การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis หรือ Urine analysis UA) มีประโยชน์อย่างไร

การตรวจปัสสาวะ

การตรวจปัสสาวะ, การตรวจปัสสาวะอย่างละเอียด, การตรวจปัสสาวะอย่างสมบูรณ์ หรือการตรวจปัสสาวะแบบสมบูรณ์ (ภาษาอังกฤษ : Urinalysis หรือ Urine test หรือ Urinary analysis หรือเรียกย่อว่า UA หรือ U/A) คือ การตรวจวิเคราะห์น้ำปัสสาวะเพื่อดูลักษณะทางกายภาพ สารเคมี และตรวจทางกล้องจุลทรรศน์ เพื่อค้นหาความผิดปกติและประเมินความเสี่ยงในบางโรคเบื้องต้นจากน้ำปัสสาวะ*

การตรวจปัสสาวะเป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่มีประโยชน์อย่างมาก จัดเป็นการตรวจพื้นฐานที่แพทย์ที่นิยมใช้ เนื่องจากเป็นการตรวจที่ทำได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว สามารถตรวจได้ทันทีในคนทุกเพศทุกวัย ไม่มีผลข้างเคียงหรือทำให้เจ็บตัว การตรวจไม่ได้ใช้เทคโนโลยีที่สูงเกินไป จึงมีค่าใช้จ่ายในการตรวจที่ไม่แพง และรู้ผลได้เร็วภายใน 1-2 ชั่วโมง นอกจากนี้ตัวผู้เข้ารับการตรวจก็ไม่จำเป็นต้องงดน้ำ งดอาหาร หรือยาที่กินเป็นประจำอยู่ก่อนด้วย และที่สำคัญที่สุดก็คือ การตรวจปัสสาวะสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของไตและระบบปัสสาวะของผู้เข้ารับการตรวจได้หลายอย่าง รวมทั้งอาจทำให้ทราบถึงความเจ็บป่วยบางอย่างในร่างกายของผู้เข้ารับการตรวจจากการพิจารณาปริมาณสารเคมีต่าง ๆ ที่ขับออกมากับปัสสาวะได้ด้วย (เพราะไตเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับของเหลวและของเสียออกจากร่างกาย เมื่อเลือดไหลผ่านไต ไตจะทำหน้าที่กรองของเหลวส่วนเกินและของเสียในเลือด แร่ธาตุ สารเคมีต่าง ๆ รวมทั้งยาออกไปเป็นน้ำปัสสาวะ น้ำปัสสาวะจะไหลออกจากไตผ่านท่อไตไปสะสมรวมกันที่กระเพาะปัสสาวะ จากนั้นจะถูกขับออกทางจากร่างกายผ่านท่อปัสสาวะ) ด้วยเหตุนี้ การตรวจนี้จึงเป็นหนึ่งในรายการตรวจสุขภาพทั่วไป ซึ่งถ้าพบมีความผิดปกติแพทย์ก็จะให้การตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อสาเหตุต่อไป เช่น การตรวจระบบทางเดินปัสสาวด้วยอัลตราซาวนด์

อย่างไรก็ตาม การตรวจปัสสาวะนั้นก็เป็นการตรวจที่เน้นเพื่อคัดกรองหาความผิดปกติของปัสสาวะของผู้เข้ารับการตรวจ (Screening) มากกว่าที่จะเป็นการตรวจเพื่อใช้ยืนยัน (Confirmation) หรือเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของความผิดปกติ (Diagnostic)

