on
ยาฆ่าเชื้อ (Antimicrobial drug) ยาแก้อักเสบ (Anti inflammatory drug)
- บทนำ
- ยาฆ่าชื้อ (Antimicrobial drugs)
- ทางเภสัชหมายถึงยาที่มีคุณสมบัติอะไร?
- ทางเภสัชแบ่งยาเป็นประเภทใดบ้าง?
- ยาอยู่ในรูปแบบใดบ้าง?
- มีข้อบ่งใช้ยาอย่างไร?
- มีข้อห้ามใช้ยาอย่างไร?
- มีข้อควรระวังใช้ยาอย่างไร?
- การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
- การใช้ยาในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
- การใช้ยาในเด็กควรเป็นอย่างไร?
- อันตรายหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาคืออะไร?
- คำแนะนำโดยสรุป
- ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์/เอ็นเสด (NSIAD: Non steroidal anti inflammatory drug)
- ทางเภสัชหมายถึงยาที่มีคุณสมบัติอะไร?
- ทางเภสัชแบ่งยาเป็นประเภทใดบ้าง?
- ยาอยู่ในรูปแบบใดบ้าง?
- มีข้อบ่งใช้ยาอย่างไร?
- มีข้อห้ามใช้ยาอย่างไร?
- มีข้อควรระวังใช้ยาอย่างไร?
- การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
- การใช้ยาในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
- การใช้ยาในเด็กควรเป็นอย่างไร?
- อันตรายหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาคืออะไร?
- คำแนะนำโดยสรุป
- ยาต้านอักเสบสเตียรอยด์ (Glucocorticoid หรือ Corticosteroid)
- ทางเภสัชหมายถึงยาที่มีคุณสมบัติอะไร?
- ทางเภสัชแบ่งยาเป็นประเภทใดบ้าง?
- ยาอยู่ในรูปแบบใดบ้าง?
- มีข้อบ่งใช้ยาอย่างไร?
- มีข้อห้ามใช้ยาอย่างไร?
- มีข้อควรระวังใช้ยาอย่างไร?
- การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
- การใช้ยาในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
- การใช้ยาในเด็กควรเป็นอย่างไร?
- อันตรายหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาคืออะไร?
- คำแนะนำโดยสรุป
- หมายเหตุ
- บรรณานุกรม

บทนำ
การอักเสบ (Inflammation) คือ การตอบสนองของหลอดเลือด (Vascular tissue) ต่อการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายส่งผลให้เนื้อเยื่อเหล่านั้นเกิดอาการ บวม แดง ร้อน เจ็บ/ปวด และอาจมีอาการไข้เกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักของการอักเสบมี 2 สาเหตุคือ
- สาเหตุจากการติดเชื้อโรค
- และสาเหตุจากที่ไม่ใช่การติดเชื้อโรค
ซึ่งโรคต่างๆที่เกิดจากทั้ง 2 สาเหตุจะใช้ยาในการรักษาแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงยาแก้อักเสบ/ยาต้านอักเสบหรือยาฆ่าเชื้อ/ยาต้านเชื้อ จึงอาจทำให้คนทั่วไปสับสนว่าเป็นยาชนิดเดียวกัน ดังนั้นถ้ามีใคร/บุคคลากรทางการแพทย์ใช้คำว่า ยาแก้อักเสบ ควรสอบถามให้ชัดเจนว่า “ใช่ยาฆ่าเชื้อหรือไม่”
บทความนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจของผู้ใช้ยาว่า ในทางการแพทย์ เมื่อใช้คำต่างๆเช่น ยาฆ่าเชื้อ/ยาต้านเชื้อ ยาแก้อักเสบ/ยาต้านอักเสบ/ยาต้านการอักเสบ บุคคลากรด้านการแพทย์เหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร เพื่อผู้ใช้ยาจะได้ไม่สับสนและจะได้เข้าใจได้ว่า ตนกำลังใช้ยา กลุ่มใดอยู่เพื่อรักษาโรคอะไร รวมถึงจะได้พูดคุยปรึกษาสอบถามบุคคลากรที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ได้ถูกต้องตรงกับที่ตนสงสัยและด้วยความเข้าใจที่ตรงกัน
บทความนี้ขอกล่าวในหัวข้อหลัก 3 หัวข้อ ซึ่งแต่ละหัวข้อหลักจะมีหัวข้อย่อยที่จะกล่าวถึงเฉพาะหลักสำคัญของยาแต่ละกลุ่ม/ประเภทยา โดยหัวข้อหลักของกลุ่ม/ประเภทยาคือ ยาฆ่าเชื้อ, ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์, และยาต้านอักเสบสเตียรอยด์
ยาฆ่าเชื้อ (Antimicrobial drugs)
ยาฆ่าเชื้อ ในภาพรวมหลักมีหัวข้อดังนี้คือ
- ทางเภสัชหมายถึงยาที่มีคุณสมบัติอะไร?
