มะเร็งผิวหนัง (Skin cancer) อาการ การรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง 10 วิธี

มะเร็งผิวหนัง

มะเร็งผิวหนัง (Skin cancer หรือ Cutaneous carcinoma) เป็นโรคมะเร็งที่พบได้สูงในคนผิวขาว แต่พบได้เรื่อย ๆ ไม่ถึงกับบ่อยมากในคนไทย (โรคมะเร็งผิวหนังไม่อยู่ใน 10 ลำดับของมะเร็งที่พบบ่อยของทั้งหญิงและชายไทย ซึ่งอาจเป็นเพราะผิวหนังของคนไทยมีเม็ดสีเมลานินที่ช่วยป้องกันอันตรายจากแสงแดด) และพบได้มากขึ้นตามอายุ มักพบได้บ่อยในคนวัยกลางคนและผู้สูงอายุ (ส่วนมากจะพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป) ทั้งนี้โอกาสเกิดในผู้ชายและผู้หญิงมีใกล้เคียงกัน หรือพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย

มะเร็งผิวหนังสามารถพบเกิดได้กับผิวหนังทั่วตัว แต่จะพบได้มากบริเวณที่ถูกแสงแดด โดยเฉพาะบริเวณศีรษะที่พบได้ประมาณ 80-90% และที่ใบหน้าพบได้ประมาณ 65% (ได้แก่ ตา หู จมูก) ส่วนอื่น ๆ ที่พบได้รองลงมา คือ คอ แขน มือ แต่ไม่ว่าจะเกิดที่อวัยวะส่วนใด ถ้าตรวจพบได้ตั้งแต่แรกและกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติออกไปได้หมดก็สามารถหายขาดจากโรคนี้ได้

จุดเด่นของโรคมะเร็งผิวหนัง คือ เราสามารถมองเห็นได้ง่าย ทำให้สังเกตเห็นความผิดปกติได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งการลุกลามก็มักเป็นไปอย่างช้า ๆ ผู้ป่วยจึงมักได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที (ถ้าไม่เป็นคนไร้ความสังเกตเลยทีเดียวหรือเป็นคนประเภทไม่สนใจว่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง) ซึ่งผลการรักษาโดยส่วนใหญ่แล้วจะได้ผลดีและหายขาดถ้าได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เริ่มแรก โดยการรักษาทั่วไปจะเป็นการผ่าตัดเอามะเร็งผิวหนังออกให้หมด แต่ในบางครั้งมะเร็งที่ถูกปล่อยไว้จนมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะผ่าตัดออกได้หมด อาจต้องรักษาโดยการใช้รังสีรักษา หรือถ้ามะเร็งมีการแพร่กระจายไปส่วนอื่นการรักษาจะต้องให้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วย

ผิวหนังแบ่งออกเป็น 2 ชั้นใหญ่ คือ ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ที่อยู่นอกสุด และชั้นหนังแท้ (Dermis) ที่อยู่ด้านใน ซึ่งมะเร็งผิวหนังจะเกิดขึ้นในชั้นหนังกำพร้ากับเนื้อเยื่อ 3 ชนิด คือ

  1. Squamous cells เป็นเนื้อเยื่อที่มีลักษณะแบนที่อยู่ส่วนบนสุดของชั้นหนังกำพร้า
  2. Basal cells เป็นเนื้อเยื่อที่มีลักษณะกลมที่อยู่ใต้ Squamous cells
  3. Melanocytes อยู่ในส่วนล่างของชั้นหนังกำพร้า ทำหน้าที่ผลิตสารเมลานินซึ่งเป็นสารสร้างสีผิว

ชนิดของโรคมะเร็งผิวหนัง

โรคมะเร็งผิวหนังมีอยู่หลายชนิด ส่วนใหญ่มักเจริญขึ้นอย่างช้า ๆ และลุกลามเฉพาะที่ แต่มีบางชนิดที่อาจจะแพร่กระจายไปทางกระแสเลือดและต่อมน้ำเหลืองได้ ซึ่งก็พบได้น้อย โดยชนิดที่พบได้บ่อย คือ ชนิดคาร์ซิโนมา (Carcinoma) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ โรคมะเร็งผิวหนังชนิดไม่ใช่เมลาโนมา และโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา ส่วนโรคมะเร็งผิวหนังชนิดอื่น ๆ นั้นพบได้เพียงประปราย ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงโรคมะเร็งผิวหนัง โดยทั่วไปจะหมายถึงโรคมะเร็งผิวหนังทั้ง 2 กลุ่มนี้เท่านั้น ได้แก่

