ยาต้านไวรัส (Antiviral drugs)

การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์

ยาต้านไวรัส

ยาต้านไวรัสมีคุณสมบัติอย่างไร?

ยาต้านไวรัส (Antiviral drugs) เป็นยาที่ใช้รักษาอาการต่างๆที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยยาต้านไวรัสแต่ละชนิดจะใช้กับเชื้อไวรัสชนิดที่แตกต่างกัน

ยาต้านไวรัสแบ่งเป็นกี่ประเภท?

ยาต้านไวรัสแบ่งตามการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้เป็นหลายชนิด/ประเภท/กลุ่มดังนี้

1. ยารักษาอาการติดเชื้อเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส (Herpes simplex virus เช่น ไวรัสที่ทำ ใหเกิดโรคเริม) และเชื้อวาริเซลลาซอสเตอร์ไวรัส (Varicella-zoster virus เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด) เช่น ยา อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir), วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir), แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir), เพนไซโคลเวียร์ (Penciclovir), ไวดาราบีน (Vidarabine), ไตรฟลูริดีน (Trifluridine)

2. ยารักษาอาการติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัสหรือซีเอ็มวี (Cytomegalovirus or CMV ที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อซีเอมวี) เช่น ยา แกนไซโคลเวียร์ (Ganciclovir), วาลแกนไซโคลเวียร์ (Valganciclovir), ไซโดโฟเวียร์ (Cidofovir), ฟอสคาร์เนท (Foscarnet), โฟมิเวียร์เซน (Fomivirsen)

3. ยารักษาอาการติดเชื้ออินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza virus ทำให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่) เช่น ยา อะแมนทาดีน (Amantadine), ไรแมนทาดีน (Rimantadine), โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir), ซานามิเวียร์ (Zanamivir)

4. ยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบ (Viral hepatitis) เช่น ยา อินเตอร์เฟอรอน (Interferon/ IFN), ไรบาไวริน (Ribavirin), อะดีโฟเวียร์ (Adefovir), เอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine), เอ็นทีคาเวียร์ (Entecavir), ลามิวูดีน (Lamivudine), เทลบิวูดีน (Telbivudine), ทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir)

5. ยารักษาโรคเอชไอวี (Human immunodeficiency virus, HIV) เช่น ยาในกลุ่มยาต้านรีโทรไวรัสซึ่งยาในกลุ่มนี้จะไม่กล่าวรายละเอียดในบทความนี้ เพราะมีตัวยาได้หลากหลายมาก รวมถึงมีข้อบ่งชี้และข้อห้ามการใช้ที่เป็นลักษณะจำเพาะ อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ บทความเรื่อง การติดเชื้อเอชไอวี, เรื่อง โรคเอดส์, และเรื่อง ยาต้านรีโทรไวรัส)

ยาต้านไวรัสอยู่ในรูปแบบใดบ้าง?

ยาต้านไวรัสมีจำหน่ายในหลายรูปแบบเช่น

มีข้อบ่งใช้ยาต้านไวรัสอย่างไร?

มีข้อบ่งใช้ยาต้านไวรัสเช่น

1. ยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส (Herpes simplex virus) และเชื้อวาริเซลลาซอสเตอร์ไวรัส (Varicella-zoster visrus) เช่น

2. ยารักษาอาการติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัสหรือซีเอ็มวี (Cytomegalovirus or CMV/โรคติดเชื้อซีเอมวี)

3. ยารักษาอาการติดเชื้ออินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza virus)

4. ยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบ (Viral hepatitis)

มีข้อห้ามการใช้ยาต้านไวรัสอย่างไร?

