พาราเซตามอล (Paracetamol) สรรพคุณ วิธีใช้ ผลข้างเคียง ฯลฯ

พาราเซตามอล

พาราเซตามอล (Paracetamol) / อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) หรือยาที่คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า ซีมอล (Cemol), พานาดอล (Panadol), พาราแคพ (Paracap), ซาร่า (Sara), เทมปร้า (Tempra), ไทลินอล (Tylenol) เป็นยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ในสมอง แบบเดียวกับยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดลดไข้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ (แต่มีฤทธิ์ลดอาการปวดอย่างจำกัด รักษาได้เพียงอาการปวดระดับเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้น) แต่มีฤทธิ์อ่อนมากในการต้านการอักเสบ และไม่มีผลต่อการทำให้เกิดแผลเพ็ปติก (แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น)[1]

ยาพาราเซตามอลเป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย หาซื้อได้ง่าย และเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกวิธี เพราะไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร (จึงสามารถรับประทานพร้อมอาหารหรือในขณะท้องว่างได้) ไม่ทำให้เลือดออกง่าย และไม่ค่อยทำให้เกิดอาการแพ้ จึงเหมาะที่จะนำมาใช้เป็นยาแก้ปวดลดไข้สำหรับคนทั่วไปทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่เป็นโรคแผลเพ็ปติก ผู้ที่แพ้ยาแอสไพริน (Aspirin) หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) หรือในผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกหรือมีภาวะเลือดออกง่าย และในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 12-19 ปี (แล้วแต่แหล่งอ้างอิง) ที่สงสัยว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัส (เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ คางทูม หัด อีสุกอีใส เป็นต้น เพราะอาจจะทำให้เป็นโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรงถึงตายได้)[1],[6]

ตัวอย่างยาพาราเซตามอล

ยาพาราเซตามอล (ชื่อสามัญ) มีชื่อทางการค้า เช่น บู๊ทส์ พาราเซตามอล (Boots paracetamol), ไบโอเจสิก (Biogesic), คาลปอล (Calpol), ซีมอล (Cemol), ดาก้า (Daga), มาซาพารา (Masapara), มายพารา (Mypara), พานาดอล (Panadol), พาราแคพ/พาราแคป (Paracap), พาราเซต (Paracet), พาราเซตามอล องค์การเภสัชกรรม (Paracetamol GPO), พาราเซตามอล เยาวราช (Paracetamol Jawarad), พารามอล (Paramol), พาแรท (Parat), ซาร่า (Sara), ไพราคอน (Pyracon), เทมปร้า (Tempra), ไทลินอล (Tylenol), ยูนิแคป (Unicap) ฯลฯ

รูปแบบยาพาราเซตามอล

ซีมอล (Cemol)
IMAGE SOURCE : www.ebay.com / ซีมอล (Cemol) กระปุก 100 เม็ด ราคาประมาณ 35-59 บาท
พานาดอล (Panadol)
IMAGE SOURCE : www.panadol.co.th, www.prachachat.net / พานาดอล (Panadol) กล่องละ 8 เม็ด ราคาประมาณ 39 บาท
พาราแคพ (Paracap)
IMAGE SOURCE : www.thailandstore.net / พาราแคพ (Paracap) กระปุก 50 เม็ด ราคาประมาณ 40 บาท
ยาซาร่า (Sara)
IMAGE SOURCE : MedThai.com / ซาร่า (Sara) แผงละ 10 เม็ด ราคาประมาณ 10 บาท
ไทลินอล (Tylenol)
IMAGE SOURCE : www.cwdofficesupply.com, winzzz.lnwshop.com / ไทลินอล (Tylenol) กล่อง 200 เม็ด (จำนวน 20 แผง) ราคาประมาณ 175 บาท, กระปุก 100 เม็ด ราคาประมาณ 130-160 บาท, แผง 10 เม็ด ราคาประมาณ 10 บาท, แผง 4 เม็ด ราคาประมาณ 6 บาท
ยาพารา
IMAGE SOURCE : pantip.com (by ชายใหญ่ครับ), Tesco Lotus, www.ubook.msu.ac.th