  1. โรคมะเร็งผิวหนังชนิดไม่ใช่เมลาโนมา (Non melanoma skin cancer) เป็นโรคมะเร็งที่เกิดกับเนื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) ของผิวหนัง ส่วนใหญ่จะเป็นเฉพาะที่ ไม่แพร่กระจาย และลุกลามช้า โอกาสที่จะแพร่กระจายไปส่วนอื่นมีน้อย มะเร็งผิวหนังชนิดนี้ที่พบได้บ่อยจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ
    • ชนิดเบซาลเซลล์ หรือมะเร็งเซลล์หนังกำพร้าชั้นฐาน หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “บีซีซี” (Basal cell carcinoma – BCC) เป็นโรคมะเร็งผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุด จัดเป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงต่ำและมักไม่มีการแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ดังนั้นจึงมักไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิต (เพียงแต่จะดูไม่สวยงาม) แต่ก็อาจลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองได้ มะเร็งชนิดนี้มักพบในคนอายุ 40-50 ปีขึ้นไป (อายุน้อยกว่านี้ก็พบได้เช่นกัน) โดยเฉพาะในคนผิวขาว และพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย
    • ชนิดสะความัสเซลล์ หรือมะเร็งเซลล์หนังกำพร้าชั้นตื้น หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “เอสซีซี” (Squamous cell carcinoma – SCC) เป็นโรคมะเร็งผิวหนังที่พบได้บ่อยรองมา แต่จะมีความรุนแรงมากกว่าชนิดเบซาลเซลล์ จัดเป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงปานกลาง เพราะสามารถลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองและแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้สูงกว่าชนิดเบซาลเซลล์เมื่อรอยโรคมีขนาดใหญ่ หรือเมื่อเป็นเซลล์มะเร็งที่เซลล์มีการแบ่งตัวสูง ซึ่งเมื่อแพร่กระจายมักจะแพร่กระจายไปสู่ปอด หากพบได้เร็วการรักษาจะหายขาด แต่หากไม่ได้รับการรักษาก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ สามารถพบได้ในคนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป (อายุน้อยกว่านี้ก็พบได้เช่นกัน) โดยเฉพาะในคนผิวขาว ส่วนผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสเกิดเท่ากัน
  2. โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา หรือมะเร็งเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanoma หรือ Malignant melanoma) เป็นมะเร็งที่เกิดกับเซลล์สร้างเม็ดสีของผิวหนังที่เรียกว่า “เมลาโนไซต์” (Melanocyte) เป็นชนิดที่พบได้น้อยที่สุดและพบได้ไม่บ่อย แต่มีความรุนแรงสูง เพราะมีโอกาสแพร่กระจายไปเนื้อเยื่อข้างเคียงและที่อื่น ๆ ได้มากกว่าชนิดแรก โดยโรคจะลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองและแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้สูงและรวดเร็ว ซึ่งเมื่อแพร่กระจายมักจะไปยังปอด กระดูก และสมอง หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ภายใน 1 ปี สามารถพบได้ในเด็กโต (ในคนอายุต่ำกว่า 20 ปี พบมะเร็งชนิดนี้ประมาณ 1% ของมะเร็งชนิดนี้ทั้งหมด) และจะพบได้สูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นจนพบได้สูงสุดในช่วงอายุประมาณ 45-65 ปี ต่อจากนั้นจะพบได้น้อยลง ผู้ชายพบได้สูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย มักพบได้มากในคนที่เคยมีผิวไหม้จากแสงแดด โดยเฉพาะคนผิวขาว
อาการมะเร็งผิวหนัง
IMAGE SOURCE : healthfavo.com

ทั้งนี้ ในสหราชอาณาจักรเมื่อปี ค.ศ.2010 มีผู้ป่วยประมาณ 100,000 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งผิวหนังชนิดไม่ใช่เมลาโนมา และมีจำนวน 12,818 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา โดยมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งผิวหนังจำนวน 2,746 ราย จากชนิดเมลาโนมา 2,203 ราย และจากชนิดไม่ใช่เมลาโนมา 546 ราย ส่วนในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ.2008 มีผู้ป่วยจำนวน 59,695 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา และมีผู้ป่วยจำนวน 8,623 รายที่เสียชีวิตจากสาเหตุดังกล่าว

สาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนัง

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังทั้ง 2 กลุ่ม แต่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยง คือ

อาการของโรคมะเร็งผิวหนัง

อาการที่พบได้บ่อยของโรคผิวหนัง คือ การมีตุ่มหรือก้อนเนื้อ หรือแผลเรื้อรังที่ผิวหนัง ซึ่งสามารถพบได้ในทุกบริเวณรวมทั้งหนังศีรษะ ฝ่ามือ และฝ่าเท้าหรือไฝต่าง ๆ ที่โตเร็ว อาจเจ็บ แตกเป็นแผล มีเลือดออกเรื้อรัง โดยอาจพบเพียงก้อนเนื้อเดียวหรือหลายก้อนพร้อม ๆ กันก็ได้

เมื่อโรคลุกลาม อาจคลำพบต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียงกับผิวหนังส่วนที่เป็นโรคโตจนคลำได้ เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่หน้าหูหรือลำคอโต เมื่อมีรอยโรคที่หนังศีรษะหรือใบหน้า, ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้โต เมื่อมีรอยโรคที่มือหรือแขน หรือต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต เมื่อมีรอยโรคที่เท้าหรือขา เป็นต้น

ระยะของโรคมะเร็งผิวหนัง

โรคมะเร็งผิวหนังมี 4 ระยะเช่นเดียวกับโรคมะเร็งอื่น ๆ แต่จะแบ่งตามชนิดของเซลล์มะเร็งด้วย ดังนี้

  1. ระยะของโรคมะเร็งผิวหนังชนิดไม่ใช่เมลาโนมา
    • ระยะที่ 1 รอยโรคมีขนาดโตไม่เกิน 2 เซนติเมตร (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 90-100%)
    • ระยะที่ 2 รอยโรคมีขนาดโตเกิน 2 เซนติเมตร หรือมีขนาดใดก็ได้แต่เป็นเซลล์มะเร็งชนิดที่มีการแบ่งตัวสูงหรือลุกลามลงลึกใต้ผิวหนัง (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 70-80%)
    • ระยะที่ 3 โรคลุกลามเข้าเนื้อเยื่ออื่นที่อยู่ติดผิวหนัง หรือลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียงเพียง 1 ต่อมและต่อมมีขนาดโตไม่เกิน 3 เซนติเมตร (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 50%)
    • ระยะที่ 4 รอยโรคลุกลามเข้ากระดูก หรือเส้นประสาท หรือเข้าต่อมน้ำเหลืองมากกว่า 1 ต่อม หรือต่อมน้ำเหลืองมากกว่า 3 เซนติเมตร หรือโรคแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด ซึ่งเมื่อแพร่กระจายมักแพร่กระจายเข้าสู่ปอด (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 0-30%)
  2. ระยะของโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา ซึ่งบางระยะของโรคยังแบ่งย่อยออกไปได้อีก แต่มักใช้สำหรับแพทย์เพื่อใช้ในการพิจารณาวิธีรักษาและเพื่อการศึกษา
    • ระยะที่ 1 รอยโรคมีขนาดโตไม่เกิน 2 มิลลิเมตร (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 75-80%)
    • ระยะที่ 2 รอยโรคมีขนาดโตมากกว่า 2 มิลลิเมตร (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 40-70%)
    • ระยะที่ 3 โรคลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 30-40%)
    • ระยะที่ 4 โรคแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งเมื่อแพร่กระจายมักจะแพร่กระจายเข้าสู่ปอด กระดูก และสมอง (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 0-10%)

ส่วนความรุนแรงของโรคมะเร็งผิวหนังจะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งผิวหนัง (ชนิดเมลาโนมาจะรุนแรงกว่าชนิดสะความัสเซลล์ ส่วนชนิดเบซาลเซลล์จะรุนแรงน้อยสุด), ระยะของโรค (ดังที่กล่าวไปในหัวข้อที่แล้ว), ขนาดและตำแหน่งที่เกิดโรค (ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่สามารถผ่าตัดรอยโรคออกได้หมด ความรุนแรงของโรคจะน้อยกว่าเมื่ออยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดได้ไม่หมด หรือผ่าตัดไม่ได้) รวมถึงอายุและสุขภาพของผู้ป่วย (ถ้าผ่าตัดไม่ได้ จากอายุและ/หรือจากสุขภาพ ความรุนแรงของโรคก็จะสูงขึ้น)

การวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนัง

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนังได้จากประวัติการได้รับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ของผู้ป่วยดังที่กล่าวมา การตรวจลักษณะของรอยโรค สี ขนาด และรูปร่างของผิวที่ผิดปกติ การตรวจคลำต่อมน้ำเหลือง ส่วนการตรวจวินิจฉัยที่ให้ผลแน่นอน คือ การตัดชิ้นเนื้อจากรอยโรค (ก้อนเนื้อ แผล หรือไฝ) เพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งอาจตัดบางส่วนหรือตัดทั้งก้อนก็ได้

นอกจากนี้ อาจมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วยเพื่อจัดระยะของโรคและประเมินสุขภาพของผู้ป่วย เช่น การตรวจเอกซเรย์ภาพปอดเพื่อดูการแพร่กระจายของโรคเข้าสู่ปอด การตรวจภาพตับด้วยอัลตราซาวนด์เพื่อดูการแพร่กระจายของมะเร็งสู่ตับ การตรวจซีบีซีเพื่อดูการทำงานของไขกระดูก ตับ และของไต เป็นต้น แต่ทั้งนี้การตรวจเพิ่มเติมต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็ง ขนาดของรอยโรค การมีต่อมน้ำเหลืองโต และดุลยพินิจของแพทย์

การตรวจมะเร็งผิวหนังแรกเริ่มด้วยตนเอง

เนื่องจากการรักษามะเร็งผิวหนังจะได้ผลดีและหายขาดเมื่อตรวจพบตั้งแต่แรกเริ่ม ดังนั้นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวไปควรสำรวจร่างกายของตนเองให้ทั่วเป็นระยะ ซึ่งจะต้องใช้กระจกตั้งและกระจกมือช่วย โดยมีขั้นตอนการตรวจดังนี้

  1. ให้ยืนหน้ากระจกแล้วส่องข้างหน้า ข้างหลัง ด้านข้างทั้งซ้ายและขวา และยกแขนขึ้น
  2. ตรวจดูที่แขน รักแร้ มือ หลังมือ และข้อศอก
  3. ตรวจดูที่ต้นขาด้านหน้าและหลัง น่อง หน้าแข้ง เข่า หลังเท้า และซอกนิ้ว
  4. ตรวจดูที่คอด้านหน้าและด้านหลัง หนังศีรษะ และไรผม
  5. ตรวจดูที่หลัง

ลักษณะที่ทำให้สงสัยว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง

การตรวจมะเร็งผิวหนัง
IMAGE SOURCE : www.spafinder.com

วิธีรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง

แนวทางการรักษาโรคมะเร็งผิวหนังทุกชนิดจะคล้ายคลึงกัน คือ การรักษาด้วยการผ่าตัดเอารอยโรคออกไปให้หมด ในรายที่พบระยะแรกและรอยโรคมีขนาดเล็กอาจจี้ด้วยความเย็น หรืออาจใช้วิธีขูดออกร่วมกับการจี้ด้วยไฟฟ้าหรือด้วยไนโตรเจนเหลว ถ้าเป็นส่วนผิวอาจใช้แสงเลเซอร์รักษา ถ้าเป็นที่หนังตา ติ่งหู หรือปลายจมูกอาจใช้รังสีรักษา (ฉายรังสี) เป็นต้น ส่วนในรายที่เป็นบริเวณกว้างหรืออยู่ในที่ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือมะเร็งแพร่กระจายไปส่วนอื่นหรือเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma) ที่มีการแพร่กระจายไปแล้ว แพทย์จะให้รักษาด้วยรังสีรักษาร่วมกับยาเคมีบำบัด ซึ่งผลการรักษาส่วนใหญ่มักจะได้ผลดีและหายขาดได้

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง

การดูแลตนเองจะเหมือนกับโรคมะเร็งอื่น ๆ ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปในเรื่อง การดูแลตนเองเมื่อป่วยเป็นโรคมะเร็ง, การดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง, การดูแลตนเองและการดูแลผู้ป่วยเคมีบำบัด

