หูอื้อ มีเสียงในหู (Tinnitus) อาการ สาเหตุ และการรักษาหูอื้อ 11 วิธี

หูอื้อ

หูอื้อ, มีเสียงในหู, เสียงดังในหู หรือ เสียงรบกวนในหู (Tinnitus) เป็นอาการหรือภาวะที่พบได้ทั่วไป ทั้งนี้ในสหรัฐอเมริกามีคนป่วยเป็นโรคนี้ถึง 40 ล้านคน แต่มีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่รู้สึกว่าหูอื้อนี้เป็นปัญหาสำคัญ

ในด้านของความหมาย “อาการหูอื้อ” หมายถึง การได้ยินลดลง ความคมชัดของเสียงลดลง หรือบางรายอาจรู้สึกเหมือนมีอะไรอุดหูหรือรู้สึกมีเสียงรบกวนในหู ซึ่งอาจเป็นเสียงแหลมวี้ด ๆ คล้ายมีแมลงวันบินอยู่ในหู หรือเป็นเสียงหึ่ง ๆ หรือเสียงตุบ ๆ ที่ดังตามจังหวะการเต้นของชีพจร เป็นต้น แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้ยินเสียงเหล่านี้จะรู้สึกรำคาญจนทนไม่ได้ เพราะบางคนอาจไม่มีปัญหากับอาการหูอื้อที่เกิดขึ้นเลยก็ได้ ทั้งนี้หูอื้อบางชนิดก็มีอันตราย บางชนิดก็ไม่มีอันตราย ดังจะกล่าวถึงต่อไป

เสียงในหู คือ เสียงที่เกิดจากความผิดปกติของหูหรืออวัยวะข้างเคียง ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ

  1. เสียงในหูที่ผู้ป่วยได้ยินคนเดียว (Subjective Tinnitus) เช่น เสียงแหลมวี้ดหรือเสียงจิ้งหรีดร้อง, เสียงหึ่ง ๆ อื้อ ๆ, เสียงลม, เสียงพรึบพรับ เป็นต้น
  2. เสียงที่แพทย์ได้ยินด้วย (Objective Tinnitus) มักเป็นเสียงที่เกิดจากหลอดเลือดแดงใหญ่ (Carotid artery) หลอดเลือดดำใหญ่ (Jugular vein) ที่ผ่านจากคอไปสมอง ซึ่งมักเป็นเสียงตุบ ๆ หรือเสียงฟู่ ๆ ตามชีพจร

ลักษณะเสียงรบกวนในหู

การสังเกตลักษณะเสียงรบกวนในหูของผู้ป่วยต่อไปนี้จะช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เป็นสาเหตุได้ เช่น

นอกจากเสียงรบกวนในหูดังกล่าวจะช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เป็นสาเหตุได้แล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจะมีวินิจฉัยโดยการตรวจการได้ยิน (Audiogram) ร่วมด้วยเสมอ เพื่อความแม่นยำและความถูกต้องในการวินิจฉัยโรค

สาเหตุที่ทำให้หูอื้อ

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการหูอื้อมีหลายสาเหตุ เช่น

สาเหตุหูอื้อ
IMAGE SOURCE : www.wikihow.com

ผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดหูอื้อ

อาการหูอื้อ

ผู้ป่วยจะมีอาการได้ยินเสียงลดลง ความคมชัดของเสียงลดลง หรือบางรายอาจรู้สึกเหมือนมีอะไรอุดหูหรือรู้สึกมีเสียงรบกวนในหู ซึ่งลักษณะของเสียงที่ได้ยินจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เป็นดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

อาการหูอื้อหรือมีเสียงในหูส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง แต่อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกรำคาญได้ เพราะบางรายอาจเป็นถึงขั้นนอนไม่หลับจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายส่วนอื่น ๆ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสาเหตุด้วยว่าเกิดจากอะไร เพราะถ้าอาการหูอื้อเกิดจากเนื้องอกในช่องหู (Glomus tumor) หรือโรคมะเร็ง ก็จะเป็นโรคที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม สาเหตุนี้ก็พบได้น้อยกว่าสาเหตุอื่น ๆ มาก

จะทราบได้อย่างไรว่าหูอื้อ ?