สรรพคุณของยาพาราเซตามอล

อาการปวดที่ยาพาราเซตามอลใช้ได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผล

แม้ยาพาราเซตามอลจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้หลากหลายจนแทบจะครอบจักรวาล แต่ก็ยังมีอาการปวดบางชนิดที่ยาพาราเซตามอลไม่มีผลในการรักษาหรือได้ผลในการรักษาน้อยมาก[6] เช่น

  1. อาการปวดระดับรุนแรง เช่น อาการปวดจากแผลผ่าตัดใหญ่หรือจากมะเร็ง เป็นต้น โดยวิธีการประเมินความปวดอย่างง่ายคือการให้คะแนนความปวดจาก 0-10 โดยให้เลข 0 แทนความรู้สึกที่ไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด และเลข 10 แทนความรู้สึกที่มีอาการปวดมากที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ หากประเมินแล้วตัวเลขอยู่ในช่วง 7-10 นั่นหมายถึงการมีอาการปวดระดับรุนแรง การใช้ยาพาราเซตามอลเพียงขนานเดียวจะไม่สามารถบรรเทาอาการปวดได้ แม้ว่าจะใช้เกินขนาดไปเท่าใดก็ตาม ดังนั้น ผู้ที่มีอาการปวดระดับดังกล่าวจึงไม่ควรใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาดที่แนะนำเพื่อหวังผลช่วยลดอาการปวดและควรไปพบแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสมต่อไป
  2. อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง การรับประทานยานี้เพื่อรักษาอาการปวดศีรษะบ่อย ๆ โดยเฉพาะการใช้ยามากกว่า 15 วันต่อเดือน ประมาณ 2-3 เดือนติดกัน จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน (Medication overuse headache) ดังนั้น ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง เช่น ปวดศีรษะจากความเครียดที่มีลักษณะอาการปวดเหมือนศีรษะถูกบีบรัดมากกว่า 15 วันต่อเดือน หรือปวดศีรษะไมเกรนมากกว่าเดือนละ 3-4 ครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจนและอาจจำเป็นต้องรับยาอื่นแทนยาพาราเซตามอลเพื่อป้องกันอาการปวดศีรษะต่อไป
  3. อาการปวดที่มีลักษณะอาการแบบแปลก ๆ โดยทั่วไปอาการปวดที่ยาพาราเซตามอลมีผลในการรักษาจะเป็นอาการปวดศีรษะแบบทั่วไป ปวดแบบปวดตื้อ ๆ หรือกดเจ็บจากเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบ แต่จะมีอาการปวดบางอย่าง เช่น ปวดแสบปวดร้อน เสียวแปลบเป็นพัก ๆ ปวดเหมือนถูกไฟช็อต ปวดร้าวไปที่บริเวณอื่น หรือปวดเหมือนถูกเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทง ซึ่งอาการปวดแบบนี้อาจบ่งบอกถึงอาการปวดจากการที่เส้นประสาททำงานผิดปกติ ปวดร่วมกับอาการชา ซึ่งยาพาราเซตามอลจะมีผลในการรักษาอาการเหล่านี้ได้น้อยมาก จึงทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเส้นประสาทมักมีอาการเรื้อรังจนอาจต้องใช้ยาพาราเซตามอลเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติต่อตับได้ หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

ยาพาราเซตามอลกับหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร

กลไกการออกฤทธิ์ของยาพาราเซตามอล

ในปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ที่ชัดเจน แต่เชื่อว่ายาพาราเซตามอลออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการสร้างสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ในระบบประสาทส่วนกลางและเพิ่มระดับกั้นความเจ็บปวด (Pain threshold) นอกจากนี้ยังสามารถเหนี่ยวนำฤทธิ์บรรเทาอาการปวดได้โดยการไปยับยั้งเอนไซม์ไซโคลออกซีเจเนส (Cyclooxygenase) โดยเฉพาะชนิดที่ 2 แต่มีฤทธิ์อ่อน และยับยั้งเอนไซม์ไซโคลออกซีเจเนสแบบผันกลับได้ นอกจากนี้ยังมีกลไกอื่น ๆ ที่สามารถยับยั้งอาการปวด เช่น การกระตุ้นตัวรับแคนนาบินอยด์ชนิดที่ 1 ทางอ้อม เป็นต้น[8]

