ชุมเห็ดไทย สรรพคุณและประโยชน์ของต้นชุมเห็ดไทย 42 ข้อ

ชุมเห็ดไทย

ชุมเห็ดไทย ชื่อสามัญ Foetid cassia, Sickle senna[1],[2],[4],[6],[7]

ชุมเห็ดไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ Senna tora (L.) Roxb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cassia tora L.) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)[1],[2],[4],[6],[7]

สมุนไพรชุมเห็ดไทย มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า พรมดาน[1] พราดาน[4] (สุโขทัย), หญ้าลึกลืน[1] หญ้าลักลืน[4] (ปราจีนบุรี), เล็นเค็ด (มหาสารคาม), เล็บหมื่นน้อย ลับมืนน้อย[1] เล็บมื่นน้อย[4] (ภาคเหนือ), ชุมเห็ดควาย ชุมเห็ดเขาควาย ชุมเห็ดนา ชุมเห็ดเล็ก เล็บมื่นน้อย เล็บมื้น (ภาคกลาง), กิเกีย หน่อปะหน่าเหน่อ[1] หน่อปะหน่ำเหน่อ[4](กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ก๊วกเม้ง เอียฮวยแซ (จีน), เจี๋ยหมิงจื่อ (จีนกลาง) เป็นต้น[1],[3],[4]