ยาฆ่าเชื้อ หมายถึงกลุ่มของสาร/ยาที่ได้จากธรรมชาติและ/หรือจากการสังเคราะห์ทางเคมี โดยเป็นสารที่มีฤทธิ์ฆ่าหรือหยุดหรือต้านการเจริญเติบโตของเชื้อจุลชีพได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา โปรโตซัว ปรสิต เชื้อไวรัส
- ทางเภสัชแบ่งยาเป็นประเภทใดบ้าง?
ยาฆ่าเชื้อ แบ่งได้เป็นหลายกลุ่ม/ประเภทตามประเภทเชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่
- กลุ่มที่ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial drug, Antibiotic drug) เรียกว่า ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าแบคทีเรีย/ยาต้านแบคทีเรีย
- กลุ่มที่ใช้รักษาการติดเชื้อราเรียกว่า ยาฆ่าเชื้อราหรือยาต้านเชื้อรา (Antifungal drugs)
- กลุ่มที่ใช้รักษาการติดเชื้อปรสิตเรียกว่า ยาฆ่าปรสิต (Antiparasitic drugs)
- กลุ่มที่ใช้รักษาการติดเชื้อไวรัสเรียกว่า ยาฆ่าไวรัสหรือยาต้านไวรัส (Antiviral drugs)
- ยาอยู่ในรูปแบบใดบ้าง?
ยาฆ่าเชื้อมีรูปแบบได้หลากหลายได้แก่
- ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อยู่ในรูปของยาเม็ด, แคปซูล, ยาผงแกรนูล (Granule)/ผงหยาบ สำหรับผสมเป็นยาน้ำแขวนตะกอน, ยาฉีด, ครีม, ยาหยอดหู, ยาหยอดตา, ขี้ผึ้งป้ายตา
- ยาฆ่าเชื้อรา อยู่ในรูปของยาเม็ด, แคปซูล, ครีม, ยาสารละลาย, ยาเหน็บช่องคลอด, ยาฉีด
- ยาฆ่าปรสิต อยู่ในรูปของยาเม็ด, ยาเม็ดเคี้ยว, ยาน้ำแขวนตะกอน
- ยาฆ่าเชื้อไวรัส อยู่ในรูปของยาเม็ด, ยาฉีด, ครีม, ยาหยอดตา, ขี้ผึ้งป้ายตา
- มีข้อบ่งใช้ยาอย่างไร?
ข้อบ่งชี้หลักของการใช้ยาฆ่าเชื้อคือ
- ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย ใช้รักษาโรคติดเชื้ออวัยวะต่างๆที่มีสาเหตุจากแบคทีเรีย เช่น การติดเชื้อระบบหายใจ การติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
- ยาต้านเชื้อรา (Antifungal drugs) ใช้รักษาการติดเชื้อราของอวัยวะต่างๆเช่น การติดเชื้อราที่ผิวหนัง (เช่น กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า) ที่สมอง ที่ปอด
- ยาต้านปรสิต (Antiparasitic drugs) ใช้รักษาโรคอวัยวะต่างๆที่เกิดจากปรสิตเช่น โรคไข้จับสั่น ตืดหมู ตืดวัว พยาธิไส้เดือน
- ยาต้านไวรัส (Antiviral drugs) ใช้รักษาโรคอวัยวะต่างๆที่เกิดจากติดเชื้อไวรัส เช่น โรคเริม, อีสุกอีใส, งูสวัด, เอชไอวี
- มีข้อห้ามใช้ยาอย่างไร?