การผ่าตัดรักษามะเร็งผิวหนังด้วยวิธี MMS

การผ่าตัด Mohs micrographic surgery (MMS) เป็นการผ่าตัดเอาเฉพาะมะเร็งผิวหนังออกไปได้หมด ถึงแม้จะไม่ทราบขอบเขตของมะเร็งที่แน่ชัด และทำให้มีการสูญเสียเนื้อเยื่อปกติที่อยู่ข้างเคียงน้อยที่สุด เป็นวิธีการผ่าตัดที่ได้ผลดีมากถึง 90-95% ซึ่งแพทย์จะทำการผ่าตัดมะเร็งออกทีละชั้นเป็นชั้นบาง ๆ และจี้ด้วยไฟฟ้าเพื่อห้ามเลือดก่อนจะปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ แล้วจึงนำชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อดูว่าตำแหน่งใดที่ยังมีมะเร็งหลงเหลืออยู่ ซึ่งผู้ป่วยจะนั่งรอผลการตรวจชิ้นเนื้อประมาณ 2 ชั่วโมง ถ้ายังตรวจพบเซลล์มะเร็ง แพทย์จะกลับไปผ่าตัดซ้ำด้วยวิธีเดิมในตำแหน่งที่ยังมีมะเร็งหลงเหลืออยู่จนกว่าจะไม่พบเซลล์มะเร็งผิวหนังอยู่ที่บริเวณรอยโรคนั้น (ซึ่งบางครั้งผู้ป่วยอาจต้องทำการผ่าตัดซ้ำด้วยวิธีการเดิมนี้ 2-3 ครั้งหรืออาจมากกว่านั้น) หลังจากนั้นแพทย์จะทำการปิดแผลโดยการเย็บแผลหรือปล่อยให้แผลหายเองตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละรายไป

มะเร็งผิวหนังที่ควรรักษาด้วยวิธี MMS คือ

คำแนะนำก่อนการผ่าตัดด้วยวิธี MMS

คำแนะนำหลังการผ่าตัดด้วยวิธี MMS

ผ่าตัดมะเร็งผิวหนัง
IMAGE SOURCE : www.cancer.gov
วิธีรักษามะเร็งผิวหนัง
IMAGE SOURCE : www.clinicalskincenter.com

ผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง

ผลข้างเคียงจากการรักษาจะขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา และผลข้างเคียงจะสูงขึ้นเมื่อใช้วิธีรักษาหลายวิธีร่วมกัน

วิธีป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง

วิธีป้องกันโรคมะเร็งผิวหนังสามารถทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ เช่น

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “มะเร็งผิวหนัง (Skin cancer)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1156-1157.
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 005 คอลัมน์ : ผู้หญิงกับความงาม.  (พญ.ปรียา กุลละวณิชย์).  “มะเร็งผิวหนัง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [17 มี.ค. 2017].
  3. สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา ฝ่ายรังสีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์.  “มะเร็งผิวหนัง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.chulacancer.net.  [18 มี.ค. 2017].
  4. ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “การรักษามะเร็งผิวหนังด้วยวิธี Mohs (Mohs Micrographic Surgery)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [18 มี.ค. 2017].
  5. Siamhealth.  “มะเร็งผิวหนัง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [19 มี.ค. 2017].
  6. หาหมอดอทคอม.  “มะเร็งผิวหนัง (Skin cancer)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [19 มี.ค. 2017].
  7. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.  “มะเร็งผิวหนัง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : th.wikipedia.org.  [19 มี.ค. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 มะเร็งผิวหนัง
  • 2 ชนิดของโรคมะเร็งผิวหนัง
  • 3 สาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนัง
  • 4 อาการของโรคมะเร็งผิวหนัง
  • 5 ระยะของโรคมะเร็งผิวหนัง
  • 6 การวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนัง
  • 7 การตรวจมะเร็งผิวหนังแรกเริ่มด้วยตนเอง
  • 8 ลักษณะที่ทำให้สงสัยว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง
  • 9 วิธีรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง
  • 10 การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
  • 11 การผ่าตัดรักษามะเร็งผิวหนังด้วยวิธี MMS
  • 12 ผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง
  • 13 วิธีป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง
  • 14 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
  • 15 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