงเล็กน้อยดังที่จะกล่าวในหัวข้ออาการ
โรคเปลือกตาอักเสบ
IMAGE SOURCE : www.theralife.com

สาเหตุของเปลือกตาอักเสบ

สาเหตุที่ทำให้เปลือกตาอักเสบ ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่พบว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเปลือกตาอักเสบ ได้แก่

อาการของเปลือกตาอักเสบ

อนึ่ง เปลือกตาอักเสบทั้ง 2 ชนิดอาจพบภาวะอักเสบเป็นแผลเล็ก ๆ บริเวณด้านล่างกระจกตา (Punctate epithelial erosion) ได้ แต่จะพบในเปลือกตาอักเสบชนิด Staphylococcal blepharitis มากกว่า และยังอาจพบการอักเสบที่ขอบกระจกตา (Marginal keratitis) ได้มากกว่าด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ เปลือกตาอักเสบทั้ง 2 ชนิดเมื่อเป็นนานเข้าจะทำให้เกิดภาวะตาแห้งจากการขาดน้ำตาชั้น Aqueous ได้ ดังนั้น ในผู้ป่วยบางรายจึงอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการตาแห้งก็ได้

รูปเปลือกตาอักเสบ
IMAGE SOURCE : www.pbase.com, diseasespictures.com
อาการเปลือกตาอักเสบ
IMAGE SOURCE : www.medicinenet.com, www.medfusion.net, medicalpoint.org, diseasespictures.com

หากคุณมีอาการเหล่านี้บ่อย ๆ แสดงว่าอาจมีปัญหาของโรคเปลือกตาอักเสบได้ เช่น ตาเป็นกุ้งยิง, เปลือกตาบวม แดง มีตุ่มคล้ายสิว, หนังตาแดง มีคราบขี้ตาหรือสะเก็ดบริเวณขนตา, ขอบเปลือกตามีตุ่มใส ๆ, ขนตาเก, ตาแห้ง ตาแดง คันตา เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล

ภาวะแทรกซ้อนของเปลือกตาอักเสบ

การวินิจฉัยเปลือกตาอักเสบ

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากลักษณะทางคลินิก โดยการอาศัยประวัติอาการเปลือกตาบวม เจ็บตา ตาแดง แสบตา เปลือกตาบวม คล้ายกับมีผงอยู่ในตา ซึ่งผู้ป่วยมักจะมีอาการในตอนเช้า พอสายหน่อยอาการจะดีขึ้น ร่วมกับการตรวจพบหนังตาบวมแดง ในการอักเสบของเปลือกตาชนิด Staphylococcal blepharitis จะมีสะเก็ดเป็นขุย ๆ หรือมีสะเก็ดเป็นมันในการอักเสบชนิดของเปลือกตาชนิด Seborrheic blepharitis นอกจากนี้อาจพบเยื่อบุตาแดง (ตาแดง) ภาวะตาแห้ง ร่วมกับมีการอักเสบเป็นแผลของผิวกระจกตา