ส่วนใหญ่อาการหูอื้อที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันนั้นตัวผู้ป่วยเองมักจะรู้สึกถึงความผิดปกติได้ แต่ในกลุ่มที่มีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยมักไม่ทราบด้วยตัวเองและต้องอาศัยคนใกล้ชิดปกติ เช่น เรียกแล้วไม่ค่อยได้ยินหรือต้องเปิดโทรศัพท์เสียงดัง ๆ

ทั้งนี้ สำหรับวิธีการทดสอบการได้ยินด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ สามารถทำได้โดยการใช้นิ้วมือถูกันเบา ๆ ที่บริเวณหน้าหูทีละข้าง แล้วสังเกตความแตกต่างของระดับเสียงที่ได้ยิน (การทดสอบนี้จะใช้ได้เมื่อหูทั้งสองข้างมีการได้ยินไม่เท่ากัน)

อาการหูอื้อ
IMAGE SOURCE : hearinggroup.com

การวินิจฉัยอาการหูอื้อ

แพทย์จะทำการซักประวัติอาการและตรวจหูของผู้ป่วยอย่างละเอียด เพื่อดูว่าเสียงนั้นน่าจะมาจากในหูหรือนอกหู เกี่ยวกับเส้นประสาทหรือไม่ เป็นหูชั้นนอก หูชั้นกลาง หรือหูชั้นใน แล้วผู้ป่วยได้ยินคนเดียวหรือแพทย์ได้ยินเสียงนั้นด้วย เมื่อตรวจเจอสาเหตุก็จะรักษาไปตามสาเหตุนั้น ๆ

แต่ในกรณีที่ตรวจไม่เจอความผิดปกติใด ๆ คราวนี้จะยากขึ้นมาหน่อย เพราะแพทย์อาจจะต้องทำการตรวจการได้ยิน (Audiogram) เพื่อดูว่าหูของผู้ป่วยได้ยินเสียงที่ความถี่ต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง หูข้างซ้ายและข้างขวาได้ยินเท่ากันหรือไม่ เพราะมีผู้ป่วยหลายรายที่พบว่าหูทั้งสองข้างปกติ แต่มีข้างหนึ่งที่ดีกว่าอีกข้างอย่างชัดเจน (ประมาณว่า “ดีเกินไป”) จึงอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอื้อ ๆ กับหูข้างที่ด้อยกว่าแต่ยังปกติได้ครับ นอกจากนี้อาจจำเป็นต้องส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาโรคที่อาจซุกซ่อนอยู่ด้วย เช่น การตรวจหาเชื้อซิฟิลิส, การวิเคราะห์การทำงานของเส้นประสาทหูส่วนก้านสมองเพื่อหาหลักฐานว่ามีเนื้องอกหรือไม่ (Audiotory brain stem response – ABR), การสแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อจะทำให้เห็นเนื้องอกได้