หมายเหตุ : ปัสสาวะ (Urine) เป็นสารของเสียภายในร่างกายที่ไตได้กรองออกจากเลือดแล้วปล่อยทิ้งออกมานอกร่างกายในรูปของของเหลว โดยสารของเสียภายในร่างกายนั้นอาจเกิดขึ้นจากอาหารที่กินในทุกมื้อในแต่ละวัน (เช่น สารยูเรียไนโตรเจน สารกันบูด สารแต่งกลิ่น สารแต่งรส สารแต่งสี สารเคเฟอีนในกาแฟ กรดยูริกอันเกิดจากสารพิวรีนในเบียร์ ฯลฯ) หรือเกิดจากการออกกำลังกาย คือ การใช้กล้ามเนื้อออกแรงอย่างหนักก็ย่อมทำให้เกิดสารของเสีย เช่น ครีอะตินีน (Creatinine) ก็ได้

ปัสสาวะเป็นแหล่งที่รวมบรรดาของเสียจากร่างกายที่พร้อมจะปล่อยทิ้งออกไปนอกร่างกายในฐานะที่เป็นวัตถุของเสีย (Waste materials), แร่ธาตุ (Minerals), ของเหลว (Fluids) และสารชนิดต่าง ๆ ที่ร่างกายไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว (Substances) ซึ่งบรรดาของเสียทั้ง 4 ชนิดดังกล่าวจะมีผลทำให้น้ำปัสสาวะเกิดความเปลี่ยนแปลงลักษณะเฉพาะในด้านต่าง ๆ ทั้งสี กลิ่น ความใส/ขุ่น ความเป็นกรดด่าง ความหนาแน่นหรือความถ่วงจำเพาะ ปริมาณของกลูโคส โปรตีน คีโตน ไนไตรท์ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว คาสท์ ผลึกต่าง ๆ ฯลฯ

ข้อบ่งชี้ของการตรวจปัสสาวะ

การตรวจปัสสาวะนั้นไม่มีข้อห้ามและมีประโยชน์หลายอย่าง แพทย์จึงมักส่งตรวจปัสสาวะในการตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจสุขภาพเพื่อเตรียมตัวก่อนรับการผ่าตัด หรือการตรวจเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยข้อบ่งชี้ในการตรวจปัสสาวะนั้นมีดังนี้

การเตรียมตัวก่อนตรวจปัสสาวะ

การตรวจปัสสาวะไม่ต้องมีการเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่มีข้อควรระวังบางอย่างที่อาจทำให้ผลการตรวจปัสสาวะคลาดเคลื่อนหรือผิดเพี้ยนไม่ถูกต้อง มีดังนี้

ขั้นตอนและวิธีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ

เนื่องจากการตรวจปัสสาวะนั้นมีความละเอียดอ่อนและมีความไวต่อสิ่งแปลกปลอมใด ๆ ดังนั้น ผู้รับการตรวจจึงต้องใช้ความระมัดระวังที่จะไม่นำสิ่งแปลกปลอมสกปรกใด ๆ เข้าไปแปดเปื้อนเพิ่มเติมลงในปัสสาวะอีก เพราะจะเป็นผลโดยตรงทำให้ผลการตรวจที่ออกมาผิดเพี้ยนแตกต่างจากความเป็นจริงได้ ทั้งนี้การเก็บตัวอย่างปัสสาวะจะมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

