หูตึง หูหนวก หูดับ อาการ สาเหตุ และการรักษาภาวะหูตึงหูหนวก 10 วิธี

หูตึง หูหนวก

หูตึง หูหนวก หูดับ หรือ การสูญเสียการได้ยิน (Hearing loss, Hearing impairment, Deaf หรือ Deafness) หมายถึง ภาวะที่ความสามารถในการได้ยิน/รับเสียงลดลง ซึ่งอาจเป็นเพียงเล็กน้อยหรือไม่ได้ยินเลยก็ได้ (หูหนวกสนิท) โดยสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคมักเกิดจาก ประสาทหูเสื่อมตามวัย ความผิดปกติแต่กำเนิด การได้ยินเสียงดังมากกว่าปกติเป็นเวลานาน การได้รับบาดเจ็บบริเวณหู ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด (โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะแบบฉีด) เป็นต้น

กลไกการได้ยินปกติจะประกอบไปด้วยโครงสร้าง 3 ส่วน ได้แก่ หูชั้นนอก หูชั้นกลาง และหูชั้นใน โดยหูชั้นนอกจะที่ทำหน้าที่รวบรวมเสียงจากภายนอกเข้าสู่ช่องหูและส่งผ่านไปยังหูชั้นกลาง ส่วนหูชั้นกลางจะมีหน้าที่รับพลังงานเสียงที่ส่งผ่านมาจากหูชั้นนอก ทำให้เยื่อแก้วหูและกระดูกหู 3 ชิ้น ได้แก่ กระดูกค้อน กระดูกทั่ง และกระดูกโกลน เกิดการสั่นสะเทือนตามคลื่นเสียง และหูชั้นในจะรับการสั่นสะเทือนที่ส่งผ่านมาจากหูชั้นกลางนั้นมายังคอเคลีย (Cochlea) ที่มีตัวรับสัญญาณเสียงเป็นเซลล์ขนขนาดเล็ก (Hair cell) ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเปลี่ยนสัญญาณเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า (Electronic impulses) แล้วสัญญาณไฟฟ้านี้จะส่งต่อไปยังเส้นประสาทรับเสียงและสมอง เพื่อแปลความหมายของเสียงที่ได้ยิน