มีข้อห้ามการใช้ยาต้านไวรัสเช่น

1. ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติแพ้ยานั้นๆ แพ้ส่วนประกอบของยานั้นๆ หรือแพ้ยาที่มีโครงสร้างคล้ายกันกับยานั้นๆเช่น ผู้ป่วยที่เคยแพ้ยาอะไซโคลเวียร์อาจแพ้ยาวาลาไซโคลเวียร์ได้เช่นกัน

2. ห้ามใช้ยาแกนไซโคลเวียร์ในผู้ป่วยที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 500 เซลล์ต่อไมโครลิตร หรือมีเกล็ดเลือดต่ำกว่า 25,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร

3. ห้ามใช้ยาไซโดโฟเวียร์ในผู้ป่วยที่แพ้ยาโพรเบเนซิด (Probenecid) หรือยาอื่นๆที่มีส่วน ประกอบของยาซัลฟา (Sulfa drug)

4. ห้ามใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบที่เกิดจากโรคออโตอิมูน (Autoim mune hepatitis) และผู้ป่วยโรคตับระยะสุดท้าย (Decompensated liver disease)

มีข้อควรระวังการใช้ยาต้านไวรัสอย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาต้านไวรัสเช่น

1. ยาแฟมไซโคลเวียร์เป็นยาที่มีประกอบของแลคโตส (Lactose) อยู่ในเม็ดยา จึงควรระวังในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดเอนไซม์แลคเตส (Lactase deficiency) และภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลกลูโคสหรือน้ำตาลกาแล็กโตสเข้าสู้ร่างกายได้ (Glucose-galactose malabsorption syndromes)

2. ระวังการใช้ยาอะแมนทาดีนและไรแมนทาดีนในผู้ป่วยโรคจิต โรคไต โรคตับ โรคลมชัก รวมทั้งผู้ป่วยที่ใช้ยาแก้แพ้ (Antihistamine) และยาต้านโคลิเนอร์จิก (Anticholinergic drug) เพราะอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาได้มากขึ้น

3. ระวังการใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่ได้รับยาขนาดสูงและได้รับยาติดต่อกันเป็นเวลานาน ผู้ป่วยที่ระดับเม็ดเลือดขาวและระดับเกล็ดเลือดต่ำ ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ป่วยโรคหัวใจ นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การทำงานกับเครื่องจักร และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอ ฮอล์เมื่อใช้ยานี้เพราะยานี้อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) เช่น ปวดหัว/ปวดศีรษะ มึนงง และง่วงซึมได้

การใช้ยาต้านไวรัสในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?

การใช้ยาต้านไวรัสในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นดังนี้เช่น

1. ยาอะไซโคลเวียร์

*อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ การใช้ยานี้ในทุกรูปแบบของยาควร ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้เสมอ

2. ไม่ควรใช้ยาแกนไซโคลเวียร์และยาวาลแกนไซโคลเวียร์ในหญิงตั้งครรภ์เพราะยาทั้งสองชนิดเป็นพิษต่อทารกในครรภ์ (Teratogenicity)

3. ไม่แนะนำให้ใช้ยาอะแมนทาดีน, โอเซลทามิเวียร์ และซานามิเวียร์ในระหว่างตั้งครรภ์ แพทย์จะพิจารณาการใช้เมื่อมารดาอาจมีอันตรายถึงชีวิตเท่านั้น ดังนั้นการใช้ยาทั้ง 3 ชนิดจึงต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์

4. หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดรุนแรงเช่น ตับอักเสบ ซี แพทย์อาจพิจารณา ใช้ยาไรบาไวรินโดยจะพิจารณาเมื่อมารดาอาจมีอันตรายถึงชีวิตเท่านั้นเพราะยานี้สามารถทำให้ทารกที่คลอดออกมาผิดปกติหรือเสียชีวิตขณะยังอยู่ในครรภ์มารดาได้

การใช้ยาต้านไวรัสในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?

การใช้ยาต้านไวรัสในผู้สูงอายุควรเป็นดังนี้เช่น

1. ระวังการใช้ยาต้านไวรัสที่มีผลต่อการทำงานของตับและของไตในผู้สูงอายุที่มีการทำงานของ ตับและ/หรือของไตผิดปกติ อาจต้องมีการปรับขนาดยาตามดุลพินิจของแพทย์และแพทย์จะเฝ้าดูอาการของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ

2. ระวังการใช้ยาอะแมนทาดีนและยาไรแมนทาดีนในผู้สูงอายุเนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการกำจัดยาเหล่านี้ออกจากร่างกายนานกว่าวัยอื่นๆซึ่งอาจทำให้พบอาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง)จากการใช้ยาเหล่านี้ได้มากขึ้น

การใช้ยาต้านไวรัสในเด็กควรเป็นอย่างไร?