วิธีรักษาเปลือกตาอักเสบ

  1. การทำความสะอาดเปลือกตา (โดยเฉพาะบริเวณรูเปิดของต่อมไมโบเมียน) เพื่อความสะอาด สบายตา และลดปริมาณเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกที่อยู่ขอบเปลือกตาและรอบเปลือกตา โดยควรทำความสะอาดวันละ 2-4 ครั้ง (ถ้าอาการดีขึ้นให้ลดลงเป็นวันละ 1-2 ครั้ง) โดยมีวิธีการดังนี้
    • ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนเริ่มทำความสะอาดเปลือกตา แล้วให้ใช้ไม้พันสำลีหรือสำลีแผ่นที่ไม่มีขุย นำมาชุบกับน้ำอุ่นต้มสุก หรือชุบกับน้ำอุ่นผสมแชมพูสระผมเด็กที่ระคายเคืองต่อผิวหรือตาน้อยที่สุด (แต่ต้องระวังอย่าให้เข้าตา เพื่อป้องกันการแสบตาหรือระคายเคืองตา เนื่องจากไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับดวงตาโดยตรง) หรือจะชุบกับผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดเปลือกตาโดยเฉพาะ (Lid Scrub) ก็ได้จะดีมาก เช่น OCuSOFT® ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 สูตร คือ สูตรออริจินัล (Original) สำหรับใช้ทำความสะอาดเปลือกตาเป็นประจำทุกวัน ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการเปลือกตาอักเสบในระยะเริ่มแรกหรือมีความเสี่ยงที่จะเป็น (เช่น ผู้ที่แต่งหน้า ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ) เพราะสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคของต่อมไมโบเมียนที่ขอบเปลือกตาได้ (เช่น ตากุ้งยิง เปลือกตาอักเสบ เป็นต้น) และสูตรพลัส (Plus) สำหรับใช้ทำความสะอาดเปลือกตาในผู้ป่วยที่มีภาวะเปลือกตาอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ หรือผู้ป่วยที่มีอาการเปลือกตาอักเสบร่วมกับการติดเชื้อ หรือผู้ป่วยที่พบว่าที่ขนตามีเชื้อไรเดโมเด็กซ์ (Demodex) โดยนำมาใช้เช็ดทำความสะอาดเปลือกตาและขอบตาโดยไม่ต้องล้างออก
    • ให้ชุบพอหมาด ๆ แล้วให้เช็ดทำความสะอาดบริเวณเปลือกตาและขอบเปลือกตาเบา ๆ ประมาณ 30 วินาที (ไม่ควรถูเปลือกตาแรงเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดแผลได้) และให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรืออาจจะไม่ต้องล้างออกถ้าใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับทาทิ้งไว้โดยเฉพาะ
    • ในระหว่างนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางบริเวณขอบตาทุกชนิดจนกว่าโรคจะหายดี แต่หากจำเป็นต้องใช้ ต้องรีบเช็ดออกทันทีหลังเสร็จภารกิจ
      วิธีรักษาเปลือกตาอักเสบ
      IMAGE SOURCE : www.oculoplastics.co.uk
  2. การประคบอุ่นที่เปลือกตา เป็นการรักษาหลัก ๆ สำหรับภาวะเปลือกตาอักเสบ เพราะความอุ่นจะช่วยทำให้มีเลือดมาเลี้ยงบริเวณที่อักเสบและช่วยละลายไขมันที่เป็นสารตกค้างอยู่ได้ ซึ่งจะทำให้ไขมันที่อุดตันไหลออกมาได้ง่าย และช่วยให้อาการอักเสบที่เป็นอยู่ลดลง โดยอุปกรณ์ที่สามารถนำมาใช้ในการประคบอุ่นที่เปลือกตาได้มีหลายอย่าง เช่น ผ้าชุบน้ำอุ่น, ถุงเจลประคบร้อน-เย็น (ลักษณะเป็นถุงพลาสติกหนาสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในบรรจุเจลสีน้ำเงินฟ้า ก่อนนำมาใช้ให้นำถุงเจลไปแช่น้ำร้อนเสียก่อน), ถุงน้ำร้อน, น้ำร้อนใส่ขวดแก้วขนาดเล็กที่ปิดฝาสนิท, ไข่ต้มสุกที่อุ่นร้อน, ข้าวหุงสุกที่อุ่นร้อนที่นำมาใส่ในถุงพลาสติก หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น Warming eye mask เป็นต้น สำหรับวิธีการประคบอุ่นนั้น มีดังนี้
    • ก่อนทำการประคบให้นำอุปกรณ์ประคบอุ่นมาทดสอบอุณหภูมิที่หลังมือเสียก่อน โดยอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ ประมาณ 40 องศาเซลเซียส (ไม่ควรร้อนจัด เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตาได้)
    • ให้หลับตาลง แล้ววางผ้าบาง ๆ ไว้ 1 ชั้น ก่อนที่จะนำอุปกรณ์สำหรับประคบอุ่นวางลงไป
    • ให้วางอุปกรณ์สำหรับประคบอุ่นลงบนเปลือกตาทั้ง 2 ข้าง นานติดต่อกันอย่างน้อย 5-15 นาที หากอุปกรณ์ที่นำมาประคบอุ่นมีอุณหภูมิลดลงมาก ให้นำไปอุ่นร้อนใหม่ แล้วประคบต่อจนครบตามเวลา (แนะนำว่าควรมีอุปกรณ์ประคบอุ่นสำรองเผื่อไว้ด้วย)
    • ในช่วงแรกให้ประคบอุ่นวันละ 2-4 ครั้ง ถ้ามีอาการน้อยลงหรือเมื่ออาการดีขึ้นแล้วให้ลดลงเป็นวันละประมาณ 1-2 ครั้ง
    • การนวดเปลือกตา ให้ดึงหัวตาและหางตาให้ตึง แล้วนวดเปลือกตาบนโดยการกดรูดจากบนลงล่าง ส่วนตาล่างให้นวดโดยการกดรูดจากล่างขึ้นบน ซึ่งจะเป็นการนวดตามการวางตัวของต่อมไมโบเมียน (Meibomian gland) ที่ขอบเปลือกตา เพื่อให้ไขมันที่อุดตันอยู่ในต่อมระบายออกมา นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์บางอย่างที่ช่วยในการนวดเปลือกตาได้อีกด้วย เช่น แท่งหลอดแก้ว ไม้พันสำลี หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปอื่น ๆ เป็นต้น