ข้อห้ามหลักในการใช้ยาฆ่าเชื้อคือ ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยานั้นๆโดยรวมถึงการแพ้ยาฆ่าเชื้อที่มีโครงสร้างหลักคล้ายกันด้วย แต่ก็ควรระวังการแพ้ยาข้ามกลุ่มยาได้เช่น คนที่แพ้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Penicillin อาจแพ้ยากลุ่ม Cephalosorin ได้เช่นกัน
- มีข้อควรระวังใช้ยาอย่างไร?
ข้อควรระวังหลักในการใช้ยาฆ่าเชื้อคือ เมื่อเจ็บป่วยไม่ควรซื้อยาฆ่าเชื้อมากินเอง เพราะยาฆ่าเชื้อมีหลายชนิดที่การใช้ขึ้นกับชนิดของเชื้อและความรุนแรงของอาการ จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยาเพื่อที่จะใช้ยาฆ่าเชื้อได้ถูกโรค เพื่อได้รับการรักษาที่ได้ผล และป้องกันปัญหาเชื้อดื้อยา
- การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
ยาฆ่าเชื้อ อาจผ่านรกหรือออกมากับน้ำนม ดังนั้นต้องเลือกใช้ยาฆ่าเชื้อในขนาดต่ำที่สุดที่ให้ผลการรักษา และหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์เช่น ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (เช่น กลุ่มเตตร้าไซคลิน/Tetracycline, อีริโทรมัยซิน/Erythromycin) และยาต้านเชื้อรา กรีสซิโอฟูลวิน (Griseofulvin) เป็นต้น
- การใช้ยาในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
ผู้สูงอายุจะมีการทำงานของร่างกายแย่ลง จึงต้องพิจารณาปรับขนาดยาโดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อที่มีการเปลี่ยนแปลงตัวยาที่ตับหรือที่ขับออกทางไต นอกจากนี้ผู้สูงอายุมีโอกาสเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลให้ต้องใช้ยาหลายชนิดร่วมกันอยู่แล้ว การใช้ยาฆ่าเชื้อจึงอาจเพิ่มโอกาสเกิด ปฏิกิริยาระหว่างยาจนทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่แย่ลงกว่าเดิมหรือถึงขั้นเสียชีวิต (ตาย) ได้
- การใช้ยาในเด็กควรเป็นอย่างไร?
เด็กมีระบบการทำงานของร่างกายที่ยังเจริญไม่สมบูรณ์เท่าผู้ใหญ่ ดังนั้นขนาดของยาฆ่าเชื้อในเด็กต้องพิจารณาจากอายุและน้ำหนักตัว ควรใช้ยาฆ่าเชื้อด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) ที่มีผลเสียต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการเช่น การใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียกลุ่มเตตร้าไซคลินในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี เพราะจะทำให้กระดูกไม่แข็ง แรงและฟันมีสีผิดปกติ
- อันตรายหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาคืออะไร?
ยาฆ่าเชื้อทุกชนิดมีอันตราย (ผลข้างเคียง) โดยความรุนแรงที่เกิดนั้นขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบของยาที่ใช้ ผลข้างเคียงที่พบมากคือ คลื่นไส้ อาเจียน อาจเกิดอาการแพ้ยาเช่น ผื่นคัน ไปจนถึงอาการขั้นรุนแรงจนอาจเสียชีวิต (ตาย) ได้เช่น เกิดภาวะ Anaphylaxis
- คำแนะนำโดยสรุป: ควรใช้ยาฆ่าเชื้อต่อเมื่อเป็นคำแนะนำจากแพทย์เภสัชกรและพยาบาล ไม่ควรซื้อยากินเอง และต้องใช้ยาให้ครบถ้วนตามแพทย์สั่ง ไม่หยุดใช้ยาเองถึงแม้อาการจะหายแล้ว
ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์/เอ็นเสด (NSIAD: Non steroidal anti inflamma tory drug)
ยาเอ็นเสด ในภาพรวมหลักมีหัวข้อดังนี้คือ
- ทางเภสัชหมายถึงยาที่มีคุณสมบัติอะไร?
ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์/เอ็นเสด เป็นยาที่ใช้ต้านอักเสบ (Anti-inflammatory) ที่ไม่ได้เกิดจากติดเชื้อ แต่ลักษณะอาการอักเสบจะคล้ายกับการอักเสบจากติดเชื้อได้แก่ อาการบวม แดง ร้อน เจ็บ/ปวด และอาจมีไข้ ดังนั้นยาต้านอักเสบจึงใช้เป็นยาแก้ปวด (Analge sia) และใช้เป็นยาลดไข้ (Antipyretic) ได้ด้วยเช่น การอักเสบในโรคเกาต์ โรคออโตอิมมูน
เมื่อเกิดการอักเสบ ร่างกายจะสร้างสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ที่เป็นสาเหตุของอาการปวดและของอาการอักเสบ ดังนั้นถ้าเรากินยาเอ็นเสด ยาจะไปยับยั้งการสร้างโพรส ต้าแกลนดินทำให้หาย/บรรเทาจากอาการเหล่านั้นได้
- ทางเภสัชแบ่งยาเป็นประเภทใดบ้าง?
ทางเภสัชแบ่งยาเอ็นเสดเป็นกลุ่ม/ประเภทต่างๆดังนี้
- Non-specific COX inhibitors หรือ Traditional NSAIDs เช่น แอสไพริน (Aspi rin), ไอบูโพรเฟ่น (Ibuprofen), นาพร็อกเซน (Naproxen), ไพร็อกซีแคม (Piroxicam), เมเฟนามิก แอซิด (Mefenamic acid) เป็นต้น แต่ยากลุ่มนี้จะมีผลข้างเคียงจากยาคือ ปวดท้องจากระคายเคืองกระเพาะอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด เลือดออกง่ายและหยุดไหลช้า
- COX-2 inhibitors เช่น เซเลค็อกสิบ (Celecoxib), อีโทริค็อกสิบ (Etoricoxib) เป็นยาที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการใช้ยากลุ่มแรกได้
- ยาอยู่ในรูปแบบใดบ้าง?
รูปแบบของยาเอ็นเสดคือ ยาเม็ด, แคปซูล, ยาเม็ดเคลือบฟิล์ม, ยาฉีด, ยาน้ำแขวนตะกอน, ครีม, เจล
- มีข้อบ่งใช้ยาอย่างไร?
ข้อบ่งใช้ของยาเอ็นเสดคือ
- ต้านอักเสบ (Anti inflammation) เช่น จากโรคข้อรูมาตอยด์, ข้ออักเสบ, เข่าเสื่อม, ข้ออักเสบจากโรคเกาต์
- ลดปวด (Analgesia) เช่นปวดศีรษะไมเกรน, ปวดฟัน, ปวดประจำเดือน, ปวดจากโรคมะเร็ง
- และลดไข้ (Antipyretic)
- มีข้อห้ามใช้ยาอย่างไร?
ข้อห้ามใช้ยาเอนเสดคือ
- ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยานั้นๆรวมถึงแพ้ยาที่มีโครงสร้างหลักคล้ายกัน
- ห้ามใช้ในผู้ที่มีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ (เลือดออกในทางเดินอาหาร) หรือมีแผลทะลุต่างๆ
- ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไต อย่างรุนแรง
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออก
- มีข้อควรระวังใช้ยาอย่างไร?
ข้อควรระวังหลักในการใช้ยาเอ็นเสดคือ
- ระมัดระวังการเกิดผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารในผู้ป่วยดังต่อไปนี้ คือ ผู้ที่มีประวัติเคยเป็นแผลหรือเลือดออกในทางเดินอาหาร, ผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี, ใช้ยานี้ในขนาดสูง, ใช้ยาเอ็นเสดร่วมกับยาสเตียรอยด์, ใช้ยาเอ็นเสดร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด, ใช้ยาเอ็นเสดร่วมกันตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป
- ควรระวังในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ เพราะยากลุ่ม COX-2 inhibitors อาจทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
ห้ามใช้ยาเอ็นเสดในสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสแรก (อายุครรภ์ 1 - 3 เดือน) เพราะยาอาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้ และไตรมาสสุดท้าย (อายุครรภ์ 7 - 9 เดือน) เพราะยามีฤทธิ์ลดการบีบตัวของมดลูกจึงทำให้คลอดช้าและอาจเพิ่มความเสี่ยงเกิดเลือดไหลไม่หยุดหลังคลอด (ภาวะตกเลือดหลังคลอด) นอกจากนี้ยาอาจปนทางน้ำนมส่งผลข้างเคียงถึงทารกที่เลี้ยงด้วยนมมารดาได้
ดังนั้นในหญิงกลุ่มนี้หากมีอาการปวดหรือมีไข้ควรเลือกใช้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) แทน
- การใช้ยาในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60 ปี รวมทั้งผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นแผลหรือเลือดออกในทางเดินอาหาร ควรรับประทานยาเอ็นเสดร่วมกับยาข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้เพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว
- ไมโสพรอสทอล Misoprostol (ยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร)
- ยาลดกรดในกลุ่ม Proton pump inhibitors เช่น โอเมพราโซล (Omeprazole), แลนโซพราโซล (Lansoprazole), เอสโอเมพราโซล (Esomeprazole)
- ยาลดกรดในกลุ่ม H2-receptor antagonist เช่น รานิทิดีน (Ranitidine)
- การใช้ยาในเด็กควรเป็นอย่างไร?