ลักษณะของชุมเห็ดไทย

ต้นชุมเห็ดไทย

รูปต้นชุมเห็ดไทย

ฝักชุมเห็ดไทย

ใบชุมเห็ดไทย

ดอกชุมเห็ดไทย

รูปดอกชุมเห็ดไทย

ผลชุมเห็ดไทย

เมล็ดชุมเห็ดไทย

เมล็ดชุมเห็ดไทย

สรรพคุณของชุมเห็ดไทย

  1. เมล็ดมีรสขมหวานชุ่ม เป็นยาเย็น โดยออกฤทธิ์ต่อตับและไต ช่วยทำให้เลือดเย็น (เมล็ด)[3]
  2. ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (เมล็ด)[9]
  3. เมล็ดนำมาคั่วชงกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงประสาท (เมล็ด)[1],[5] ส่วนใบหรือรากก็เป็นยาบำรุงประสาทเช่นกัน (ใบ, ราก)[12]
  4. เมล็ดใช้เป็นยาระงับประสาท (เมล็ด)[5],[12]
  5. ช่วยทำให้นอนหลับสบาย ทำให้ง่วงนอน แก้อาการนอนไม่หลับ ด้วยการใช้เมล็ดชุมเห็ดไทยนำมาคั่วให้เกรียมคล้ายเมล็ดกาแฟ แล้วนำมาบดเป็นผง ใช้ชงกับน้ำร้อนดื่ม จะให้รสหอมชุ่มชื่นใจดี ไม่ทำให้หัวใจสั่น (เมล็ด)[1],[2],[5],[6],[9],[12] ส่วนใบก็แก้อาการนอนไม่หลับได้เช่นกัน (ใบ)[12]
  1. ช่วยบำรุงกำลัง (ใช้เมล็ดคั่วชงกับน้ำดื่ม)[1],[4],[5]
  2. เมล็ดคั่วชงกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่น (เมล็ด)[5],[12] ส่วนผลหรือฝักชุมเห็ดไทยก็มีสรรพคุณบำรุงหัวใจเช่นกัน (ผล)[12]
  3. ช่วยแก้กระษัย (ใช้เมล็ดคั่วชงกับน้ำดื่ม)[1],[5],[6]
  4. เมล็ดใช้เป็นยาแก้เด็กเป็นตานขโมย ด้วยการใช้เมล็ดแห้ง 10 กรัม ตับไก่ 1 คู่ นำมาบดผสมกับเหล้าขาวเล็กน้อย แล้วปั้นเป็นก้อนนำมานึ่งให้สุกและใช้รับประทาน (เมล็ด)[9]
  5. เมล็ดใช้คั่วกับน้ำดื่มเป็นยาลดความดันชั่วคราว (เมล็ด)[1],[5] โดยใช้เมล็ดแห้ง 15 กรัม (บ้างว่าใช้ 30 กรัม) นำมาคั่วให้เกรียมบดเป็นผง ใช้ชงกับน้ำดื่มแทนน้ำชาจะช่วยลดความดันโลหิตได้ (เมล็ด)[3],[4] ส่วนใบก็ช่วยลดความดันโลหิตได้เช่นกัน (ใบ)[12]
  6. ช่วยรักษาอาการตาบวมแดง ตาฝ้ามัว ตาฟาง (เมล็ด)[1],[4],[5] หากตาฝ้ามัว (ที่ไม่ได้เกิดจากโรคติดเชื้ออื่นใด) ให้ใช้เมล็ด 2 ถ้วยชานำมาบดเป็นผงรับประทานกับข้าวต้มเป็นประจำ และห้ามรับประทานร่วมกับปลา เนื้อหมู ต้นหอม และซิงไฉ่ (Rorippa Montana (Wall.) Small.)[9] หากตาฟาง ให้ใช้เมล็ดแห้ง 60 กรัมและเมล็ดโคเชีย (Kochia scoparia (L.) Schrad.) แห้ง 30 กรัม นำมาบดเป็นผงรับประทานหลังอาหารครั้งละ 3 กรัม[9] หากเยื่อตาอักเสบแบบเฉียบพลัน ก็ให้ใช้เมล็ดชุมเห็ดไทยแห้งและเก๊กฮวยอย่างละ 10 กรัม, บักชัก (Equisetum hiemale L.) 6 กรัม และมั่งเก๊กจี้ (Vitex rotundifolia L.) 6 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม (เมล็ด)[9]
  7. ทั้งต้นช่วยทำให้ตาสว่าง (ทั้งต้น)[1],[4],[5] ส่วนอีกตำราระบุว่าใช้เมล็ดชุมเห็ดไทยนำมาคั่วให้เกรียม ผสมกับคนทีสออย่างละเท่ากัน นำมาบดเป็นผง ใช้ครั้งละประมาณ 5-6 กรัม นำมาชงกับน้ำรับประทาน 2 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน (เมล็ด)[3],[4] หรือจะใช้เมล็ดแห้ง 1 ถ้วยชา มั่งเก๊กจี้ (Vitex rotundifolia L.) แห้ง 1 ถ้วยชา และเหล้าอย่างดีอีก 1 ถ้วยชา นำมาต้มจนเหล้าแห้งแล้วบดให้เป็นผง ใช้ดื่มกับน้ำอุ่นหลังอาหารและก่อนนอนครั้งละ 6 กรัม วันละ 4 ครั้ง (เมล็ด)[9]
  8. ทั้งต้นและใบใช้ประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ (ทั้งต้นและใบ)[4]
  9. ใบใช้เป็นยารักษาโรคไข้มาลาเรีย (ใบ)[4],[9]
  10. ทั้งต้นมีรสเมา ใช้ปรุงเป็นยาแก้ไข้ ไข้หวัด (ทั้งต้น[1],[5],[6],[9], ต้นและราก[2], ใบ[12], ราก[12], เมล็ด[12]), หากเป็นไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ให้ใช้ทั้งต้นหรือใบแห้งประมาณ 15-30 กรัม หากใช้สดให้เพิ่มอีก 1 เท่าตัว ใช้ผสมกับชะเอมต้มน้ำดื่ม (ใบ, ทั้งต้น)[9],[12] ส่วนตำรายาไทยจะใช้เมล็ดหรือราก โดยมักใช้คู่กับหญ้าขัด ในกรณีที่เป็นไข้ มีอาการปวดศีรษะและสันนิบาต (เมล็ด, ราก)[8],[12]
  11. ช่วยแก้อาการไอ (เมล็ด[5], ทั้งต้น[6],[9], ใบ[12])