ประเภทของการสูญเสียการได้ยิน

การสูญเสียการได้ยินสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ

  1. การสูญเสียการได้ยินชนิดการนำเสียงบกพร่อง (Conductive hearing loss) มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของหูชั้นนอกและหูชั้นกลาง (แต่ประสาทหูยังดีอยู่) ทำให้มีความผิดปกติในการส่งผ่านคลื่นเสียงไปยังส่วนของหูชั้นใน สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ยาหรือการผ่าตัด (โดยปกติคลื่นเสียงจากภายนอกเมื่อผ่านเข้าไปในช่องหูจะไปกระทบกับเยื่อแก้วหู แล้วมีการส่งต่อและขยายเสียงไปยังส่วนของหูชั้นในต่อไป) โดยสาเหตุมักเกิดจาก
    • เยื่อแก้วหูทะลุ (Ruptured eardrum) ผู้ป่วยจะมีอาการหูตึงเกิดขึ้นในทันทีภายหลังการได้รับบาดเจ็บ
    • ขี้หูอุดตัน (Cerumen impaction) ทำให้เกิดอาการหูตึงได้แบบชั่วคราว เมื่อเอาขี้หูออกก็สามารถกลับมาได้ยินเป็นปกติอีกครั้ง
    • หูชั้นกลางอักเสบหรือหูน้ำหนวก (Otitis media) ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจทำให้ผู้ป่วยหูหนวกได้
    • ภาวะมีน้ำขังอยู่ในหูชั้นกลาง (Serous otitis media)
    • ท่อยูสเตเชียนทำงานผิดปกติ (ท่อยูสเตเชียนเป็นท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางและโพรงหลังจมูก)
    • โรคหินปูนในหูชั้นกลาง (Otosclerosis) ทำให้กระดูกใหม่งอกขึ้นมา ซึ่งมักงอกขึ้นมายึดกระดูกโกลน ทำให้การสั่นของกระดูกผิดปกติและส่งผลให้เกิดอาการหูตึง โรคนี้เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย การรักษาต้องทำการผ่าตัดหรือใส่เครื่องช่วยฟัง
    • กระดูกหูชั้นกลางหักหรือหลุดจากอุบัติเหตุ เกิดจากการได้รับอุบัติเหตุอย่างรุนแรงที่ศีรษะ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหูอื้อ หูตึงทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ การรักษาต้องอาศัยการผ่าตัด
    • สาเหตุอื่น ๆ เช่น หูพิการแต่กำเนิด สิ่งแปลกปลอมเข้าหูทำให้เกิดการอุดตันในช่องหู แก้วหูอักเสบ เยื่อแก้วหูหนา มีเลือดออกในหูชั้นกลาง ฯลฯ
  2. การสูญเสียการได้ยินชนิดประสาทรับเสียงบกพร่อง (Sensorineural hearing loss) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของส่วนหูชั้นใน ประสาทรับเสียง ไปจนถึงสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้เรารับรู้และเข้าใจเสียงต่าง ๆ ความผิดปกติบริเวณนี้จะทำให้ได้ยินเสียงแต่ฟังไม่รู้เรื่อง ส่วนใหญ่จะทำให้เกิดภาวะหูตึง หูหนวกถาวร ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และบางโรคอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ โดยสาเหตุมักเกิดจาก
    • ประสาทหูเสื่อมตามวัย/หูตึงในผู้สูงอายุ (Presbycusis hearing loss) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด (80% มักเกิดจากสาเหตุนี้) มีสาเหตุมาจากเซลล์ขนในหูชั้นในและเส้นประสาทหูค่อย ๆ เสื่อมไปตามอายุ โดยเฉพาะเซลล์ขนส่วนฐานของคอเคลียจะเสื่อมไปก่อน ทำให้สูญเสียการได้ยินช่วงเสียงแหลมเมื่ออายุมากขึ้น การเสื่อมนั้นจะลามไปถึงช่วงความถี่กลางสำหรับฟังเสียงพูด ทำให้ผู้สูงอายุเริ่มหูตึง ฟังไม่ชัดเจนถึงระดับเสียงที่ดังขึ้น และมักบ่นว่าได้ยินเสียงแต่ฟังไม่รู้เรื่อง นั่นเป็นเพราะเซลล์ขนแปลสัญญาณผิดเพี้ยนไป ทำให้สมองอ่านสัญญาณไม่ออก โดยมากผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการเมื่ออายุได้ประมาณ 60 ปีขึ้นไป ในผู้ชายจะมีโอกาสเป็นมากกว่าและมีความรุนแรงกว่าผู้หญิง การใส่เครื่องช่วยฟังจะช่วยให้ได้ยินได้
    • ประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน (Acoustic trauma) เป็นการเสื่อมของเส้นประสาทหูที่เกิดจากการได้ยินเสียงที่ดังมากในระยะเวลาสั้น ๆ หรือได้ยินเพียงครั้งเดียว เช่น การได้ยินเสียงฟ้าผ่า เสียงระเบิด เสียงปืน เสียงพลุ หรือเสียงประทัด เป็นต้น
    • ประสาทหูเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป (Noise-induced hearing loss) จากการได้ยินเสียงดังระดับปานกลางหรือดังเกิน 85 เดซิเบลขึ้นไปเป็นเวลานาน ๆ (เสียงสนทนาปกติจะดังประมาณ 60 เดซิเบล และเสียงจากเครื่องเจาะถนนจะดังประมาณ 120 เดซิเบล) เช่น ผู้ที่ทำงานในโรงงาน, ทหาร/ตำรวจที่ต้องฝึกซ้อมการยิงปืนเป็นประจำ, เสียงดังจากเครื่องจักรหรือยวดยานพาหนะต่าง ๆ, เสียงเพลงหรือเสียงดนตรีที่ดังเกินควรที่ฟังผ่านหูฟัง, เสียงในงานคอนเสิร์ตที่ดังมาก ๆ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเสียงความถี่สูง ๆ (เสียงสูง) มักทำให้เกิดอาการหูตึงได้ เนื่องจากเซลล์ประสาทหูถูกคลื่นเสียงทำลายไปอย่างถาวรและไม่มีทางแก้ไขให้กลับคืนมาดีได้เหมือนเดิม ผู้ป่วยมักจะมีอาการเริ่มจากการได้ยินเสียงสูง (เช่น เสียงกระดิ่ง) สู้เสียงต่ำ (เช่น เสียงเคาะประตู) ไม่ได้ ถ้ายังอยู่ในที่ที่มีเสียงดังเช่นเดิม อาการหูตึงจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นหูหนวกได้ แต่ถ้าเลิกอยู่ในที่ที่มีเสียงดัง ๆ อาการหูตึงก็จะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง
    • ประสาทหูเสื่อมแต่กำเนิด เช่น การขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์หรือระหว่างคลอด, การติดเชื้อแต่กำเนิดหรือหลังคลอด เช่น ซิฟิลิส หัด หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ (มักเกิดจากมารดาติดเชื้อหัดเยอรมันในขณะตั้งครรภ์หรือใช้ยาที่มีฤทธิ์ทำลายประสาทหูทารกในครรภ์ ในรายที่หูหนวกแต่กำเนิด หากไม่ได้รับการรักษาฟื้นฟูเด็กมักจะใบ้ร่วมด้วย)
    • หูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis)
    • โรคเมเนียส์/น้ำในหูไม่เท่ากัน (Ménière’s disease) ภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้ส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงและอาจหายเองได้ แต่มีส่วนน้อยที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการหูตึงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนหูหนวกสนิทได้ ส่วนการรักษา แพทย์จะทำการรักษาด้วยยา ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัด
    • โรคเนื้องอกประสาทหู (Acoustic neuroma) ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการหูตึงขึ้นทีละน้อยหรือเกิดขึ้นอย่างฉับพลันก็ได้
    • โรคซิฟิลิส (Syphilis) ซึ่งในระยะท้ายของโรคหรือระยะแฝงจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการตามระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ตาบอด หูหนวก ใบหน้าผิดรูป กระดูกผุ
    • การได้รับอุบัติเหตุของหูชั้นใน ซึ่งอาจเกิดจากการถูกตบตี การได้รับการกระแทกอย่างรุนแรงบริเวณกกหูหรือถูกตบตีบริเวณด้านหลังศีรษะ ทำให้กระดูกหูชั้นในแตกร้าวและส่งผลให้เกิดอาการหูตึงชนิดประสาทหูเสื่อมในระดับเล็กน้อยถึงหูหนวกได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอุบัติเหตุและลักษณะการแตกร้าวของกระดูก
    • การผ่าตัดหูแล้วมีการกระทบกระเทือนต่อหูชั้นใน
    • การมีรูรั่วติดต่อระหว่างหูชั้นกลางและหูชั้นใน (Perilymphatic fistula)
    • การใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู (Ototoxic drug) เป็นระยะเวลานาน เช่น ซาลิไซเลต (Salicylate), อะมิโนไกลโคไซด์ (Aminoglycoside), ควินิน (Quinine), แอสไพริน (Aspirin), สเตรปโตมัยซิน (Streptomycin), กานามัยซิน (Kanamycin), เจนตามัยซิน (Gentamicin), โทบรามัยซิน (Tobramycin) เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นกับหูทั้งสองข้าง อาการจะเป็นทีละน้อยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยาบางชนิดจะทำให้มีอาการเพียงชั่วคราว เมื่อหยุดยาแล้วอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นหรือคงเดิมได้ แต่ยาบางชนิดก็ทำให้มีอาการถาวร รักษาไม่หาย
    • สาเหตุทางกรรมพันธุ์ เช่น โรคหูตึงจากกรรมพันธุ์
    • สาเหตุจากโรคทางกาย เช่น โรคโลหิตจาง, โรคเกล็ดเลือดสูงผิดปกติ, โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว, โรคที่มีระดับกรดยูริกในเลือดสูง, โรคไขมันในเลือดสูง, โรคความดันโลหิตสูงหรือต่ำ, โรคเบาหวาน, โรคไต เป็นต้น
    • สาเหตุที่เกิดในสมอง (Central hearing impairment) ทำให้ผู้ป่วยได้ยินเสียง แต่ไม่สามารถแปลความหมายได้ จึงไม่สามารถเข้าใจความหมายของเสียงที่ได้ยินและไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้ เช่น โรคของเส้นเลือด (เช่น เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน), โรคความดันโลหิตสูง, เลือดออกในสมองจากไขมันในเลือดสูง, โรคเนื้องอกในสมอง (เนื้องอกของประสาทหู และ/หรือประสาทการทรงตัว)
  3. การสูญเสียการได้ยินชนิดการรับฟังเสียงบกพร่องแบบผสม (Mixed hearing loss) เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติในการนำเสียงบกพร่องร่วมกับประสาทรับเสียงบกพร่อง ซึ่งพบในโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นนอกและหูชั้นกลาง ร่วมกับความผิดปกติของหูชั้นใน โรคที่พบ เช่น
    • โรคหูน้ำหนวกเรื้อรังที่ลุกลามเข้าไปในหูชั้นใน
    • โรคในหูชั้นกลางของผู้สูงอายุที่มีปัญหาประสาทรับเสียงเสื่อมด้วย
    • โรคหินปูนเกาะกระดูกโกลนและมีพยาธิสภาพในหูชั้นในร่วมด้วย (Cochlear otosclerosis)