การใช้ยาเอ็นเสดในเด็ก ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) เพื่อลดไข้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีเพราะอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการ Reye's syndrome (สมองและตับถูกทำลาย)
- อันตรายหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาเป็นอย่างไร?
ผลข้างเคียงหลักของยาเอ็นเสด์คือ
- ทางเดินอาหาร: ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ท้องเสีย ทำให้เกิดแผล และ เลือดออกในทางเดินอาหาร
- หลอดเลือด: ยับยั้งการรวมตัวกันของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดออกง่ายและหยุดช้า โดยเฉพาะเมื่อมีแผล
- ไต: ยานี้เพิ่มการสะสมของโซเดียมและน้ำในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำอาจทำให้เกิดไตวายได้
- ผิวหนัง: ผื่นเล็กน้อยจนถึงผื่นอย่างรุนแรง
- คำแนะนำโดยสรุป: หากคนไข้เจ็บป่วยไปซื้อยาหรือหาหมอ ควรถามให้ชัดเจนว่ายาที่ได้รับมีข้อบ่งใช้อย่างไร เพราะคำว่าแก้อักเสบอาจทำให้สับสนระหว่างแก้อักเสบจากการติดเชื้อ/ฆ่าเชื้อ หรือแก้อักเสบ/ต้านอักเสบจากการปวด บวม แดง ร้อน เพื่อจะได้กินยาถูกต้อง ได้ผลการรักษาตรงตามโรคที่เป็นจริงๆ และไม่เกิดอันตรายจากการใช้ยา
ยาต้านอักเสบสเตียรอยด์ (Glucocorticoid หรือ Corticosteroid)
ยาต้านอักเสบสเตียรอยด์ หรือมักเรียกสั้นๆว่า ยาสเตียรอยด์หรือสเตียรอยด์ ในภาพรวมหลักมีหัวข้อดังนี้คือ
- ทางเภสัชหมายถึงยาที่มีคุณสมบัติอะไร?
ยาต้านอักเสบสเตียรอยด์จะอยู่ในกลุ่ม ยากลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoids) หรือ คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) เป็นสเตียรอยด์ฮอร์โมนที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นจากต่อมหมวกไต (Adrenal cortex) นอกจากจะมีฤทธิ์ต้านอักเสบ (Anti-inflammatory effects) แล้วยังมีผลต่อระบบเมแทบอลิซึม/การเผาผลาญใช้พลังงานของร่างกาย (Metabolic effects) เช่น การสร้างน้ำตาลกลูโคส/Glucoseจากกรดอะมิโน, มีฤทธิ์สลายโปรตีน,ไขมัน (Catabolic effects) และกดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย (Immunosuppressive)
- ทางเภสัชแบ่งยาเป็นประเภทใดบ้าง?
แบ่งยาต้านอักเสบสเตียรอยด์ตามระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยาได้เป็นหลายกลุ่ม/ประเภทดังนี้
- ยาที่ออกฤทธิ์สั้นคือ ออกฤทธิ์ทันทีหรือในระยะเวลาเป็นนาทีเช่น ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) และคอร์ติโซน (Cortisone)
- ยาที่ออกฤทธิ์นานปานกลางคือ ออกฤทธิ์ในระยะเวลาเป็นชั่วโมงเช่น เมทิลเพรดนิโซโลน (Methylprednisolone), เพรดนิโซโลน (Prednisolone) และ ไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone)
- ยาที่ออกฤทธิ์ยาวคืออออกฤทธิ์ช้าแต่อยู่ได้นานเป็นวันหรือหลายวัน เช่น เบต้าเมดทาโซน (Betamethasone) และเด็กซาเมทาโซน (Dexamethasone)
- ยาอยู่ในรูปแบบใดบ้าง?