ส่วนกลไกการลดไข้นั้น ยาพาราเซตามอลจะไปยับยั้งการสร้างสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ในระบบประสาทส่วนกลางและยับยั้งศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายที่ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้หลอดเลือดส่วนปลายขยาย และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด[8]

ก่อนใช้ยาพาราเซตามอล

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมถึงยาพาราเซตามอล สิ่งที่ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบมีดังนี้

ข้อห้าม/ข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอล

วิธีใช้ยาพาราเซตามอล

  1. ยาเม็ดรับประทาน (ขนาดเม็ดละ 325 หรือ 500 มิลลิกรัม) และยาน้ำเชื่อมสำหรับเด็ก (ขนาด 120 มิลลิกรัม : 1 ช้อนชาหรือ 5 มิลลิลิตร)
    • ในผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ให้รับประทานยาพาราเซตามอลครั้งละ 325-1,000 มิลลิกรัม และให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง เฉพาะเมื่อมีอาการปวดหรือมีไข้ (สูงสุดไม่เกินครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม และไม่เกินวันละ 4,000 มิลลิกรัม)[1],[2]
      • สำหรับยาเม็ดขนาด 325 มิลลิกรัม ถ้าผู้ใช้มีน้ำหนักตัว 22-33 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 1 เม็ด, น้ำหนักตัว 34-44 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 1 ½ เม็ด และถ้ามีน้ำหนักตัว 45 กิโลกรัมขึ้นไป ให้รับประทานยาครั้งละ 2 เม็ด[8]
      • สำหรับยาเม็ดขนาด 500 มิลลิกรัม ถ้าผู้ใช้มีน้ำหนักตัว 34-50 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 1 เม็ด, น้ำหนักตัว 51-67 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 1 ½ เม็ด และถ้ามีน้ำหนักตัว 68 กิโลกรัมขึ้นไป ให้รับประทานยาครั้งละ 2 เม็ด[8]
      • สำหรับยาเม็ดขนาด 650 มิลลิกรัม เฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 44 กิโลกรัมขึ้นไป ให้รับประทานยาครั้งละ 1 เม็ด
    • ในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 12 ปี ให้รับประทานยาครั้งละ 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการ (สูงสุดไม่เกินวันละ 5 ครั้ง)[1],[2] หรือให้ตามน้ำหนักตัวหรืออายุ ดังนี้
      • เด็กอายุ 0-3 เดือน หรือมีน้ำหนักตัว 2.7-5.3 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 40 มิลลิกรัม (1.7 มิลลิลิตร) และให้ซ้ำได้ทุก 4 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 5 ครั้ง)[1],[2]
      • เด็กอายุ 4-11 เดือน หรือมีน้ำหนักตัว 5.4-8.1 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 80 มิลลิกรัม (3.4 มิลลิลิตร) และให้ซ้ำได้ทุก 4 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 5 ครั้ง)[1],[2]
      • เด็กอายุ 12-23 เดือน หรือมีน้ำหนักตัว 8.2-10.8 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 120 มิลลิกรัม (5 มิลลิลิตร หรือ 1 ช้อนชา) และให้ซ้ำได้ทุก 4 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 5 ครั้ง)[1],[2]
      • เด็กอายุ 2-3 ปี หรือมีน้ำหนักตัว 10.9-16.3 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 160 มิลลิกรัม (6.7 มิลลิลิตร) และให้ซ้ำได้ทุก 4 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 5 ครั้ง)[1],[2]
      • เด็กอายุ 4-5 ปี หรือมีน้ำหนักตัว 16.4-21.7 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 240 มิลลิกรัม (10 มิลลิลิตร หรือ 2 ช้อนชา) และให้ซ้ำได้ทุก 4 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 5 ครั้ง)[1],[2]
      • เด็กอายุ 6-8 ปี หรือมีน้ำหนักตัว 21.8-27.2 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 320 มิลลิกรัม (หรือรับประทานยาเม็ดขนาด 325 มิลลิกรัม 1 เม็ด) และให้ซ้ำได้ทุก 4 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 5 ครั้ง)[1],[2]
      • เด็กอายุ 9-10 ปี หรือมีน้ำหนักตัว 27.3-32.6 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 400 มิลลิกรัม และให้ซ้ำได้ทุก 4 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 5 ครั้ง)[2]
      • เด็กอายุ 11-12 ปี หรือมีน้ำหนักตัว 32.7-43.2 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 480 มิลลิกรัม และให้ซ้ำได้ทุก 4 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 5 ครั้ง)[2]
  1. ยาฉีด
    • ในผู้ใหญ่และเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปที่มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัมขึ้นไป ให้ฉีดยาเข้าหลอดเลือดครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือครั้งละ 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม และไม่เกินวันละ 4,000 มิลลิกรัม)[2]
    • ในผู้ใหญ่และเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปที่น้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กิโลกรัม ให้ฉีดยาเข้าหลอดเลือดครั้งละ 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือครั้งละ 12.5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินครั้งละ 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และไม่เกินวันละ 75 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม)[2]
    • ในเด็กอายุ 1-12 ปี ให้ฉีดยาเข้าหลอดเลือดครั้งละ 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือครั้งละ 12.5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินครั้งละ 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และไม่เกินวันละ 75 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่สูงสุดไม่เกิน 3,750 มิลลิกรัม)[2]
    • ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า การใช้ยาฉีด (ขนาด 150 มิลลิกรัม/หลอด) ในผู้ใหญ่ให้ฉีดเข้ากล้ามครั้งละ ½-1 หลอด ส่วนในเด็กให้ฉีดครั้งละ ¼-½ หลอด โดยควรใช้เฉพาะในรายที่มีอาการอาเจียนและรับประทานยาไม่ได้[1]