อย่างไรก็ตาม มีผู้สูญเสียสมรรถภาพของการได้ยินจำนวนไม่น้อยที่แพทย์อาจตรวจไม่พบสาเหตุก็ได้

การสูญเสียการได้ยิน
IMAGE SOURCE : audiology.nmsu.edu

อาการหูตึงหูหนวก

ผู้ป่วยจะมีอาการที่การได้ยินลดลงจนถึงไม่ได้ยินเลยก็ได้ โดยอาจมีอาการเกิดขึ้นกับหูเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เป็น

คนที่หูตึงข้างเดียวจะมีปัญหาในการฟังและลำบากในการหาทิศทางของเสียง ส่วนคนที่หูตึงทั้งสองข้างจะมีปัญหาทางการได้ยินในระดับที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความผิดปกติของการสูญเสียการได้ยินว่าเป็นมากน้อยเพียงใด เช่น ถ้าหูตึงน้อยจะไม่ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ หรือเสียงกระซิบ หูตึงปานกลางจะไม่ได้ยินเสียงพูดปกติ หูตึงมากจะไม่ได้ยินเสียงพูดดัง ๆ หูตึงรุนแรงจะได้ยินเสียงตะโกนเพียงเล็กน้อย แต่ได้ยินไม่ชัด แต่ถ้าหูหนวก การตะโกนก็ไม่ช่วยทำให้ได้ยินเสียงแต่อย่างใด

นอกจากนี้ อาการหูตึงหูหนวกอาจเกิดร่วมกับอาการอื่น ๆ ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เป็น เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ เวียนศีรษะ มีสารคัดหลั่งจากหู เป็นใบ้

ทราบได้อย่างไรว่าหูตึงหูหนวก ?

เดซิเบล” (decibel – dB) เป็นหน่วยวัดระดับความดังของเสียง ค่าเดซิเบลจะเพิ่มขึ้นตามเสียงที่ดังมากขึ้น ในคนที่การได้ยินปกติจะได้ยินเสียงในระดับ 25 เดซิเบลหรือเบากว่านั้นได้ แต่ในคนหูตึงจะไม่ได้ยินเสียงที่เบากว่าระดับ 25 เดซิเบล

ระดับความผิดปกติของการสูญเสียการได้ยิน

ระดับความผิดปกติของการสูญเสียการได้ยินสามารถแบ่งออกได้เป็น หูตึงน้อย หูตึงปานกลาง หูตึงมาก หูตึงรุนแรง และหูหนวก

ระดับการได้ยิน ระดับความผิดปกติ ลักษณะอาการ
-10-25 dB การได้ยินปกติ ได้ยินเสียงพูดกระซิบเบา ๆ
26-40 dB หูตึงน้อย ไม่ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ แต่ได้ยินเสียงพูดปกติ และอาจต้องใช้เครื่องช่วยฟังบางโอกาส เช่น ตอนเรียนหนังสือ
41-55 dB หูตึงปานกลาง ไม่ได้ยินเสียงพูดปกติ ต้องพูดดังกว่าปกติจึงจะได้ยิน และจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยฟังขณะพูดคุย
56-70 dB หูตึงมาก ไม่ได้ยินเสียงพูดที่ดังมาก และจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยฟังตลอดเวลา
71-90 dB หูตึงรุนแรง ต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียงจึงจะได้ยิน แต่ได้ยินไม่ชัด
มากกว่า 90 dB หูหนวก การตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียงก็ไม่ได้ยินและเข้าใจความหมาย