ยาต้านอักเสบสเตียรอยด์มีจำหน่ายในรูปแบบ ยาเม็ด, ยาฉีด, ครีม, ขี้ผึ้ง, สารละลาย, โลชั่น, ยาหยอดตา, ยาหยอดหู, ขี้ผึ้งป้ายตา, ยาพ่นจมูก, ยาพ่นคอ
- มีข้อบ่งใช้ยาอย่างไร?
มีข้อบ่งใช้หลักของยาต้านอักเสบสเตียรอยด์คือ
- รักษาภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง (Adrenal insufficiency) เกิดจากต่อมหมวกไตส่วนนอกทำงานลดลง ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตในร่างกายลดลงผิดปกติ
- รักษากลุ่มอาการ Cushing’s syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดจากร่างกายได้รับยาสเตียรอยด์มากเกินไป เกิดจากใช้ยาสเตียรอยด์เป็นประจำหรือมีเนื้องอกบริเวณต่อมใต้สมอง
- รักษาภาวะอักเสบ (Inflammation), โรคภูมิแพ้ (Allergy) และโรคออโตอิมมูน (Autoimmune disesase)
- รักษาโรคมะเร็งบางชนิดเช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- รักษากลุ่มอาการ Respiratory distress syndrome (ภาวะกดการหายใจในทารกแรกเกิด)
- โรคผิวหนังเช่น สะเก็ดเงิน, ผิวหนังอักเสบ, แมลงกัด/ต่อย (เช่น ตุ่มแพ้แมลงกัด)
- รักษาโรคหรือภาวะอื่นๆเช่น แคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia), ป้องกันการปฏิเสธอวัยวะในการปลูกถ่ายอวัยวะ (Organ rejection) เช่น การปลูกถ่ายไขกระดูกในโรคมะเร็ง
- มีข้อห้ามใช้ยาอย่างไร?
ข้อห้ามหลักของการใช้ยาต้านอักเสบสเตียรอยด์คือ หลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยโรคจิต, โรคแผลในกระเพาะอาหาร, โรคหัวใจ, โรคความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวาน, โรคกระดูกพรุน และโรคติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อ
- มีข้อควรระวังใช้ยาอย่างไร?
ข้อควรระวังหลักในการใช้ยาต้านอักเสบสเตียรอยด์คือ
- เนื่องจากยาสเตียรอยด์มีผลข้างเคียงมาก จึงควรใช้ยาในขนาดที่น้อยที่สุดและในระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะควบคุมโรคได้
- ใช้ยาเฉพาะที่เช่น ยาพ่นในการรักษาโรคหืดแทนการใช้ยากินหรือยาฉีด
- บ้วนปากหลังการใช้ยาแบบพ่นคอหรือพ่นจมูก เพื่อลดการเกิดเชื้อราใช้ช่องปาก
- เมื่อเห็นผลการรักษาแล้วต้องค่อยๆลดขนาดยาลง ไม่หยุดยาทันทีเพราะจะทำให้ร่างกายเกิดอาการขาดสเตียรอยด์
- การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
การใช้ยาต้านอักเสบสเตียรอยด์ในหญิงตั้งครรภ์ ควรใช้ยาชนิดที่ผ่านรกในปริมาณน้อยที่สุดเช่น เพร็ดนิโซน (Prednisone) และ เมทิลเพร็ดนิโซโลน (Methylprednisolone) ยกเว้นในกรณีที่หญิงตั้งครรภ์จะคลอดก่อนกำหนด อาจเลือกใช้ยาที่ผ่านรกได้ง่ายเช่น เด็กซาเมตาโซน (Dexamethasone) หรือ เบต้าเมตาโซน (Betamethasome) เพราะใช้ป้องกันภาวะกดการหายใจในทารกแรกเกิดได้
- การใช้ยาในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
การใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาวมีผลทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน (Osteopososis) ได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในผู้สูงอายุ เพราะจะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ง่ายและรุนแรง
- การใช้ยาในเด็กควรเป็นอย่างไร?