วิธีรักษาอาการหูอื้อ

วิธีป้องกันอาการหูอื้อ

การป้องกันการเกิดอาการหูอื้อสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  1. หลีกเลี่ยงการฟังเสียงดัง ๆ หรือถ้าต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีเสียงดังก็ต้องมีเครื่องป้องกันหูที่ถูกต้อง เช่น ที่อุดหู
  2. ควรป้องกันตนเองไม่ให้เป็นหวัด โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เช่น ความเครียด, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, การตากฝน, การดื่มหรืออาบน้ำเย็น, การสัมผัสอากาศที่เย็นเกินไป, การสัมผัสอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (เช่น จากร้อนไปเย็น จากเย็นไปร้อน), การมีคนรอบข้างที่ไม่สบายคอยแพร่เชื้อให้ เป็นต้น (แต่ในกรณีที่เป็นหวัดแล้ว ต้องรีบรักษาตัวเองให้หายและงดการดำน้ำในช่วงนั้น)
  3. ผู้ป่วยที่เป็นโรคจมูกหรือไซนัสอักเสบเรื้อรัง ควรป้องกันไม่ให้อาการทางจมูกหรือไซนัสกำเริบ โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น ความเครียด, อารมณ์เศร้า เสียใจ, ความวิตกกังวล, ของฉุน, ฝุ่น, ควัน, อากาศที่เปลี่ยนแปลง, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจหรือวัด เป็นต้น เนื่องจากถ้ามีการอักเสบในโพรงจมูกเกิดขึ้นจะส่งผลทำให้ท่อยูสเตเชียน* ทำงานผิดปกติ
  4. ถ้ามีอาการทางจมูกเกิดขึ้น เช่น คันจมูก คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล และจำเป็นต้องขึ้นเครื่องบิน ควรใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการทางจมูกก่อนขึ้นเครื่องเป็นเวลาตามที่แพทย์แนะนำ เช่น การรับประทานยาแก้แพ้ ยาหดหลอดเลือด หรือยาพ่นจมูก และอาจร่วมกับการล้างจมูกหรือการสูดไอน้ำร้อน เพื่อทำให้การอักเสบภายในจมูกลดน้อยลง ซึ่งจะช่วยทำให้ยูสเตเชียนกลับมาทำงานปกติได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น ควรทำให้ท่อยูสเตเชียนทำงานเปิดและปิดอยู่ตลอดเวลาในระหว่างเครื่องบินขึ้นและลงด้วย เช่น การเคี้ยวหมากฝรั่ง (เพื่อทำให้มีการกลืนน้ำลายบ่อย ๆ ซึ่งในขณะที่กลืนน้ำลายจะมีการเปิดและปิดท่อยูสเตเชียน) หรือบีบจมูก 2 ข้างและกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง (จะทำให้ท่อยูสเตเชียนปิด) และเอามือที่บีบจมูกออกและกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง (จะทำให้ท่อยูสเตเชียนเปิด) เป็นต้น ทั้งนี้ในขณะที่เป็นหวัดหรือไซนัสอักเสบซึ่งมีการติดเชื้อในจมูก ไม่ควรบีบจมูกและเป่าลมให้เข้ารูเปิดของท่อยูสเตเชียน เพราะอาจจะทำให้เชื้อโรคในจมูกเข้าไปสู่หูชั้นกลางได้ (ถ้าลองใช้ยาตามวิธีข้างต้นแล้วยังมีอาการทางหูอยู่ ให้พ่นยาหดหลอดเลือดเข้าไปในจมูกอีกทุก ๆ 10-15 นาที ร่วมกับทำตามวิธีที่ให้ท่อยูสเตเชียนทำงานเปิดและปิดอยู่ตลอดเวลาดังกล่าว ดังนั้น จึงควรพกยาหดหลอดเลือดชนิดพ่นและชนิดรับประทานติดตัวไว้ด้วยเสมอ)
  5. ดูแลรักษาหรือควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการหูอื้อดังที่กล่าวมา
  6. หลีกเลี่ยงการใช้ยาใด ๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อป้องกันการทำลายเซลล์ประสาทรับเสียงในหูชั้นใน
  7. ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ กาเฟอีน และนิโคติน เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้หลอดเลือดขยายตัวและส่งผลทำให้ได้ยินการไหลเวียนของเลือดในหูดังขึ้นหรือหูอื้อมากขึ้นได้
  8. หลีกเลี่ยงเกลือ เพราะเกลือจะทำให้การไหลเวียนของเลือดในร่างกายอ่อนแรง ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อีกทั้งยังอาจทำให้อาการเสียงดังในหูแย่ลงอีกด้วย
  9. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดการติดเชื้อและลดการเกิดโรคภัยไข้เจ็บที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการหูอื้อได้
  10. ไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับหูเกิดขึ้น
วิธีป้องกันหูอื้อ
IMAGE SOURCE : www.wikihow.com

หมายเหตุ : ท่อยูสเตเชียน (Eustachain tube) เป็นท่อที่ช่วยปรับความดันของหูชั้นกลางให้เท่ากับบรรยากาศภายนอก เพราะเมื่อใดก็ตามที่ท่อนี้ทำงานผิดปกติ จะทำให้เกิดอาการหูอื้อ ปวดหู มีเสียงในหู หรือเวียนศีรษะ บ้านหมุนได้ ตัวอย่างในชีวิตประจำวันที่เราพบได้บ่อย ๆ คือ การขึ้นหรือลงลิฟต์เร็ว ๆ หรือในขณะที่เครื่องบินขึ้นหรือลงเร็ว ๆ ก็จะทำให้มีอาการหูอื้อได้

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 1.  “หูอื้อ (Decreased hearing)/มีเสียงในหู (Tinnitus)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 100-102.
  2. หาหมอดอทคอม.  “หูอื้อ เสียงในหู (Tinnitus)”.  (นพ.วิรัช ทุ่งวชิรกุล).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [31 ธ.ค. 2016].
  3. ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “หูอื้อ”.  (รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [31 ธ.ค. 2016].
  4. ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “ขึ้น… ลงเครื่องบิน มีปัญหาปวดหู หูอื้อ…ทำอย่างไรดี”.  (รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [31 ธ.ค. 2016].
  5. โรงพยาบาลบางปะกอก 9.  “โรคเสียงอื้อในหู ความผิดปกติของหู”.  (พญ.พัตราภรณ์ ตันไพจิตร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bangpakokhospital.com.  [01 ม.ค. 2017].
  6. wikiHow.  “วิธีการแก้อาการหูอื้อ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : th.wikihow.com.  [01 ม.ค. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 หูอื้อ
  • 2 ลักษณะเสียงรบกวนในหู
  • 3 สาเหตุที่ทำให้หูอื้อ
  • 4 ผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดหูอื้อ
  • 5 อาการหูอื้อ
  • 6 จะทราบได้อย่างไรว่าหูอื้อ ?
  • 7 การวินิจฉัยอาการหูอื้อ
  • 8 วิธีรักษาอาการหูอื้อ
  • 9 วิธีป้องกันอาการหูอื้อ
  • 10 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