แม้การสังเกตข้างต้นอาจบอกจะพอบอกได้คร่าว ๆ ว่า เรามีภาวะหูตึงหรือหูหนวกหรือไม่เพียงใด แต่การประเมินระดับความผิดปกติของการสูญเสียการได้ยินที่แน่นอนกว่านั้นจะต้องใช้เครื่องตรวจการได้ยิน (Audiogram) เพื่อวัดระดับการได้ยินเสียงบริสุทธิ์ในแต่ละความถี่

วิธีการสังเกตอาการหูตึงด้วยตนเอง

เราสามารถสังเกตว่ามีภาวะหูตึงหรือไม่ด้วยวิธีการง่าย ๆ คือ

  1. ฟังเสียงกระซิบหรือเสียงถูนิ้วระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ใกล้ใบหู ซึ่งปกติเสียงกระซิบจะได้ยินดังประมาณ 30 เดซิเบล แต่ถ้าไม่ได้ยินให้สงสัยว่าอาจมีปัญหาการได้ยิน
  2. ไปตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยินที่โรงพยาบาล ซึ่งการตรวจจะใช้เวลาเพียง 10-15 นาที ผู้ตรวจจะให้เราฟังเสียงพูดหรือเสียงบริสุทธิ์ที่ความถี่ต่าง ๆ ผ่านทางหูฟัง หรือใช้อุปกรณ์พิเศษผ่านทางกระดูก ก็จะทำให้ทราบผลได้ทันทีภายหลังการตรวจ
หูไม่ได้ยิน
IMAGE SOURCE : www.ezyhealth.com

การวินิจฉัยหูตึงหูหนวก

การรักษาหูตึงหูหนวก

แพทย์จะให้การรักษาไปตามสาเหตุที่ตรวจพบ ซึ่งแบ่งเป็นการรักษาด้วยยาและการผ่าตัด

ทั้งนี้ยังไม่มียาที่ช่วยแก้ไขการเสื่อมการได้ยินทั้งการนำเสียงและประสาทรับเสียงบกพร่องเพื่อให้การได้ยินกลับคืนมาได้ทั้งหมด การใช้ยาเพื่อรักษาโรคจากการติดเชื้อโรคตามระบบ รวมทั้งการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น เสียงดัง การใช้ยาที่มีพิษต่อหู จะเป็นเพียงการช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหูหนวกหูตึงขึ้นเท่านั้น

วิธีป้องกันหูตึงหูหนวก

การป้องกันโดยทั่วไป คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำลายหู ได้แก่

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “หูตึง/หูหนวก (Hearing loss/Deafness)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 924-925.
  2. ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “หูไม่ได้ยิน..จะให้ทำอย่างไร?”.  (รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [29 ธ.ค. 2016].
  3. ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.  “หูหนวก หูตึง รักษาได้”.  (ผศ.พญ.สุวิชา อิศราดิสัยกุล).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.med.cmu.ac.th.  [29 ธ.ค. 2016].
  4. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์.  “การสูญเสียการได้ยิน”.  (นพ.ณัฐวุฒิ วะน้ำค้าง).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bumrungrad.com.  [30 ธ.ค. 2016].
  5. INTIMEX.  “หูตึงในผู้ใหญ่”.  (รศ.พ.อ.พงษ์เทพ หารชุมพล).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.intimexhearing.com.  [30 ธ.ค. 2016].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 หูตึง หูหนวก
  • 2 ประเภทของการสูญเสียการได้ยิน
  • 3 อาการหูตึงหูหนวก
  • 4 ทราบได้อย่างไรว่าหูตึงหูหนวก ?
  • 5 วิธีการสังเกตอาการหูตึงด้วยตนเอง
  • 6 การวินิจฉัยหูตึงหูหนวก
  • 7 การรักษาหูตึงหูหนวก
  • 8 วิธีป้องกันหูตึงหูหนวก
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