  1. เจ้าหน้าที่หรือพยาบาลจะให้กระปุกเก็บตัวอย่างปัสสาวะให้แก่ผู้เข้ารับการตรวจ เพื่อให้นำไปเก็บตัวอย่างปัสสาวะในห้องสุขาด้วยตนเอง (โดยทั่วไปจะเป็นกระปุกพลาสติกทรงปากกว้างขนาดเล็กที่มีฝาปิด ที่แห้งและสะอาด ผู้เข้ารับการตรวจควรรักษาความสะอาดของกระปุกให้ดีอย่าให้มีสิ่งปนเปื้อนใด ๆ เช่น คริบลิปสติก คราบเครื่องสำอาง น้ำเปล่า น้ำยาฆ่าเชื้อ หรืออุจจาระปนเปื้อนเพิ่มเติมลงไป)
  2. เมื่อได้รับกระปุกเก็บตัวอย่างปัสสาวะมาแล้ว อย่างแรกก็ต้องดูชื่อตรงสติกเกอร์ที่ติดอยู่ข้างกระปุกด้วยว่าเป็นชื่อของท่านถูกต้องหรือไม่ หากชื่อไม่ตรงให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเปลี่ยนให้ถูกต้องทันที (ในระหว่างที่รอและยังไม่ได้ทำการเก็บปัสสาวะ ควรเก็บกระปุกเก็บปัสสาวะไว้กับตัว ห้ามนำไปทิ้งไว้ในที่ต่าง ๆ เพราะกระปุกของตนเองอาจไปสลับกับผู้เข้ารับการตรวจรายอื่นโดยไม่ตั้งใจได้)
  3. เมื่อถึงขั้นตอนการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ ผู้เข้ารับการตรวจจะต้องล้างมือของตนเองให้สะอาดเสียก่อน จากนั้นในผู้ชายให้ร่นหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศลง (ในกรณีที่ยังไม่ได้ขลิบ) แล้วทำให้ความสะอาดโดยล้างบริเวณรอบ ๆ รูเปิดของท่อปัสสาวะด้วยน้ำสะอาดและซับให้แห้งด้วยกระดาษชำระ ส่วนในผู้หญิงให้ทำความสะอาดบริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะด้วยการใช้มือข้างหนึ่งถ่างแคมให้เห็นท่อปัสสาวะ พร้อมกับใช้มืออีกข้างทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด และเช็ดให้แห้งด้วยกระดาษชำระจากท่อปัสสาวะไปทางทวารหนักเท่านั้น และไม่ใช้กระดาษชำระซ้ำ (เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารคัดหลั่งจากช่องคลอดและอุจจาระมาที่บริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะ)
  4. จากนั้นทั้งผู้หญิงและผู้ชายให้เปิดฝากระปุกเก็บตัวอย่างปัสสาวะด้วยความระวังอย่าให้นิ้วมือถูกขอบกระปุกหรือสัมผัสกับส่วนในของกระปุกและจึงวางกระปุกที่เปิดฝาแล้วไว้ในที่ที่ปลอดภัยในห้องสุขานั้น แล้วให้ปัสสาวะช่วงแรกทิ้งลงในโถส้วมไปก่อนส่วนหนึ่งประมาณ 4-5 วินาที และจึงหยุดกั้นไว้ จากนั้นให้เอากระปุกมารองเก็บปัสสาวะที่ปล่อยออกมาใหม่ในช่วงกลางให้ได้ประมาณ 30-60 มิลลิลิตร หรือประมาณค่อนกระปุกของภาชนะบรรจุ (ในระหว่างที่เก็บอย่านำมือเข้าไปสัมผัสด้านในของกระปุก) จากนั้นให้ถ่ายปัสสาวะช่วงท้ายทิ้งไปให้เสร็จ ปิดฝากระปุก แล้วล้างมือให้สะอาดอีกครั้ง
  5. ตรวจดูความสะอาดบริเวณรอบภาชนะและปิดฝาให้เรียบร้อย แล้วจึงนำกลับไปส่งให้กับเจ้าหน้าที่หรือพยาบาล จากนั้นเจ้าหน้าที่จะนำไปตรวจหาค่าต่าง ๆ รวมทั้งการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อดูเซลล์ต่าง ๆ (เรียกการตรวจนี้ว่า “การตรวจปัสสาวะทางปฏิบัติการ”) ซึ่งขั้นตอนการตรวจจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
วิธีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ
IMAGE SOURCE : passionscienceblog.com

อย่างไรก็ตาม นอกจากการตรวจปัสสาวะแบบทั่วไปที่ใช้เป็นประจำ (U/A) ดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีการตรวจปัสสาวะอื่น ๆ ที่จำเพาะต่อโรคหรือแต่ละภาวะอีกด้วย ซึ่งก็จะมีขั้นตอนและวิธีการเก็บปัสสาวะที่แตกต่างกันไป เช่น