การใช้ยาต้านไวรัสในเด็กควรเป็นดังนี้เช่น

1. ยาอะไซโคลเวียร์เป็นยาที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัสและเชื้อวาริเซลลาซอสเตอร์ไวรัสในผู้ป่วยเด็กได้ ในขณะที่ยาอื่นเช่น วาลาไซโคลเวียร์และแฟมไซโคลเวียร ยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยในการใช้ยาในเด็ก

2. ยาอะแมนทาดีนเป็นยาที่ใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Influenza A ในขณะที่ทั้งยาอะแมนทาดีนและยาไรแมนทาดีนสามารถใช้เป็นยาป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Influenza A ในผู้ป่วยเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

3. ยาไรบาไวรินและยาอินเตอร์เฟอรอนเป็นยาที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี และใช้เป็นยารักษาอาการติดเชื้อทางเดินหายใจจากไวรัสที่เรียกว่า Respiratory syncytial virus (RSV) ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคหลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลันในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีหรือทารกคลอดก่อนกำหนดได้

อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาต้านไวรัสมีอะไรบ้าง?

อาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง/ผลไม่พึงประสงค์) จากการใช้ยาต้านไวรัสเช่น

1. ยาอะไซโคลเวียร์และยาวาลาไซโคลเวียร์เป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง พบอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาได้น้อยเช่น การทำงานของไตบกพร่อง และพิษต่อระบบประสาทส่วน กลางเช่น มึนศีรษะ ปวดศีรษะ คลื่นไส้

2. ยาแกนไซโคลเวียร์และยาวาลแกนไซโคลเวียร์มีผลกดการทำงานของไขกระดูก (ไขกระดูกทำงานลดลง) ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Neutropenia), มีพิษต่อระบบประสาท ส่วนกลางเช่น ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ชัก และผลต่อระบบทางเดินอาหารเช่น คลื่นไส้ อาเจียน

3. ยาอะแมนทาดีนและยาไรแมนทาดีนมีพิษต่อระบบประสาทส่วนกลางเช่น ซึมเศร้า กังวล มึนงง เห็นภาพหลอน/ประสาทหลอน นอนไม่หลับ เป็นต้น และต่อระบบทางเดินอาหารเช่น เบื่ออาหาร ท้องผูกหรือท้องเสีย และคลื่นไส้

4. ยาไรบาไวรินอาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางเนื่องจากยาทำให้เม็ดเลือดแดงแตก (Hemoly tic anemia), กดการทำงานของไขกระดูก, เม็ดเลือดขาวต่ำ, มีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ (Flu-like symptoms) เช่น หนาวสั่น มีไข้ ส่วนยานี้ในรูปแบบยาพ่นอาจทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจและเยื่อบุตาอักเสบ

5. ยาอินเตอร์เฟอรอนอาจกดการทำงานของไขกระดูก เม็ดเลือดขาวต่ำ มีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ (Flu-like symptoms) มีพิษต่อระบบประสาทส่วนกลางเช่น ซึมเศร้า สับสน โรคจิต ชัก เป็นต้น

สรุป

ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด(รวมยาต้านไวรัสด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิดควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน

บรรณานุกรม

  1. Lacy C. F., et al. Drug information handbook with international trade names index. 19th ed. Ohio : Lexi-comp, 2011.
  2. Schaefer C., Peters P., and Miller R. K. Drugs During Pregnancy and Lactation. 2nded. California: Elsevier, 2007.
  3. Margo K. L., and Shaughnessy A. F. Antiviral Drugs in Healthy Children. Am Fam Physician. 1 (March 1998) : 1073-1077.
  4. วิจิตรา ทัศนียกุล ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ยาต้านไวรัส (Antiviral agents). [ออนไลน์]. 2557. แหล่งที่มา: [2015,Oct24]