หมายเหตุ : ยาจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 10-30 นาทีหลังการรับประทาน และจะมีฤทธิ์ต่อเนื่องไปได้ 4-6 ชั่วโมง[5]

คำแนะนำในการใช้ยาพาราเซตามอล

  1. แม้ยาพาราเซตามอลจะเป็นยาสามัญประจำบ้าน แต่ก็ไม่ควรใช้ยานี้อย่างพร่ำเพรื่อ (โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง) ผู้ป่วยควรใช้ยานี้เฉพาะเวลาที่มีอาการเท่านั้น ถ้าไม่หายหรืออาการยังไม่ทุเลาลงให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง หรือใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุไว้บนฉลากยาหรือตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยาในขนาดที่น้อยกว่าหรือมากกว่าที่ระบุไว้ หรือใช้ยาบ่อยกว่าที่แพทย์สั่งให้ใช้ เพราะอาจทำให้เป็นอันตรายต่อตับได้[1],[3],[4]
  2. ยานี้สามารถรับประทานได้ทั้งก่อนและหลังอาหาร (อาหารไม่มีผลต่อการดูดซึมของยา) แต่ควรรับประทานเหมือนกันและรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกครั้ง และควรดื่มน้ำตาม 1 แก้ว (250 มิลลิลิตร) หลังรับประทานยา[4],[8]
  3. ในเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ควรใช้ยาพาราเซตามอลชนิดน้ำเชื่อมสำหรับเด็ก[7]
  4. สำหรับยาน้ำและยาน้ำแขวนตะกอน ควรใช้ภาชนะหรือเครื่องตวงที่ให้มากับยาในการตวงปริมาตรยา และไม่ควรผสมยานี้กับนมหรืออาหารสำหรับเด็ก (ยาน้ำแขวนตะกอนควรเขย่าขวดก่อนการใช้แต่ละครั้งเสมอ)[4]
  5. เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยาให้ปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
    • ในเด็กทารกและเด็กเล็ก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชก่อนใช้ยานี้
    • ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ไม่ควรรับประทานยานี้เกินวันละ 1,200 มิลลิกรัม[1]
    • ในเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี ไม่ควรรับประทานยาเกินครั้งละ 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือไม่เกิน 500 มิลลิกรัมต่อครั้ง และขนาดยาสูงสุดต่อวันไม่ควรเกิน 2,600 มิลลิกรัม[8]
    • ในผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 12 ปี ไม่ควรรับประทานยาเกินครั้งละ 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อครั้ง และขนาดยาสูงสุดต่อวันไม่ควรเกิน 4,000 มิลลิกรัม (ขนาดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม ไม่เกิน 8 เม็ด)[8]
  6. สำหรับเด็กห้ามรับประทานยานี้ติดต่อกันเกิน 3-5 วัน ส่วนในผู้ใหญ่ห้ามรับประทานยานี้ติดต่อกันเกิน 5-10 วัน[4] (หากจำเป็นต้องใช้นานกว่านี้ต้องปรึกษาแพทย์[6])
