มะเร็งกระเพาะอาหาร อาการ การรักษาโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร 5 วิธี

มะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach cancer หรือ Gastric cancer) คือ เซลล์เนื้อร้ายหรือมะเร็งที่เกิดขึ้นที่บริเวณเยื่อบุผิวภายในกระเพาะอาหาร* โดยเกิดจากการที่เซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารมีการแบ่งจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดเป็นมะเร็งขึ้นมา สามารถเกิดได้กับทุกส่วนของกระเพาะอาหาร และสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะรอบ ๆ กระเพาะอาหารได้ เช่น ตับอ่อน หลอดอาหาร ลำไส้ ปอด และรังไข่ นอกจากนี้เซลล์มะเร็งยังแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ผ่านทางต่อมน้ำเหลือง หรือทางกระแสเลือดได้ด้วย

ในบ้านเรามักตรวจพบผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งชนิดนี้ในระยะสุดท้าย เนื่องจากผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์เมื่อมีอาการปรากฏชัดเจนซึ่งเป็นระยะที่มะเร็งลุกลามไปมากแล้ว จึงยากที่จะเยียวยารักษาได้ ดังนั้น ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ (เช่น มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้) ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยก่อนที่จะมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เพราะหากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ๆ การรักษาก็มักจะได้ผลดีและช่วยให้หายขาดได้

มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นโรคที่พบได้บ่อยพอประมาณ ส่วนใหญ่มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบได้มากในช่วงอายุ 60-80 ปี (คนอายุน้อยกว่า 40 ปีก็พบได้แต่น้อย) พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2-3 เท่า และพบได้มากเป็นอันดับที่ 9 ของมะเร็งในผู้ชาย

หมายเหตุ : ผนังของกระเพาะอาหารประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นในสุดคือชั้นของเยื่อบุผิวด้านใน (Mucosa), ชั้นถัดมาตรงกลางคือชั้นกล้ามเนื้อ (Muscle layers) และชั้นนอกสุดจะเป็นชั้นของเยื่อบุผิวด้านนอก (Serosa) โดยมะเร็งกระเพาะอาหารที่กล่าวถึงในบทความนี้จะเริ่มเกิดจากเซลล์ที่อยู่บริเวณเยื่อบุผิวด้านในและกระจายออกมาถึงเยื่อบุผิวด้านนอก ไม่ใช่มะเร็งกระเพาะอาหารที่เกิดจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิด GIST (Gastrointestinal stromal tumor) หรือที่มีชื่อเรียกว่า “มะเร็งจิสต์” ซึ่งเป็นโรคมะเร็งที่พบได้น้อยมากและมีลักษณะการดำเนินของโรคและการรักษาที่แตกต่างกัน ซึ่งเราจะไม่ได้กล่าวถึงในบทความนี้

สาเหตุของมะเร็งกระเพาะอาหาร

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร (แต่การมีปัจจัยเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารเสมอไป และในทางกลับกัน การที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร) ได้แก่

สาเหตุมะเร็งกระเพาะอาหาร
IMAGE SOURCE : www.pinterest.com (by Cancer Hallmarks)

อาการของมะเร็งกระเพาะอาหาร

ในระยะแรกเริ่มผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ ต่อมาเมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นจะทำให้มีอาการคล้ายอาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ เช่น

ในช่วงแรกเมื่อกินยารักษาโรคกระเพาะอาการจะทุเลาลงได้ (จึงอาจทำให้ผู้ป่วยคิดว่าเป็นเพียงโรคกระเพาะธรรมดา) แต่ต่อมาการกินยาดังกล่าวจะไม่ได้ผลหรืออาจมีอาการดีขึ้นแต่มักจะมีอาการขึ้นมาอีก และเมื่อโรคเป็นมากขึ้นจะทำให้มีอาการอื่น ๆ ตามมา เช่น

มะเร็งกระเพาะอาหารอาการ
IMAGE SOURCE : www.pinterest.com (by Cancer Hallmarks)

