รวมญาติตระกูลบี (ตอนที่ 7)

11 กุมภาพันธ์ 2016

นอกจากนี้ผลการวิจัยบางฉบับระบุว่า วิตามินบี 5 ยังอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคดังต่อไปนี้

• รักษาแผลให้หายเร็วขึ้น โดยเฉพาะแผลหลังการผ่าตัด
• ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
• ช่วยลดอาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)

สำหรับปริมาณความต้องการวิตามินบี 5 นั้น อยู่ที่ 3 - 12 mg ต่อวัน ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินบี 5 ได้แก่ ผู้ดื่มแอลกฮอล์ ผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิด (Oral contraceptives) ผู้ที่ได้รับอาหารไม่เพียงพออย่างผู้สูงอายุ ผู้พักฟื้นหลังการผ่าตัด และผู้ที่มีการดูดซึมที่ไม่ดี

โดยอาการของผู้ที่ขาดวิตามินบี 5 ได้แก่ อาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ หดหู่ซึมเศร้า หงุดหงิดรำคาญ คลื่นไส้ ปวดท้อง แสบเท้า และมีการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน

ทั้งนี้ แหล่งอาหารที่อุดมด้วยมีวิตามินบี 5 มากที่สุด คือ ยีสต์ และเครื่องในสัตว์ นอกจากนี้ยังพบได้ใน ไข่ นม ผัก พืชตระกูลถั่ว legumes และธัญพืช

อย่างไรก็ดี การได้รับวิตามินบี 5 ที่มากเกินไปจะทำให้เกิดอาการท้องเสีย และเพิ่มความเสี่ยงในการเลือดไหลไม่หยุด

วิตามินบี 6

วิตามินบี 6 ที่พบในอาหารธรรมชาติมี 3 รูปแบบ คือ ไพริดอกซิน (Pyridoxine) ไพริดอกซามัน (Pyridoxamine) pyridoxamine และไพริดอกซาล (Pyridoxal) การได้รับวิตามินบี 6 (Pyridoxine) ที่พอเพียงจะช่วยในการ

• เปลี่ยนอาหารให้เป็นน้ำตาลกลูโคส เพื่อใช้สร้างพลังงาน
• ช่วยสารสื่อประสาทในการนำสัญญานระหว่างเซลล์
• ผลิตฮอร์โมน เซลล์เม็ดเลือดแดง และเซลล์ของระบบภูมิต้านทาน
• ใช้ร่วมกับวิตามินบี 12 และวิตามินบี 9 เพื่อควบคุมระดับสารโฮโมซีสเตอีน (Homocysteine) ในเลือดที่อาจเกี่ยวโยงกับโรคหัวใจ

The European Food Safety Authority ได้ยืนยันถึงประโยชน์ของวิตามินบี 6 ไว้ว่า

• ช่วยในการเผาผลาญโปรตีนและสารไกลโคเจน (Glycogen)
• ช่วยให้การทำงานของระบบประสาทเป็นปกติ
• ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
• ช่วยให้ระบบภูมิต้านทานทำงานปกติ
• ควบคุมการทำงานของฮอร์โมน
• ช่วยในการเผาผลาญสารโฮโมซีสเตอีน
• ช่วยให้เกิดพลังงาน
• ช่วยในการสังเคราะห์ซีสเทอีน (Cysteine synthesis)
• ช่วยการทำงานของจิตใจ
• ลดอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า

แหล่งข้อมูล

1. Vitamin B5.[2016, February 10].

2. Vitamin B6[2016, February 10].