  7. ขนาดการใช้ยาดังกล่าวเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำสั่งการใช้ยาของแพทย์หรือเภสัชกรได้ อีกทั้งขนาดการใช้ยาพาราเซตามอลก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุและน้ำหนักตัวของผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับโรคต่าง ๆ ของผู้ป่วยด้วย เช่น ถ้าผู้ป่วยมีโรคตับและ/หรือโรคไต แพทย์จะให้ปรับลดขนาดยาที่รับประทานลงเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น[3]
  8. ในระหว่างการใช้ยาพาราเซตามอลควรงดการสูบบุหรี่ เพราะสารไฮโดรคาร์บอนในบุหรี่อาจลดฤทธิ์ของยาพาราเซตามอลลงได้
  9. ในกรณีที่ผู้ป่วยใช้ยาอยู่หลายขนาน ให้ตรวจสอบชื่อสามัญทางยาว่ามีส่วนผสมของยาพาราเซตามอล (Paracetamol) อยู่ในยาแต่ละขนานซ้ำซ้อนกันหรือไม่ เพราะในปัจจุบันนี้มียาหลายชนิดที่มีส่วนผสมของยาพาราเซตามอลแฝงอยู่ โดยเฉพาะยาสูตรผสมแก้ปวด เช่น นอร์จีสิก (Norgesic), ไทลีนอล วิท โคเดอีน (Tylenol with codeine), อัลตราเซต (Ultracet) เป็นต้น และยาสูตรผสมแก้หวัด เช่น อาปราคัวร์ (Apracur), ดีคอลเจน (Decolgen), ฟาร์โคลด์ (Pharcold), ทิฟฟี่ (Tiffy) เป็นต้น ซึ่งการได้รับยาเหล่านี้ซ้ำซ้อนกันหลายชนิดอาจเป็นเหตุให้ร่างกายได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาดโดยไม่ตั้งใจได้ และหากไม่แน่ใจในขนาดยารวมของพาราเซตามอล ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร[5],[6]
  10. เมื่อรับประทานยาพาราเซตามอลแล้วมีไข้สูง (อุณหภูมิสูงกว่า 39.5 องศาเซลเซียส) หรือเมื่อมีไข้ต่อเนื่องนานกว่า 3 วัน หรือเมื่อมีไข้เป็น ๆ หาย ๆ หรืออาการปวดยังไม่ดีขึ้นภายใน 10 วันในผู้ใหญ่ หรือ 5 วันในเด็ก ให้รีบไปพบแพทย์[8] (ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า ถ้าอาการยังไม่ทุเลาลงภายใน 1-2 วันหลังการรับประทานยา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องต่อไป[3])
  11. หากรับประทานยาแล้วเกิดอาการเหล่านี้ ต้องหยุดใช้ยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที เช่น เป็นลมพิษ มีอาการบวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก, หน้ามืด เป็นลม แน่นหน้าอก หายใจลำบาก, มีผื่นแดง ตุ่มพอง ผิวหนังหลุดลอก, มีจ้ำตามผิวหนัง เลือดออกผิดปกติ เหนื่อยง่าย เป็นหวัดได้ง่าย[8]
  12. หากจำเป็นต้องรับประทานยานี้อย่างต่อเนื่องแล้วเกิดอาการเหล่านี้ ต้องหยุดใช้ยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้มขึ้น[8]
  13. ในกรณีที่รับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดมาก ๆ ถ้าพบในระยะ 3-4 ชั่วโมงหลังรับประทานยา ควรรีบทำให้อาเจียนทันที โดยการใช้นิ้วล้วงเข้าไปเขี่ยผนังลำคอ หรือรับประทานยาน้ำเชื่อมไอพีแคก (Syrup of Ipecac) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการอาเจียน[1]