  12. ช่วยแก้เสมหะ (ทั้งต้น[6], ราก[12], ใบ[12])
  13. ช่วยแก้หืด (ต้น[12], เมล็ด[12] , ราก[12] , ทั้งต้น[6])
  14. ช่วยขับน้ำชื้นและขับลมชื้น (เมล็ด)[3]
  15. ทั้งต้นและใบใช้ประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มก่อนอาหารเช้าเป็นยาระบายอ่อน ๆ หรือยาถ่าย (หรือจะเติมผลกระวาน 2 ผลและเกลือเล็กน้อย เพื่อช่วยกลบรสเหม็นเขียว) หากใช้ใบอย่างเดียวให้ใช้ในขนาด 60 กรัม (ทั้งต้นและใบ[4],[6],[8],[9], ใบ[1],[6],[9],[12]) หรือจะใช้เมล็ดคั่วประมาณ 10-13 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาระบายก็ได้เช่นกัน (เมล็ด)[2],[5],[6] ส่วนต้นหรือรากก็มีสรรพคุณเป็นยาระบายเช่นกัน (ต้น, ราก)[12]
  16. ช่วยแก้อาการท้องผูก ท้องผูกเรื้อรัง ด้วยการใช้เมล็ดแก่แห้งที่คั่วจนเหลืองแล้วประมาณ 10-13 กรัม (ต่อวัน) นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือนำมาคั่วให้เกรียมบดเป็นผง ใช้ชงกับน้ำดื่มต่างน้ำชา (เมล็ด)[3],[4],[5],[12]
  17. ช่วยแก้อาการท้องบวมน้ำ (เมล็ด)[3]
  18. ทั้งต้นนำมาต้มใช้เป็นยาขับพยาธิในท้อง ขับพยาธิไส้เดือน (ทั้งต้น)[1],[5],[6],[8],[9] ส่วนใบใช้เป็นยาขับพยาธิสำหรับเด็กที่มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับลำไส้ (ใบ)[4],[9] ส่วนเมล็ดหรือรากก็เป็นยาขับพยาธิเช่นกัน (เมล็ด, ราก)[12]
  19. เมล็ดเป็นยาขับปัสสาวะ ขับปัสสาวะพิการ และขับอุจจาระ ด้วยการเมล็ดใช้คั่วแห้งประมาณ 5-15 กรัม นำมาชงกับน้ำดื่ม หรือนำมาต้มกับน้ำ 1 ลิตร แล้วต้มให้เหลือ 600 มิลลิลิตร ใช้แบ่งรับประทานหลังอาหารวันละ 3 เวลา (เมล็ด)[1],[2],[3],[4],[5],[6],[9],[12] ส่วนใบก็เป็นยาขับปัสสาวะเช่นกัน (ใบ)[12]
  20. ช่วยทำให้รู้ถ่าย รู้ปิดเอง (เมล็ด)[1],[5]
  21. เมล็ดใช้คั่วชงกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ตับอักเสบ ตับแข็ง ใช้เป็นยาขับความร้อนในตับ ขับลมในตับ (เมล็ด)[1],[3],[4],[5]
  22. ช่วยบำรุงตับ ด้วยการใช้เมล็ดนำมาคั่วให้เกรียมผสมกับคนทีสออย่างละเท่ากัน แล้วนำมาบดเป็นผงใช้ครั้งละ 5-6 กรัม ชงกับน้ำดื่มวันละ 2 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน (เมล็ด)[3]
  23. ช่วยกล่อมตับ (ทั้งต้น[1],[4],[5], เมล็ด[4])
  24. ใบช่วยขับน้ำเหลืองเสีย (ใบ)[4],[9]
  25. ใบนำมาเคี่ยวกับน้ำมันละหุ่ง ใช้เป็นยาทาแก้แผลเรื้อรัง (ใบ)[9]
  26. เมล็ดใช้รักษาโรคผิวหนัง หรือนำมาบดผสมกับน้ำมันพืชใช้ทาแก้หิดและกลากเกลื้อน หรือจะนำเมล็ดมาตำร่วมกับนมเปรี้ยว ส่วนที่แข็งตัวให้ละเอียด ใช้พอกบริเวณที่เป็นกลากและผื่นคัน (เมล็ด)[1],[5],[6],[9] หรือจะใช้เมล็ดพอสมควรนำมาบดเป็นผงใช้ผสมกับจุยงิ่งฮุ่ง (Mercrous chloride, HgCI) จำนวนเล็กน้อย นำมาบดผสมให้เข้ากันแล้วใช้สำลีหรือผ้าเช็ดถูบริเวณที่เป็นกลากให้สะอาดแล้วโรยยาปิดไว้จะช่วยรักษากลากได้ (เมล็ด)[9] ส่วนรากใช้เป็นยาพอกรักษากลาก โดยนำรากมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำปูนใส แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นกลาก (ราก)[4],[9] หรือจะใช้ใบย่อยสด ๆ ประมาณ 10-20 ใบ นำมาตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าโรงเล็กน้อย ใช้เป็นยาทาแก้กลากเกลื้อน หิด ผื่นคันต่าง ๆ (ใบ)[9],[12], ส่วนต้นก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคผิวหนังเช่นกัน (ต้น)[12]
  27. ใบสดใช้ตำพอกเพื่อเร่งให้หัวฝีออกเร็วขึ้น (ใบ)[9]
  28. ในประเทศอินเดียจะใช้เมล็ดและใบเป็นยาฆ่าหิดเหาและเชื้อรา (เมล็ดและใบ)[8]
  29. ทั้งต้นใช้เป็นยารักษาคุดทะราด (ทั้งต้น)[6]
  30. รากสด ๆ นำมาบดผสมกับน้ำมะนาวใช้รักษางูสวัดและเรื้อนกวาง (ราก)[8]
  31. ผลหรือฝักช่วยแก้อาการฟกช้ำบวม (ผล)[6],[12]
  32. ใบสดใช้เป็นยาพอกแก้โรคเกาต์ อาการปวดข้อ ปวดขา ปวดสะโพก (ใบ)[9]