ระยะของมะเร็งกระเพาะอาหาร

ระยะมะเร็งกระเพาะอาหาร
IMAGE SOURCE : www.medscape.com

ความรุนแรงของมะเร็งกระเพาะอาหาร

ความรุนแรงของโรคนี้จะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก คือ

  1. ปัจจัยจากตัวผู้ป่วยเอง ได้แก่
    • อายุ ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยมักจะทนต่อการรักษาได้ดีกว่าผู้ป่วยที่มีอายุมาก จึงมีผลการรักษาที่ดีกว่า
    • สุขภาพร่างกายทั่วไปของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ก็จะสามารถทนต่อการรักษาได้ดีกว่า ผลการรักษาโดยรวมจึงดีกว่าด้วย
    • โรคร่วมต่าง ๆ ของผู้ป่วย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้อาจทำให้เป็นอุปสรรคต่อการรักษาและส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงจากการรักษามากขึ้น
  2. ปัจจัยจากการรักษา กล่าวคือ ถ้าผู้ป่วยสามารถรับการผ่าตัดได้การรักษามักจะได้ผลดีกว่าผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ โดยอัตราการรอดชีวิตเมื่อสามารถผ่าตัดมะเร็งกระเพาะอาหารได้หมดเป็นดังนี้
    • ระยะที่ 1 มีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ประมาณ 70%
    • ระยะที่ 2 มีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ประมาณ 30-40%
    • ระยะที่ 3 มีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ประมาณ 15%
    • ระยะที่ 4 เป็นระยะที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ ผู้ป่วยจะมีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ประมาณ 0-5%

การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร

แพทย์สามารถวินิจฉัยและประเมินระยะของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้จากการตรวจดังต่อไปนี้

อาการมะเร็งกระเพาะอาหาร
IMAGE SOURCE : www.researchgate.net, www.ddc.musc.edu

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารแน่ชัดแล้ว แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ อีกดังที่กล่าวไป เช่น การตรวจเอกซเรย์ปอด การส่องกล้องตรวจอัลตราซาวนด์ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น เพื่อประเมินระยะของมะเร็งว่าอยู่ในกระเพาะอาหารหรือได้แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น ๆ แล้วหรือไม่ ซึ่งการประเมินระยะของมะเร็งนั้นมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากที่ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง

การแยกโรค

ในระแรกอาการแสดงของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารจะดูคล้ายโรคกระเพาะและโรคกรดไหลย้อน แต่โรคเหล่านี้เมื่อกินยารักษาอาการก็มักจะทุเลาลงและหายขาดได้ แต่ถ้าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ในช่วงแรกการกินยาจะได้ผลชั่วคราว แต่ต่อมาจะไม่ได้ผล

ส่วนอาการในระยะต่อมา คือ คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักตัวลดลง อาจดูคล้ายกับมะเร็งหลอดอาหารและมะเร็งตับได้ แต่จะแตกต่างกันตรงที่ในมะเร็งหลอดอาหารผู้ป่วยจะมีอาการกลืนลำบากเป็นอาการหลัก (กลืนแล้วเจ็บหรือติดที่ตำแหน่งต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับคอจนถึงระดับลิ้นปี่) ส่วนมะเร็งตับจะคลำได้ก้อนแข็งบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา ไม่ใช่ด้านซ้ายเหมือนในมะเร็งกระเพาะอาหาร

วิธีรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร

แนวทางในการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารทั่วไป จะเป็นการรักษาโดยการผ่าตัดเป็นหลัก โดยอาจร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด ส่วนในรายที่เป็นมากอาจให้ยาเคมีบำบัดร่วมกับรังสีรักษา

วิธีการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารในปัจจุบัน การรักษามะเร็งกระเพาะอาหารจำเป็นต้องอาศัยทีมแพทย์ในสาขาต่าง ๆ หลายสาขามาร่วมกันวางแผนในการรักษาที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย เช่น ศัลยแพทย์ รังสีแพทย์ และอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกวิธีการรักษาของแพทย์จะขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่ง และลักษณะของเซลล์มะเร็ง ระยะของโรคและการกระจายของมะเร็ง และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย

การเลือกวิธีการรักษาตามระยะของโรค

การดูแลตนเองเมื่อเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรปฏิบัติตัวดังนี้

การตรวจติดตามหลังการรักษา การตรวจบางอย่างเพื่อใช้ในการวินิจฉัยหรือจัดระยะของโรคมะเร็งอาจมีความจำเป็นต้องตรวจซ้ำเพื่อดูว่าการรักษานั้นได้ผลหรือไม่ เพื่อช่วยในการตัดสินใจว่าจะให้การรักษาด้วยวิธีเดิม เปลี่ยนวิธีการรักษา หรือหยุดการรักษา ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า “การจัดระยะของโรคใหม่” นอกจากนี้การตรวจบางอย่างจำเป็นต้องตรวจหลังการรักษาสิ้นสุดลงแล้วเพื่อดูว่าโรคมีการกลับมาเป็นซ้ำหรือไม่ ซึ่งเรียกว่า “การตรวจติดตาม

วิธีการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารที่กลับมาเป็นซ้ำ

สำหรับผลการรักษานั้นจะขึ้นอยู่กับระยะและการกระจายของมะเร็ง และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ถ้าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะแรก ๆ การรักษาจะได้ผลดีหรือช่วยให้หายขาด หรือมีชีวิตยืนยาวได้ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการในระยะท้าย ๆ การรักษาจึงมักไม่ได้ผล (ทำได้เพียงแค่ประคับประคองเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน) และผู้ป่วยมักมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เช่น เมื่อเป็นระยะที่ 4 ซึ่งมะเร็งลุกลามกระจายไปทั่วร่างกายแล้ว ผู้ป่วยมักจะมีชีวิตอยู่ได้โดยเฉลี่ยประมาณ 6-12 เดือน (แต่บางคนที่ดูแลตนเองดี ๆ ก็อาจจะอยู่ได้นานกว่านี้)

ผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร

ผลข้างเคียงจากการรักษาในแต่ละวิธีจะแตกต่างกันไปตามแต่ละวิธีที่ผู้ป่วยได้รับการรักษา และผลข้างเคียงจะพบได้มากขึ้นเมื่อรักษาด้วยหลาย ๆ วิธีร่วมกัน

วิธีป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้ แต่มีคำแนะนำที่อาจช่วยลดโอกาสการเกิดโรคนี้ได้บ้าง คือ

  1. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ดังที่กล่าวไป เช่น งดแอลกอฮอล์ บุหรี่ อาหารเค็ม อาหารหมักดอง อาหารปิ้งย่าง เนื้อสัตว์รมควันหรือใส่ดินประสิว เป็นต้น
  2. กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ เป็นประจำทุกวัน
  3. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  4. ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อเอชไพโรไลของกระเพาะอาหารควรรีบรักษาให้หายขาด
  5. เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวิธีในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งกระเพาะอาหารตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ดังนั้น จึงควรสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
  6. ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ มีประวัติเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง หรือติดเชื้อเอชไพโลไร (H. pylori) เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหารตั้งแต่ระยะก่อนมีอาการ โดยอาจต้องทำการตรวจปีละครั้ง ถ้าพบว่าเริ่มมีความผิดปกติจะได้รักษาได้ทัน เนื่องจากการรักษาในระยะแรกมักจะได้ผลดีหรือช่วยให้หายขาดได้
  7. สำหรับผู้ที่มีอาการปวดแสบลิ้นปี่ก่อนกินอาหาร หรือจุกแน่นท้องหลังกินอาหาร ถ้าเพิ่งเป็นครั้งแรกโดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ และมีอายุต่ำกว่า 40 ปี ให้กินยาต้านกรดครั้งละ 15-30 มิลลิลิตร หลังอาหาร 3 มื้อและก่อนนอน ถ้ากินยาไป 2-3 วันแล้วอาการทุเลาลงให้กินยาต่อไปจนครบ 2 สัปดาห์ (แต่ถ้าอาการยังไม่ทุเลาตั้งแต่แรก หรือในกรณีที่กินยาครบ 2 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่หายดี ควรรีบไปพบแพทย์) และถ้าหายดีแล้วให้กินยาต่อไปจนครบ 6-8 สัปดาห์ (หากกินยาจนครบ 6-8 สัปดาห์ แล้วต่อมามีอาการกำเริบขึ้นอีก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ) แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอายุเกิน 40 ปี แม้จะมีอาการเป็นครั้งแรก และไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ก็ควรปรึกษาแพทย์ หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดรุนแรง ปวดนานเกิน 6 ชั่วโมง กระเทือนถูกเจ็บ อาเจียน ถ่ายอุจจาระดำ ตัวเหลืองตาเหลือง หรือมีน้ำหนักตัวลดลง เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “มะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach cancer/Gastric cancer)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1167-1168.
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 319 คอลัมน์ : สารานุกรมทันโรค.  “มะเร็งกระเพาะอาหาร”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [20 มี.ค. 2017].
  3. สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา ฝ่ายรังสีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์.  “มะเร็งผิวกระเพาะอาหาร”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.chulacancer.net.  [21 มี.ค. 2017].
  4. หาหมอดอทคอม.  “มะเร็งกระเพาะอาหาร (Gastric cancer)”.  (พญ.ชลศณีย์ คล้ายทอง).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [22 มี.ค. 2017].
  5. โรงพยาบาลวัฒโนสถ.  “โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร”.  (นพ.วุฒิ สุเมธโชติเมธา).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhospital.com/wattanosoth/.  [22 มี.ค. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 มะเร็งกระเพาะอาหาร
  • 2 สาเหตุของมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • 3 อาการของมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • 4 ระยะของมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • 5 ความรุนแรงของมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • 6 การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • 7 วิธีรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร
  • 8 ผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร
  • 9 วิธีป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • 10 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