  3. ไปพบแพทย์ หากดูแลตนเองในเบื้องต้นตามข้อ 1-3 แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์หรือจักษุแพทย์ แต่ถ้ามีอาการมากตั้งแต่แรกหรือมีอาการเลวลงในระหว่างการดูแลตนเองต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ซึ่งแพทย์จะให้การรักษาเปลือกตาอักเสบตามแนวทางในข้อถัดไป
  1. การใช้ยาป้ายตา/ยาหยอดตา มีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ดังนี้
    • ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาขี้ผึ้งคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) ที่ใช้ป้ายตาบริเวณขอบเปลือกตาหลังทำความสะอาดเปลือกตาแล้วในช่วงก่อนเข้านอน, ยาหยอดตาอะซิโทรมัยซิน (Azithromycin), ยาหยอดตาเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) และยาหยอดตากลุ่มควิโนโลน (Quinolones) เป็นต้น (มักใช้ยาปฏิชีวนะป้ายตาในกรณีที่เป็นเปลือกตาอักเสบชนิด Staphylococcal blepharitis แต่หากเป็นเปลือกตาอักเสบชนิด Seborrheic blepharitis อาจไม่จำเป็นต้องป้ายยาปฏิชีวนะ แต่ควรให้การรักษาผิวหนังรอบ ๆ ตา ซึ่งมักจะมีโรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์มร่วมด้วย ร่วมไปกับการรักษาควบคุมโรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม) และถ้ามีการอักเสบมากของเปลือกตาอาจใช้ยาป้ายตาชนิดที่มีสเตียรอยด์เพื่อช่วยลดการอักเสบร่วมด้วย ทั้งนี้ควรให้จักษุแพทย์เป็นผู้แนะนำชนิดของยาที่จะใช้ แต่หากใช้ยาปฏิชีวนะดังกล่าวแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานร่วมด้วย
    • ยาหยอดตาสเตียรอยด์ มักใช้เพื่อลดการอักเสบในผู้ป่วยที่มีอาการของกระจกตาอักเสบร่วมด้วยหรือที่มีการอักเสบรุนแรง โดยจะใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งการใช้ยานี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น เนื่องจากยาอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเป็นอันตรายได้
    • น้ำตาเทียม มักใช้ในกรณีที่เป็นการอักเสบเรื้อรังแล้วผู้ป่วยมีอาการตาแห้งร่วมด้วย เพื่อช่วยหล่อลื่นผิวตาซึ่งมักจะแห้งเนื่องจากน้ำตาระเหยเร็วไป และช่วยชะล้างสารที่กระตุ้นการอักเสบ ซึ่งควรใช้น้ำตาเทียมชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย ให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาได้นาน มีไขมันเป็นส่วนประกอบเพื่อช่วยทดแทนชั้นไขมันที่ลดน้อยไป มีค่าออสโมลาลิตี (Osmolality) ต่ำ และมีคุณสมบัติที่ช่วยสมานแผลที่ผิวกระจกตาได้ดี
  2. การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน แพทย์อาจสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานให้ในผู้ป่วยบางรายร่วมด้วย (โดยเฉพาะในรายที่เป็นเปลือกตาอักเสบชนิด Staphylococcal blepharitis ซึ่งผู้ป่วยมักจะเป็นอย่างเรื้อรัง และการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดป้ายตาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ) ซึ่งโดยทั่วไปแพทย์จะให้รับประทานทานนานประมาณ 6-8 สัปดาห์ (หากรับประทานยาแล้วหายใจไม่ออก หน้าบวม มีผื่นขึ้น หรือมีปัญหาในการใช้ยาปฏิชีวนะ ควรพบแพทย์ทันที) ซึ่งยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งจ่ายมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ตัวอย่างเช่น
    • ยาเตตราไซคลีน (Tetracycline) ขนาดเม็ดละ 250 มิลลิกรัม ใช้รับประทานหลังอาหารทันที ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 4 ครั้ง (ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร)
    • ยาดอกซีไซคลีน (Doxycycline) ขนาดเม็ดละ 100 มิลลิกรัม ใช้รับประทานหลังอาหารทันที ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง (ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร)
    • ยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ขนาดเม็ดละ 250 มิลลิกรัม ใช้รับประทานก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ซึ่งมักใช้สำหรับผู้ป่วยที่แพ้ยาทั้งสองชนิดดังกล่าว
  3. การผ่าตัด เป็นการผ่าตัดเพื่อช่วยให้รูของต่อมไมโบเมียนที่ขอบเปลือกตาเปิด หรือเป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อนจากเปลือกตาอักเสบเรื้อรัง เช่น การผ่าตัดแก้ไขเปลือกตาเพื่อไม่ให้ขนตาเข้าเขี่ยกระจกตา กระจกตามีแผลเป็นขนาดใหญ่ เป็นต้น
  4. การรักษาอื่น ๆ เช่น การถอนหรือจี้ขนตาเก การอุดท่อน้ำตา เป็นต้น
  5. ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ และควรไปพบแพทย์ก่อนนัดเมื่ออาการต่าง ๆ เลวลง หรือมีอาการทางสายตา (เช่น มองเห็นภาพไม่ชัด) หรือเมื่อมีความกังวลในอาการที่เป็นอยู่

โรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีกถ้าไม่รักษาความสะอาดของเปลือกตาและใบหน้าให้ดี และ/หรือไม่สามารถควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ดี แต่ถ้าผู้ป่วยมีการดูแลสุขภาพอนามัยที่บริเวณเปลือกตา ใบหน้า ตลอดจนสุขภาพร่างกายที่ดีแล้ว ก็จะทำให้โรคหายเร็วและไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก

วิธีป้องกันเปลือกตาอักเสบ

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “หนังตาอักเสบ (Blepharitis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 941-942.
  2. หาหมอดอทคอม.  “เปลือกตาอักเสบ หรือ หนังตาอักเสบ (Blepharitis)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [11 ธ.ค. 2016].
  3. ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.  “เปลือกตาอักเสบ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ”.  (ศ.พญ.สมสงวน อัษญคุณ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.med.cmu.ac.th.  [11 ธ.ค. 2016].
  4. โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอลเซ็นเตอร์.  “การดูแลรักษาโรคขอบเปลือกตาอักเสบ”.  (พญ.ณฐมน ศรีสำราญ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : theworldmedicalcenter.com.  [12 ธ.ค. 2016].
  5. SOPTIK.  “เปลือกตาอักเสบ”.  (พญ.อรทัย ชาญสันติ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.isoptik.com.  [12 ธ.ค. 2016].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 เปลือกตาอักเสบ
  • 2 สาเหตุของเปลือกตาอักเสบ
  • 3 อาการของเปลือกตาอักเสบ
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของเปลือกตาอักเสบ
  • 5 การวินิจฉัยเปลือกตาอักเสบ
  • 6 วิธีรักษาเปลือกตาอักเสบ
  • 7 วิธีป้องกันเปลือกตาอักเสบ
  • 8 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