ยาฆ่าเชื้ออสุจิ 13 ข้อดี-ข้อเสีย ประสิทธิภาพของยาฆ่าอสุจิ

ยาฆ่าเชื้ออสุจิ

ยาฆ่าเชื้ออสุจิ หรือ ยาฆ่าอสุจิ (Spermicide) คือ การคุมกำเนิดแบบชั่วคราววิธีหนึ่ง ที่มีความปลอดภัย โอกาสเกิดผลข้างเคียงมีน้อย โดยเป็นการใส่ยาเข้าไปในช่องคลอดก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อให้ตัวยาทำลายหรือฆ่าเชื้ออสุจิหลังจากการมีเพศสัมพันธ์และมีการหลั่งน้ำอสุจิในช่องคลอด ตัวยาจะทำให้เชื้ออสุจิที่อยู่ในช่องคลอดตาย ทำให้ไม่สามารถเข้าสู่มดลูกไปผสมกับไข่ได้ เมื่อไม่มีการผสมกับไข่ จึงไม่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ ซึ่งยาฆ่าเชื้ออสุจิที่นำมาใช้กันในปัจจุบันก็มีอยู่หลากหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น ยาเหน็บช่องคลอด ยาเม็ดฟองฟู่ ฟองอัดในกระป๋อง ครีม เยลลี่ เป็นต้น

รูปแบบของยาฆ่าเชื้ออสุจิ

สารที่นิยมนำมาใช้ทำเป็นยาฆ่าอสุจิมากที่สุด คือ Nonoxynol-9 (สารประกอบอินทรีย์ที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้ออสุจิได้) ซึ่งมีอยู่ในผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ดฟองฟู่, ฟองอัดในกระป๋อง, ยาเหน็บช่องคลอด, แบบเยลลี่, แบบครีม, แบบโฟม (โดยการฉีดจากกระป๋อง), แบบแผ่นฟิล์มบาง ๆ เป็นต้น ซึ่งเมื่อสอดหรือใส่ยาเข้าไปในช่องคลอดของสตรีแล้ว ตัวยาจะเข้าไปเคลือบบริเวณปากมดลูกและคอยทำลายเชื้ออสุจิที่ผ่านเข้ามา เพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าไปผสมกับไข่ได้

นอกจากรูปแบบดังที่กล่าวมาแล้ว ยาฆ่าเชื้ออสุจิยังมีอยู่ในรูปแบบอื่น ๆ อีกด้วย คือ การเคลือบยาฆ่าเชื้ออสุจิในถุงยางอนามัยของฝ่ายชาย และเคลือบยาฆ่าเชื้ออสุจิในฟองน้ำคุมกำเนิดสตรี (Contraceptive sponge ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่มีลักษณะเป็นก้อนกลมที่มีรูพรุนเล็ก ๆ จำนวนมากคล้ายฟองน้ำ และเคลือบไปด้วยสารฆ่าเชื้ออสุจิ เมื่อใส่เข้าไปในช่องคลอดโดยให้ไปคลุมอยู่ที่ปากมดลูกเพื่อช่วยคุมกำเนิด) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดให้ดียิ่งขึ้น

การออกฤทธิ์ของยาฆ่าเชื้ออสุจิ

สารฆ่าอสุจิจะไปทำให้ตัวอสุจิไม่เคลื่อนไหว ทำลายหรือฆ่าตัวอสุจิ ทำให้ตัวอสุจิไม่สามารถผ่านปากโพรงมดลูกเข้าไปผสมกับไข่ของฝ่ายหญิงได้

ประสิทธิภาพของยาฆ่าเชื้ออสุจิ

ตามหลักแล้วการใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิอย่างถูกต้อง (Perfect use) จะมีโอกาสล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 18% ซึ่งหมายความว่า จำนวนการตั้งครรภ์ต่อปี (first year of use) ของสตรีที่คุมกำเนิดด้วยการใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิจำนวน 100 คน จะมีโอกาสตั้งครรภ์ประมาณ 18 คน แต่โดยทั่วไปแล้วจากการใช้งานจริง (Typical use) กลับพบว่าอัตราการล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์จะเพิ่มสูงมากขึ้นเป็น 28% หรือคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 คน จากผู้ที่คุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ (วิธีนี้เป็นวิธีที่มีโอกาสล้มเหลวสูงสุดของการคุมกำเนิดด้วยวิธีทางการแพทย์) ซึ่งสาเหตุก็น่าจะมาจากการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง สอดยาตื้นเกินไป หรือมีเพศสัมพันธ์ก่อนที่ตัวยาจะออกฤทธิ์อย่างเต็มที่ องค์การอนามัยโลกจึงมีคำแนะนำว่า ควรใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิร่วมกับวิธีการคุมกำเนิดอย่างอื่นอยู่เสมอ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดให้มีมากขึ้น เช่น การสวมถุงยางอนามัย, หมวกครอบปากมดลูก, การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น การนับวัน การหลั่งนอก เป็นต้น ส่วนด้านล่างนี้เป็นตารางเปรียบเทียบระหว่างการคุมกำเนิดด้วยวิธีการใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิกับวิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น ๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจครับ

วิธีคุมกำเนิด การใช้แบบทั่วไป การใช้อย่างถูกต้อง ระดับความเสี่ยง
ยาฝังคุมกำเนิด 0.05 (1 ใน 2,000 คน) 0.05 ต่ำมาก
ทำหมันชาย 0.15 (1 ใน 666 คน) 0.1 ต่ำมาก
ห่วงอนามัยเคลือบฮอร์โมน 0.2 (1 ใน 500 คน) 0.2 ต่ำมาก
ยาฉีดคุมกำเนิด (ฮอร์โมนรวม) 0.2 (1 ใน 500 คน) 0.2 ต่ำมาก
ทำหมันหญิงแบบทั่วไป 0.5 (1 ใน 200 คน) 0.5 ต่ำมาก
ห่วงอนามัยหุ้มทองแดง 0.8 (1 ใน 125 คน) 0.6 ต่ำมาก
หมวกครอบปากมดลูกแบบ Lea's Shield (สตรีที่ไม่มีบุตร) 5 (1 ใน 20 คน) ไม่มีข้อมูล ต่ำ
ยาฉีดคุมกำเนิด (ฮอร์โมนเดี่ยว) 6 (1 ใน 17 คน) 0.2 ปานกลาง
หมวกครอบปากมดลูกแบบ FemCap 7.6 (1 ใน 13 คน) ไม่มีข้อมูล ปานกลาง
หมวกครอบปากมดลูกแบบ Prentif (สตรีที่ไม่มีบุตร) 9 (1 ใน 11 คน) 16 ปานกลาง
แผ่นแปะคุมกำเนิด 9 (1 ใน 11 คน) 0.3 ปานกลาง
วงแหวนคุมกำเนิด (NuvaRing) 9 (1 ใน 11 คน) 0.3 ปานกลาง
ยาเม็ดคุมกำเนิด 9 (1 ใน 11 คน) 0.3 ปานกลาง
ฝาครอบปากมดลูก (Diaphragm) 12 (1 ใน 8 คน) 6 สูง
ฟองน้ำคุมกำเนิด (สตรีที่ไม่มีบุตร) 12 (1 ใน 8 คน) 19 สูง
หมวกครอบปากมดลูกแบบ Lea's Shield (สตรีที่มีบุตร) 15 (1 ใน 6 คน) ไม่มีข้อมูล สูง
ถุงยางอนามัยชาย 18 (1 ใน 5 คน) 2 สูง
การหลั่งนอก 22 (1 ใน 4 คน) 4 สูงมาก
ฟองน้ำคุมกำเนิด (สตรีที่มีบุตร) 24 (1 ใน 4 คน) 20 สูงมาก
หมวกครอบปากมดลูกแบบ Prentif (สตรีที่มีบุตร) 26 (1 ใน 3 คน) 32 สูงมาก
ยาฆ่าเชื้ออสุจิ (Spermicidal) 28 (1 ใน 3 คน) 18 สูงมาก
การหลั่งใน (ไม่มีการป้องกัน) 85 (6 ใน 7 คน) 85 สูงมาก

หมายเหตุ : ตัวเลขที่แสดงเป็นจำนวนการตั้งครรภ์ต่อปี (first year of use) ของสตรีที่คุมกำเนิดด้วยวิธีดังกล่าวจำนวน 100 คน โดยกำหนดให้ สีฟ้า = ความเสี่ยงต่ำมาก / สีเขียว = ความเสี่ยงต่ำ / สีเหลือง = ความเสี่ยงปานกลาง / สีส้ม = ความเสี่ยงสูง / สีแดง = ความเสี่ยงสูงมาก (ข้อมูลจาก : www.contraceptivetechnology.org, Comparison of birth control methods – Wikipedia)

ผู้ที่เหมาะจะใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ

ผู้ที่ไม่ควรใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ

วิธีใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ

การใช้ยาหรือสารฆ่าอสุจิจะต้องใส่เข้าไปในช่องคลอดก่อนการมีเพศสัมพันธ์เสมอ โดยทั่วไปแล้วจะต้องใส่ยาเข้าไปในช่องคลอดให้ลึกที่สุดจนถึงบริเวณปากมดลูกก่อนจะมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ยากระจายตัวได้ทั่วช่องคลอด ถ้าเป็นพวกฟองฟู่จะกระจายตัวได้เร็วกว่ายาแบบครีมและแบบเหน็บ โดยจะมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิดได้ประมาณ 30-60 นาที การใส่ยาครั้งหนึ่งจะสามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้สำหรับการร่วมเพศเพียง 1 ครั้งเท่านั้น เนื่องจากตัวยามีฤทธิ์อ่อนและต้องใช้เวลาในการฆ่าอสุจิ ถ้าหากมีการร่วมเพศซ้ำจะต้องใส่ยาอีกครั้ง และหลังจากร่วมเพศเสร็จใหม่ ๆ ไม่ควรรีบสวนล้างช่องคลอด เพราะน้ำจะไปละลายตัวยาออกมา ทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง ถ้าต้องการสวนล้างช่องคลอดก็ให้ทำภายหลังการร่วมเพศประมาณ 6-8 ชั่วโมงขึ้นไป นอกจากนี้หลังจากใส่ยาแล้วก็ไม่ควรจะลุก ยืน เดิน หรือไปนั่งถ่ายปัสสาวะ/อุจจาระ จนกว่าจะมีเพศสัมพันธ์เรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาไหลออกมา ดังนั้น ก่อนจะใส่ยาเข้าไปในช่องคลอดทุกครั้ง ก็ควรจะทำอะไรให้เรียบร้อยเสียก่อน

วิธีใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ

โดยรูปแบบของยาฆ่าอสุจิก็มีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน ผู้ใช้ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เขียนแนะนำไว้ในฉลากอย่างเคร่งครัด เพราะยาแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการใช้ ขนาดของยาที่ใช้ และระยะเวลาที่ต้องใส่แตกต่างกันออกไป เช่น

ยาฆ่าตัวอสุจิ

ยาฆ่าเชื้ออสุจิชนิดฟอง

ครีมฆ่าเชื้ออสุจิ

ฟองน้ำคุมกำเนิด

ยาฆ่าเชื้ออสุจิชนิดแผ่นฟิล์ม

ผลข้างเคียงของยาฆ่าเชื้ออสุจิ

ข้อดีของยาฆ่าเชื้ออสุจิ

  1. เป็นยาที่ใช้ได้ง่าย สามารถใช้ได้ด้วยตนเองหรือคู่นอน ไม่ต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคลากรทางการแพทย์
  2. มีราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป โดยไม่จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์
  3. ยานี้มีความปลอดภัยสูง โอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนมีน้อย
  4. ไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้ฮอร์โมนเหมือนการคุมกำเนิดแบบอื่น เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด เป็นต้น
  5. เหมาะสำหรับคู่สมรสที่ไม่ได้พบกันบ่อย เพราะจะใช้เฉพาะเวลาร่วมเพศเท่านั้น ถ้าใช้วิธีนี้ร่วมกับการป้องกันอย่างอื่น เช่น การนับวันปลอดภัย หลั่งภายนอก หรือสวมถุงยางอนามัย ก็จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงขึ้นด้วย
  6. สามารถใช้ได้ในสตรีที่กำลังเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ข้อเสียของยาฆ่าเชื้ออสุจิ

  1. ประสิทธิภาพในด้านการคุมกำเนิดยังไม่สูงนัก จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากถ้าใส่ยาเข้าไปไม่ลึกพอ หรือยายังไม่กระจายตัวดีพอ หรือใช้ยาไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้จะใส่ยาไว้รอก็ไม่ได้ จะต้องใส่ยาในช่วงเวลาที่จำกัดเท่านั้น (10-15 นาที) ซึ่งอาจทำให้ขัดต่อความรู้สึกและอารมณ์ของทั้งคู่ได้
  2. เนื่องจากการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้มีความเสี่ยงสูง การป้องกันการตั้งครรภ์จึงต้องใช้ร่วมกับวิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นเสมอ เช่น การคุมกำเนิดแบบธรรมชาติ (เช่น การหลั่งนอก, นับวัน), การใช้ร่วมกับถุงยางอนามัย, หมวกครอบปากมดลูก (Cervical cap), แผ่นกั้นปากมดลูก (Diaphragm) เป็นต้น
  3. ในบางคู่จะไม่นิยมใช้วิธีคุมกำเนิดรูปแบบนี้กันมากนัก เพราะยาที่ใส่เข้าไปอาจทำให้รู้สึกเหนียว แฉะ เปื้อน หรือมีการหล่อลื่นในช่องคลอดมากเกินไป จนก่อให้เกิดความรำคาญได้
  4. ต้องใช้ทุกครั้งเมื่อจะมีเพศสัมพันธ์
  5. ต้องทำความสะอาดอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิทุกครั้ง เช่น หลอดฉีดโฟม หลอดฉีดของเหลวเข้าไปในช่องคลอด เป็นต้น
  6. ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
  7. ในรายที่แพ้ยา อาจทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง บวมแดง หรือแสบได้
เอกสารอ้างอิง
  1. หาหมอดอทคอม.  “การคุมกำเนิดด้วยยาฆ่าอสุจิ Spermicidal contracep tion”.  (รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [13 ต.ค. 2015].
  2. สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.  “การคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่ไม่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : kanchanapisek.or.th/kp6/.  [13 ต.ค. 2015].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ยาฆ่าเชื้ออสุจิ
  • 2 รูปแบบของยาฆ่าเชื้ออสุจิ
  • 3 การออกฤทธิ์ของยาฆ่าเชื้ออสุจิ
  • 4 ประสิทธิภาพของยาฆ่าเชื้ออสุจิ
  • 5 ผู้ที่เหมาะจะใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ
  • 6 ผู้ที่ไม่ควรใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ
  • 7 วิธีใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ
  • 8 ผลข้างเคียงของยาฆ่าเชื้ออสุจิ
  • 9 ข้อดีของยาฆ่าเชื้ออสุจิ
  • 10 ข้อเสียของยาฆ่าเชื้ออสุจิ
  • 11 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