การติดตามผลหลังการตรวจปัสสาวะ

หลังการตรวจปัสสาวะผู้รับการตรวจสามารถกลับได้บ้านตามปกติ เพราะเป็นการตรวจที่ไม่มีความเสี่ยงหรือมีอันตรายใด ๆ และมีขั้นตอนการตรวจที่ใช้เวลาไม่นาน แต่ต้องรอผลการตรวจประมาณ 1-2 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล ส่วนตัวอย่างปัสสาวะที่เก็บได้จะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์ตามขั้นตอนต่อไป

แพทย์ผู้สั่งตรวจปัสสาวะจะเป็นผู้ประเมินผลการตรวจ ซึ่งอาจเป็นแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาที่แต่ละบุคคลไปพบ เช่น สูตินรีแพทย์ แพทย์ที่เชี่ยวชาญระบบทางเดินปัสสาวะ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ฯลฯ โดยแพทย์จะนำมาแปลผลร่วมกับอาการผิดปกติ ประวัติการเจ็บป่วยของผู้เข้ารับการตรวจ การตรวจร่างกายทั่วไป และการตรวจอื่น ๆ ก่อนที่จะสรุปผลการตรวจ หลังจากนั้นจึงค่อยนัดผู้เข้ารับการตรวจกลับมาฟังผลและพูดคุยปรึกษาแพทย์อีกครั้ง หากผลการตรวจเป็นปกติก็สามารถกลับบ้านได้เลย แต่หากผลออกมาผิดปกติ แพทย์อาจสั่งให้มีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติ เช่น การตรวจเลือด, การตรวจสารเคมีในเลือด (CMP), การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC), การตรวจการทำงานของตับ, การตรวจการทำงานไต, การเพาะหาเชื้อในปัสสาวะ (Urine Culture), การถ่ายภาพทางรังสี (เช่น CT-scan, MRI) ฯลฯ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และความต้องการของผู้ป่วย

การแปลผลตรวจปัสสาวะ

ในการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ (UA) โดยทั่วไปทางห้องปฏิบัติการของสถานพยาบาลจะทำการตรวจวิเคราะห์ด้วยวิธีการ 3 อย่าง คือ การตรวจดูลักษณะทางกายภาพทั่วไป (Visual examination), การตรวจสอบสารเคมีในน้ำปัสสาวะ (Chemical examination) และการตรวจวิเคราะห์ผ่านกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic examination) เพื่อตรวจสอบว่าปัสสาวะนั้นมีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร ซึ่งมีรายละเอียดดังหัวข้อถัดไป

ผลตรวจปัสสาวะ
IMAGE SOURCE : pantip.com (by โปรดใส่ซองกันกระแทก)

การตรวจดูลักษณะทางกายภาพทั่วไป

การตรวจดูลักษณะทางกายภาพ หรือการตรวจดูด้วยสายตา (Visual examination) เป็นการสังเกตสีและความใสของปัสสาวะเป็นหลัก ซึ่งสีและความใสอาจช่วยบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างได้ แต่ก็มีหลายปัจจัยที่สามารถส่งผลต่อลักษณะของน้ำปัสสาวะได้ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่กิน ปริมาณน้ำที่ดื่ม ยา หรือโรคประจำตัว

