on
ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelet drug)
- บทนำ
- ยากันเลือดแข็งตัวมีคุณสมบัติอย่างไร?
- ยากันเลือดแข็งตัวแบ่งเป็นประเภทใดบ้าง?
- ยากันเลือดแข็งตัวมีรูปแบบจำหน่ายอย่างไร?
- มีข้อบ่งใช้ยากันเลือดแข็งตัวอย่างไร?
- มีข้อห้ามใช้ยากันเลือดแข็งตัวอย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้ยากันเลือดแข็งตัวอย่างไร?
- การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
- การใช้ยาในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
- การใช้ยาในเด็กควรเป็นอย่างไร?
- อันตราย/ผลข้างเคียงจากยากันเลือดแข็งตัวเป็นอย่างไร?
- คำแนะนำ
- บรรณานุกรม

บทนำ
ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelet drug) จัดอยู่ในกลุ่มยาต้านการแข็งตัวของเลือด/ยาต้านการจับตัวเป็นก้อนของเลือด (Anti clotting drugs) ซึ่งคือยาที่ใช้รักษาโรคหรือภาวะผิด ปกติต่างๆเพื่อให้เลือดแข็งตัวได้ช้าลงและ/หรือให้เลือดไม่เกิดการจับตัวกันจนเกิดเป็นก้อนหรือเป็นลิ่มเลือด ทั้งนี้เพื่อป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดจากก้อนเลือด/จากลิ่มเลือดนั้นๆ จึงช่วยให้การไหลเวียนโลหิตเป็นปกติเช่น ในการรักษาและ/หรือในการป้องกันโรคหลอดเลือด สมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
ยาต้านการแข็งตัว/ยาต้านการจับตัวของเลือดนี้แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มได้แก่
- ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelet drugs)
- ยากันเลือดแข็งตัว (Anticoagulants)
- และยาสลายลิ่มเลือด/ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolytics drugs หรือ Fibrinolytic drugs)
แต่บทความนี้ขอกล่าวถึงเฉพาะเรื่อง “ยาต้านเกล็ดเลือด” เท่านั้น โดยอีก 2 เรื่องจะได้แยกเขียนต่างหากในแต่ละเรื่องในเว็บ
ยาต้านเกล็ดเลือดคือยาอะไร?
ยาต้านเกล็ดเลือดเป็นยาที่ลดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด (Platelet aggregation) ที่ก่อให้เกิดเป็นลิ่มเลือด ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดจนส่งผลให้อวัยวะ ต่างๆขาดเลือดที่ไปหล่อเลี้ยง
แบ่งยาต้านเกล็ดเลือดเป็นประเภทใดบ้าง?
แบ่งยาต้านเกล็ดเลือดเป็นประเภทต่างๆได้ดังนี้
- Cyclooxygenase (COX, สารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ) inhibitors: ยาในกลุ่มนี้ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ ยาแอสไพริน (Aspirin) แต่ใช้ยาในขนาดต่ำกว่าขนาดที่ใช้เป็นยาแก้ปวด, ยาลดไข้ และเป็นยาแก้อักเสบ
- Adenosine diphosphate (ADP, สารที่ใช้ในการทำงานของเกล็ดเลือด) receptor antagonists เช่น ยาโคลพิโดเกรล (Clopidogrel), ไทโคลพิดีน (Ticlopidine), พราซูเกรล (Prasugrel) และทิก้ากรีลอ (Ticagrelor)
- Phosphodiesterase (PDE, เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเม็ดเลือดและของหลอดเลือด) inhibitors เช่น ยาไดไพริดาโมล (Dipyridamole)
- Glycoprotein IIb/IIIa (GP IIb/IIIa, สารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเกล็ดเลือด) inhibitors เช่น ยาแอ็บซิกซิแมบ (Abciximab)
ยาต้านเกล็ดเลือดมีรูปแบบจำหน่ายอย่างไร?
ยาต้านเกล็ดเลือดมีรูปแบบจำหน่ายเป็นยาเม็ด, ยาแคปซูล, ยาฉีด
ยาต้านเกล็ดเลือดมีข้อบ่งใช้อย่างไร?
ยาต้านเกล็ดเลือดใช้เป็นยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดแดง (Arterial throm bosis) เช่น ในภาวะ/โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Myocardial infarction), เจ็บ/แน่นหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Angina pectoris), หลอดเลือดสมองขาดเลือด (Ische mic stroke) แต่นิยมใช้เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำในผู้ที่เคยเป็นมาก่อน (Secondary preven tion) มากกว่าใช้ป้องกันในผู้ที่ยังไม่เคยมีอาการเหล่านี้
มีข้อห้ามการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดอย่างไร?