การเก็บรักษายาพาราเซตามอล

เมื่อลืมรับประทานยาพาราเซตามอล

ผลข้างเคียงของยาพาราเซตามอล

การได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด

  1. ขนาดยาที่อาจเกิดพิษ
    • การได้รับยาเกินขนาดชนิดเฉียบพลัน ในผู้ใหญ่ที่ประทานยาพาราเซตามอลวันละ 10,000-15,000 มิลลิกรัม เป็นเวลา 1-2 วัน อาจทำให้เซลล์ตับและเซลล์ท่อไตถูกทำลาย ในกรณีนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที แม้ว่าจะไม่พบอาการผิดปกติใด ๆ ก็ตาม (ความเสี่ยงในการเป็นพิษต่อตับอาจเพิ่มขึ้นเมื่อรับประทานยานี้มากกว่า 150 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือ 12,000 มิลลิกรัม)[8]
    • ในผู้ใหญ่ การรับประทานยาพาราเซตามอลตั้งแต่ 10,000 มิลลิกรัมขึ้นไป หรือ 5,000 มิลลิกรัมขึ้นไปในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง (เช่น ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มาก ผู้ที่ได้รับยาที่เหนี่ยวนำเอนไซม์ตับ ผู้ที่มีภาวะพร่องกลูต้าไธโอน เช่น ผู้ป่วย HIV ผู้ป่วยทุพโภชนาการ เป็นต้น) อาจทำให้ตับถูกทำลายได้[8]
    • ในเด็ก ความเป็นพิษต่อตับจะเพิ่มขึ้นเมื่อได้รับยาเกินขนาดที่แนะนำ คือ ครั้งละ 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และมากกว่า 5 ครั้งต่อวัน (การได้รับยาเกินขนาดในเด็กมักเกิดจากการคำนวณยาผิด การใช้ความแรงผิด หรือการเพิ่มขนาดของยาด้วยตัวเองเมื่อใช้ยาในขนาดเดิมแล้วไม่ได้ผล)[8]
  1. อาการแสดงของการได้รับยาเกินขนาดชนิดเฉียบพลัน ความเป็นพิษของยาพาราเซตามอลจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ[8] คือ
    • ระยะที่ 1 เกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงหลังรับประทานยา และมักหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง โดยมักแสดงภาวะเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกไม่สบายท้อง และเกิดภาวะเหงื่อท่วม
    • ระยะที่ 2 เกิดขึ้นภายใน 24-36 ชั่วโมงหลังรับประทานยา โดยมักแสดงอาการปวดเกร็งท้อง ตับโต มีการเพิ่มขึ้นของบิลิรูบินและเอนไซม์ตับ Prothombin time นานขึ้น และอาจเกิดภาวะปัสสาวะน้อย
    • ระยะที่ 3 เกิดขึ้นภายใน 72-96 ชั่วโมงหลังรับประทานยา โดยมักแสดงภาวะเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกไม่สบาย มีอาการที่แสดงถึงภาวะตับล้มเหลว เช่น ภาวะเลือดเป็นกรด สมองบวม เลือดออกในสมอง ความดันโลหิตต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ ไตล้มเหลว ติดเชื้อ ดีซ่าน เอนไซม์ตับมักมีค่ามากกว่า 10,000 ยูนิต/ลิตร การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ Encephalopathy และ Cardiomyopathy
    • ระยะที่ 4 ผู้ป่วยอาจกลับสู่ภาวะปกติ หรืออาจเกิดตับวายจนเสียชีวิต
  2. วิธีรักษากรณีที่เกิดพิษแบบเฉียบพลัน
    • ผงถ่านกัมมันต์ เพื่อช่วยลดการดูดซึมยาพาราเซตามอลผ่านทางเดินอาหาร เมื่อรับประทานยาเกิน 150 มิลลิกรัมต่อ/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง[8]