การใช้ยาต้านอักเสบสเตียรอยด์ระยะยาวในเด็กอาจส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า (Growth retardation) นอกจากนี้ผิวของเด็กบางกว่าผู้ใหญ่ การใช้ยาสเตียรอยด์ในรูปของยาทาอาจทำให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป
- อันตรายหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาเป็นอย่างไร?
ผลข้างเคียงหลักของยาต้านอักเสบสเตียรอยด์คือ
- การใช้ยาสเตียรอยด์ขนาดสูงนานกว่า 2 สัปดาห์ทำให้เกิดกลุ่มอาการ Cushing’s Syndrome ลักษณะที่พบในผู้ป่วยประเภทนี้คือ ใบหน้ากลม (Moon face), อ้วนที่บริเวณลำตัว ยกเว้นแขน ขา, ขนดก (Hirsutism), กล้ามเนื้ออ่อนแรง, น้ำหนักตัวเกิน, ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
- ผิวหนังบาง มีรอยแตก และพบรอยช้ำได้ง่าย
- อาจทำให้กระเพาะอาหารทะลุหรือเลือดออกในกระเพาะอาหารได้
- การใช้ยานี้ในระยะยาวอาจทำให้เป็นต้อกระจก (Cataracts) และต้อหิน (Glauco ma)
- ทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำ มีการคั่งของเกลือโซเดียมและน้ำในร่างกาย
- บดบังอาการแสดงของโรคติดเชื้อ/ภาวะติดชื้อ
- คำแนะนำโดยสรุป: ยาต้านอักเสบสเตียรอยด์/ยาสเตียรอยด์ เป็นยาที่มีประโยชน์มาก และถูกนำมาใช้ทางการแพทย์อย่างกว้างขวาง แต่หากใช้ยาไม่ถูกต้องก็อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) ได้มากเช่นกัน ดังนั้นผู้บริโภคควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์หรือจากเภสัชกรก่อนว่ามีความจำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์ แล้วใช้ยาในขนาดและระยะเวลาที่ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง โดยเฉพาะยาชุด (ยาที่มีการจัดเตรียมไว้แล้ว) หรือยาลูกกลอน เพราะอาจมียาสเตียรอยด์ผสมอยู่ด้วย
หมายเหตุ:
- ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด(รวมยาฆ่าเชื้อ ยาแก้อักเสบ) ยาแผนโบราณทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิดควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้น ฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
บรรณานุกรม
1. พนาวรรณ คุณติสุข. การใช้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics drugs) อย่างถูกต้องและเหมาะสม. วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิต. 21 (กรกฎาคม-กันยายน 2554) : 193-195
2. กองเผยแพร่และควบคุมโฆษณา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. ยาต้านจุลชีพ [ออนไลน์]. 2544. [2015,Jan10]
3. กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. รู้จักสเตียรอยด์ดีหรือยัง [ออนไลน์]. 2545 [2015,Jan10]
4. พรทวี เลิศศรีสถิต และสุชีลา จันทร์วิทยานุชิต. ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (non-steroidal anti-inflammatory drugs) [2015,Jan10]
5. ณัฐวุธ สิบหมู่. เภสัชวิทยา. 2. กรุงเทพฯ : โฮลิสติก พับลิชชิ่ง, 2552
6. Faulkner, C.M., et al. Unique aspects of antimicrobial use in older adults. Aging and infectious disease. 40 (April 2005) : 997-1004
7. Nicolle L.E. Use of antimicrobials during pregnancy. Can. Fam. Physician 33 (May 1987) : 1947-1951
8. MIMS Thailand. 124 th ed. Bangkok : UBM Medica, 2011.
9. Lacy C.F., et al. Drug information handbook with international trade names index. 19th ed. Ohio : Lexi-comp, 2011.
10. Marciniak B., et al. Glucocorticoids in Pregnancy. Current pharmaceutical biotechnology. 12 (2011) : 750-757
11. Aulakh R. and Singh S. Strategies for minimizing corticosteroid toxicity: A review. Indian J Pediatr, 75 (2008) : 1067-1073