การตรวจปัสสาวะดูลักษณะทางกายภาพ
IMAGE SOURCE : www.sweet-cures.com

การตรวจวิเคราะห์ทางเคมี

การตรวจวิเคราะห์ทางเคมี หรือการตรวจสอบสารเคมีในน้ำปัสสาวะ (Chemical examination) เป็นการตรวจดูสารเคมีที่พบในน้ำปัสสาวะ เพราะสารเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งบ่องถึงสุขภาพและความผิดปกติของร่างกายในขณะนั้นได้ ซึ่งทางห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่จะใช้แผ่นตรวจสำเร็จรูป (Test strip หรือ Dipstick) ที่เป็นแผ่นพลาสติกลักษณะเป็นแท่ง บนแผ่นพลาสติกในแต่ละส่วนจะมีการเคลือบสารเคมีเอาไว้ ในการตรวจนักเทคนิคการแพทย์จะใช้แผ่นตรวจนี้จุ่มลงไปในน้ำปัสสาวะ เมื่อน้ำปัสสาวะสัมผัสกับสารเคมีที่เป็นตัวทดสอบก็จะเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนสี จากนั้นจึงนำแผ่นตรวจที่เปลี่ยนสีแล้วมาอ่านผลด้วยเครื่องอ่านผลอัตโนมัติ ก็จะทำให้ทราบว่าปัสสาวะนั้นมีสารเคมีชนิดใดอยู่บ้าง ส่วนสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบในน้ำปัสสาวะที่สามารถตรวจได้ด้วยแผ่นตรวจสำเร็จรูปนั้นก็มีมากกว่า 100 ชนิด แต่ในการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะโดยทั่วไปจะมีสารเคมีที่นิยมทำการตรวจและรายงานผลเพียงไม่กี่ตัว ดังนี้

การตรวจปัสสาวะวิเคราะห์ทางเคมี
IMAGE SOURCE : globovision.com

การตรวจวิเคราะห์ผ่านกล้องจุลทรรศน์

การตรวจวิเคราะห์ผ่านกล้องจุลทรรศน์ หรือการส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic examination) เป็นการตรวจปัสสาวะอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีการทำหรือไม่มีการทำก็ได้ (ถ้าไม่มีก็จะไม่มีข้อมูลส่วนนี้ในใบรายงานผลการตรวจ) แต่ส่วนใหญ่มักจะมีการทำ เพราะการตรวจนี้สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของปัสสาวะที่มีประโยชน์เพิ่มเติมที่จะช่วยบ่งชี้ถึงภาวะผิดปกติของร่างกายได้ โดยในขั้นตอนการทำนั้น นักเทคนิคการแพทย์จะปั่นปัสสาวะด้วยเครื่องปั่น จากนั้นจะนำตะกอนข้างล่างซึ่งเป็นส่วนที่มีเซลล์สะสมรวมกันอยู่มาหยดใส่แผ่นสไลด์ประมาณ 1-2 หยด แล้วนำไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) ซึ่งจะทำให้มองเห็นเซลล์หรือผลึกต่าง ๆ ว่ามีจำนวนเท่าใดโดยเฉลี่ย แล้วอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือมีปริมาณมากกว่าปกติหรือไม่ จากนั้นจึงรายงานผลสิ่งที่มองเห็นออกมาในใบรายงานผล โดยเซลล์หรือผลึกต่าง ๆ ที่สามารถตรวจพบในตะกอนปัสสาวะและแสดงไว้ในใบรายงานผลก็มีอยู่หลายชนิด แต่ชนิดที่มีโอกาสพบบ่อยมีดังนี้

การตรวจปัสสาวะผ่านกล้องจุลทรรศน์
IMAGE SOURCE : Shutterstock

จะเห็นได้ว่าการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะนั้นเป็นการตรวจคัดกรองพื้นฐานที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของไตและระบบปัสสาวะของผู้เข้ารับการตรวจได้อย่างมากเลยทีเดียว

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 การตรวจปัสสาวะ
  • 2 ข้อบ่งชี้ของการตรวจปัสสาวะ
  • 3 การเตรียมตัวก่อนตรวจปัสสาวะ
  • 4 ขั้นตอนและวิธีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ
  • 5 การติดตามผลหลังการตรวจปัสสาวะ
  • 6 การแปลผลตรวจปัสสาวะ
  • 7 การตรวจดูลักษณะทางกายภาพทั่วไป
  • 8 การตรวจวิเคราะห์ทางเคมี
  • 9 การตรวจวิเคราะห์ผ่านกล้องจุลทรรศน์
เรื่องที่น่าสนใจ