มีข้อห้ามการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดดังนี้เช่น
- ห้ามใช้ยาแอสไพริน (Aspirin), โคลพิโดเกรล (Clopidogrel), ไทโคลพิดีน (Ticlo pidine) ในผู้ที่มีแผลหรือมีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ (ภาวะเลือดออกในทางเดินอา หาร)
- ห้ามใช้แอสไพรินในผู้ที่มีอาการโรคหืด โรคลมพิษ หรือมีโพรงจมูกอักเสบแบบเฉียบ พลันจากการแพ้ยากลุ่มเอ็นเสด (NSAID)
- ห้ามใช้ยากลุ่มนี้ในผู้มีโรคหรือภาวะเลือดออกเช่น โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia, โรค เลือดแข็งตัวช้า), Thrombocytopenia (ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ), เลือดออกในสมองจากสาเหตุต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออก, เลือดออกในทางเดินอาหาร เป็นต้น
- มีโรคตับที่อาการรุนแรง (Severe hepatic impairment)
มีข้อควรระวังการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดดังนี้เช่น
- แอสไพริน (Aspirin), โคลพิโดเกรล (Clopidogrel) และไทโคลพิดีน (Ticlopidine) อาจทำ ให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร ดังนั้นควรรับประทานยาเหล่านี้หลังอาหารทันทีและดื่มน้ำเปล่าสะอาด ตามมากๆ
- ยาโคลพิโดเกรล และไทโคลพิดีน อาจทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล (Neutrophil) ต่ำ จนอาจมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นต้องติดตามระดับเม็ดเลือดขาวทุก 2 สัปดาห์ติดต่อกันใน 3 เดือนแรกของการใช้ยาเหล่านี้ จากนั้นควรติดตามเป็นระยะ รวมทั้งตรวจการทำงานของตับด้วย ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์
- ควรหยุดยาต้านเกล็ดเลือดเป็นเวลา 1 - 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัดทุกชนิด
- ระวังการใช้ยากลุ่มนี้ในคนไข้ที่ตับหรือไตทำงานผิดปกติ
- ระวังการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดหลายชนิดร่วมกันรวมทั้งการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดร่วมกับยากันเลือดแข็งตัว (Anticoagulants) เพราะเพิ่มโอกาสการเกิดเลือดไหลไม่หยุด (Severe bleeding) ได้
- ระวังการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดร่วมกับการบริโภคอาหารเสริมและสมุนไพรบางชนิดเช่น วิตามิน อี (Vitamin E), น้ำมันปลา (Fish oil) และแปะก๊วย (Ginko biloba) เพราะเพิ่มโอกาสเกิดภาวะเลือดออกในอวัยวะต่างๆได้มากขึ้น
การใช้ยาต้านเกล็ดเลือดในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
ยาต้านเกล็ดเลือดที่ใช้มากในหญิงตั้งครรภ์คือ แอสไพริน (Aspirin) ที่มีขนาดยาต่ำ (Low dose aspirin) ความแรง 75 - 162 มิลลิกรัมต่อวัน โดยสามารถใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ทุกไตรมาส (อายุ ครรภ์ 1 - 9 เดือน) และยังสามารถใช้ได้ในขณะที่ให้นมบุตร แต่การใช้ยาต้านเกล็ดเลือดตัวอื่นๆ แพทย์จะพิจารณาผลลัพธ์ที่ได้จากการรักษาร่วมกับความเสี่ยง/ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับทารก ในครรภ์
การใช้ยาต้านเกล็ดเลือดในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
ผู้สูงอายุที่มีการทำงานของตับหรือไตบกพร่อง อาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยากลุ่มนี้ และหากใช้ยากลุ่มนี้ชนิดที่ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร อาจส่งผลให้เกิดอาการไม่พึงประ สงค์/ผลข้างเคียงเช่น ระคายเคืองทางเดินอาหารหรือเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารได้มาก กว่าในวัยหนุ่มสาว
การใช้ยาต้านเกล็ดเลือดในเด็กควรเป็นอย่างไร?
ข้อมูลการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดอย่างเหมาะสมในเด็กมีค่อนข้างน้อยกว่าในผู้ใหญ่มาก เพราะโรคที่มีการใช้ยาในกลุ่มนี้เป็นโรคไม่ค่อยพบในเด็ก แต่ส่วนใหญ่จะใช้แอสไพริน (Aspirin) ขนาดต่ำเพื่อป้องกันการเกิดอาการซ้ำเช่น ป้องกันลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดงในเด็กที่เป็นโรค Kawasaki disease (โรคคาวาซากิ) รวมทั้งใช้ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหลังจากผ่าตัดหัวใจในเด็กที่เป็นโรคหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด (Congenital cardiac disease)
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดเป็นอย่างไร?
ผลข้างเคียง (อันตราย/ผลไม่พึงประสงค์) ของยากลุ่มยาต้านเกล็ดเลือดคือ การเกิดเลือดออก ในอวัยวะต่างๆได้ง่ายที่มักเกิดเลือดออกในปริมาณมาก และเลือดที่ออกยังจะหยุดได้ช้ากว่าปกติ มากจนอาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิต (ตาย) ได้ นอกจากนี้แอสไพริน (Aspirin), โคลพิโดเกรล(Clopidogrel) และไทโคลพิดีน (Ticlopidine) อาจทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหารและเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารได้ง่าย
คำแนะนำ
ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด(โดยเฉพาะยาต้านเกล็ดเลือดที่มีผลข้างเคียงที่อันตราย) ยาแผนโบราณทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิดควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
บรรณานุกรม
- ณัฐวุธ สิบหมู่. เภสัชวิทยา. 2. กรุงเทพฯ : โฮลิสติก พับลิชชิ่ง, 2552.
- Israels, S. J. and Michelson, A. D. Antiplatelet therapy in children. Thrombosis Research 118 (2006) : 75-83
- Chan, W. S. and Douketis, J. D. Use of antiplatelet therapy in women who are pregnant of breastfeeding. [2015,Feb21]
- Lacy C.F., et al. Drug information handbook with international trade names index. 19th ed. Ohio : Lexi-comp, 2011.