วิธีใช้สมุนไพรชุมเห็ดไทย

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของชุมเห็ดไทย

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรชุมเห็ดไทย

ประโยชน์ของชุมเห็ดไทย

  1. ใบอ่อนสามารถนำมาต้มจิ้มรับประทานกับน้ำพริก หรือใช้ทำแกงเลียง แกงไตปลาได้[10] โดยส่วนของใบรวมก้านใบจะมี โปรตีน 13.29%, เส้นใยอาหาร 22.2%, ไขมัน 1.69%, คาร์โบไฮเดรต 48.54%, เถ้า 14.28%, เส้นใย ADF 24.51%, NDF 36.41% และลิกนิน 4.45%[11]
  2. ยอดอ่อนและใบชุมเห็ดไทยเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ตามธรรมชาติ สำหรับสัตว์แทะเล็มอย่างโคหรือกระบือ[11]
  3. เมล็ดชุมเห็ดไทยให้สีน้ำเงินที่ใช้สำหรับการย้อมผ้า[5]
  4. หากสัตว์เลี้ยงมีอาการเยื่อตาอักเสบเรื้อรัง ให้ใช้เมล็ดแห้งร่วมกับดอกเบญจมาศสวนแห้งอย่างละ 90 กรัม ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ให้กินครั้งเดียวหมด หากเป็นสัตว์เล็กให้กินลดลงไปตามสัดส่วน[9]
  5. หากสัตว์เลี้ยงมีอาการท้องผูก ให้ใช้เมล็ดแห้ง 180 กรัมนำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำ ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ให้กินครั้งเดียวหมด หากเป็นสัตว์เล็กให้กินลดลงไปตามสัดส่วน[9]
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  “ชุมเห็ดไทย (Chumhet Thai)”.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 109.
  2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “ชุมเห็ดไทย Foetid Cassia”.  หน้า 80.
  3. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีนที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  “ชุมเห็ดไทย”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 210.
  4. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  “ชุมเห็ดไทย”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 274-278.
  5. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “ชุมเห็ดไทย”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [12 มี.ค. 2014].
  6. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  “ชุมเห็ดไทย”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [12 มี.ค. 2014].
  7. สมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน, หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร ณ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “ชุมเห็ดไทย”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/. [12 มี.ค. 2014].
  8. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.  “ลับมึนน้อย ชุมเห็ดไทย”.  (รศ.ดร.ภญ.พาณี ศิริสะอาด).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.cmu.ac.th/web2553/index.php.  [12 มี.ค. 2014].
  9. มูลนิธิหมอชาวบ้าน.  นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 26 คอลัมน์: สมุนไพรน่ารู้.  “ชุมเห็ดไทย/ชุมเห็ดเทศ”.  (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th.  [12 มี.ค. 2014].
  10. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร.  “ชุมเห็ดไทย”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/.  [12 มี.ค. 2014].
  11. กรมปศุสัตว์.  “ชุมเห็ดไทย”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.dld.go.th. [12 มี.ค. 2014].
  12. หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด.  “ชุมเห็ดไทย”.  (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).  หน้า 83.

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by dinesh_valke, Ahmad Fuad Morad), www.oswaldasia.org, payer.de, esgreen.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ชุมเห็ดไทย
  • 2 ลักษณะของชุมเห็ดไทย
  • 3 สรรพคุณของชุมเห็ดไทย
  • 4 วิธีใช้สมุนไพรชุมเห็ดไทย
  • 5 ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของชุมเห็ดไทย
  • 6 ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรชุมเห็ดไทย
  • 7 ประโยชน์ของชุมเห็ดไทย
  • 8 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