    • การให้ยาต้านพิษ คือ ยาอะเซทิลซิสเทอีน (Acetylcysteine) ที่มีชื่อทางการค้า เช่น ฟลูมูซิล (Fluimucil) โดยครั้งแรกให้ผู้ป่วยรับประทานยานี้ในขนาด 140 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และในอีก 4 ชั่วโมงต่อมา ให้รับประทานในขนาด 70 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 4 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 17 ครั้ง (ยานี้ใน 1 ซองจะมีตัวยา 100 หรือ 200 มิลลิกรัม) จะช่วยป้องกันการเกิดพิษต่อตับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าให้รับประทานภายใน 8-16 ชั่วโมงหลังรับประทานยาพาราเซตามอล (แม้หลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้วก็ควรให้ยาต้านพิษนี้อยู่ดี) ส่วนวิธีใช้ให้ผสมยาอะเซทิลซิสเทอีนในน้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือน้ำอัดลม ในสัดส่วนยา 1 ส่วน : น้ำ 2 ส่วน หรือใช้ยาอะเซทิลซิสเทอีนชนิดฉีดขนาด 150 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ผสมใน 5% D/W 200 มิลลิลิตร หยดเข้าหลอดเลือดดำใน 15 นาที ครั้งที่ 2 ให้ในขนาด 50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ผสมใน 5% D/W 500 มิลลิลิตร ในอีก 4 ชั่วโมงต่อมา และครั้งที่ 3 ให้ในขนาด 100 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ผสมใน 5% D/W 1,000 มิลลิลิตร ในอีก 16 ชั่วโมงต่อมา[1]
    • การล้างกระเพาะอาหาร มีบางการศึกษาพบว่าวิธีนี้อาจมีประโยชน์กับผู้ป่วยที่ได้รับยาเกินขนาดภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง[8]
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 1.  “พาราเซตามอล (Paracetamol/Acetaminophen)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 227-228.
  2. Drugs.com.  “Paracetamol”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.drugs.com.  [06 พ.ย. 2016].
  3. หาหมอดอทคอม.  “กลุ่มยาแก้ปวดและยาพาราเซตามอล Analgesics and Paracetamol”.  (ภก.อภัย ราษฎรวิจิตร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [06 พ.ย. 2016].
  4. ยากับคุณ (Ya & You), มูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา (วพย.).  “PARACETAMOL”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.yaandyou.net.  [06 พ.ย. 2016].
  5. Siamhealth.  “Acetaminophen (Paracetamol)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [06 พ.ย. 2016].
  6. ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “พาราเซตามอล (paracetamol) รักษาปวดได้ทุกอย่างจริงหรือ ?”.  (ภก.พงศธร มีสวัสดิ์สม).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th.  [06 พ.ย. 2016].
  7. มูลนิธิหมอชาวบ้าน.  “พาราเซตามอล”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [06 พ.ย. 2016].
  8. สำนักยา.  “ข้อกำหนดในการแสดงฉลาก เอกสารกำกับยา และคำเตือนของยา paracetamol”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : drug.fda.moph.go.th.  [06 พ.ย. 2016].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 พาราเซตามอล
  • 2 ตัวอย่างยาพาราเซตามอล
  • 3 รูปแบบยาพาราเซตามอล
  • 4 สรรพคุณของยาพาราเซตามอล
  • 5 อาการปวดที่ยาพาราเซตามอลใช้ได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผล
  • 6 ยาพาราเซตามอลกับหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร
  • 7 กลไกการออกฤทธิ์ของยาพาราเซตามอล
  • 8 ก่อนใช้ยาพาราเซตามอล
  • 9 ข้อห้าม/ข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอล
  • 10 วิธีใช้ยาพาราเซตามอล
  • 11 คำแนะนำในการใช้ยาพาราเซตามอล
  • 12 การเก็บรักษายาพาราเซตามอล
  • 13 เมื่อลืมรับประทานยาพาราเซตามอล
  • 14 ผลข้างเคียงของยาพาราเซตามอล
  • 15 การได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด
  • 16 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