การตรวจการทำงานของตับ (AST, ALT, ALP, TB, DB, Alb, Glob ฯลฯ)

Liver Function Tests

การตรวจการทำงานของตับ หรือ การตรวจเลือดเพื่อทราบการทำงานตับ (ภาษาอังกฤษ : Liver function tests หรือ LFTs หรือ LFs) คือ กลุ่มการตรวจทางเคมีคลินิกในเลือดภายในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับสถานะของตับของผู้รับการตรวจ โดยการตรวจการทำงานของตับมาตรฐานมักจะประกอบไปด้วย การตรวจ AST (SGOT), ALT (SGPT), ALP (Alkaline phosphatase), Total bilirubin, Direct bilirubin, Albumin, Globulin, A/G Ratio และ GGT (Gamma GT)

หมายเหตุ : ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในช่องท้อง ตั้งอยู่ชิดติดกับกะบังลมและค่อนไปทางขวา ตับมีหลอดเลือดสำคัญที่ใช้ทำหน้าในการผ่านเข้าออกอยู่ 3 ช่องทาง คือ หลอดเลือดแดงจากหัวใจ, หลอดเลือดดำจากลำไส้, และหลอดเลือดดำจากตับสู่หัวใจ เมื่อพิจารณาเพียงการไหลเวียนเข้าออกของหลอดเลือดดังกล่าว ก็พอจะอนุมานได้ว่าตับนั้นเป็นเสมือนโรงงานศูนย์กลางของร่างกาย เพราะมีหน้าที่ทั้งรับวัตถุดิบ ผลิต เก็บรักษา ตรวจสอบคุณภาพการแจกจ่าย เก็บขยะและทิ้งขยะ ซึ่งในการนี้จะขอสรุปพอให้เห็นภาพกว้าง ๆ ในการทำหน้าที่ของตับ ดังนี้

  1. เป็นหน่วยรักษากฎเกณฑ์ สังเคราะห์ และส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ตับสร้างขึ้นใช้ตามความต้องการของร่างกาย ซึ่งผลผลิตที่ตับสร้างขึ้นและควบคุมการใช้ คือ น้ำตาลกลูโคส, โปรตีน, น้ำดี และสารประเภทไขมัน (เช่น คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ไลโปโปรตีน ฯลฯ)
  2. เป็นหน่วยเก็บรักษา โดยจะเก็บสิ่งมีประโยชน์ต่าง ๆ (เช่น ไกลโคเจน วิตามินเอ ดี เค บี12 รวมทั้งแร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ) ให้เพียงพอที่จะหยิบฉวยเอามาใช้ได้ในยามจำเป็น รวมถึงเก็บของมีพิษ (เช่น โลหะหนัก ยาเคมีรักษาโรค ทองแดง) รวบรวมพักรอไว้ก่อนที่จะทิ้งออกจากร่างกาย
  3. เป็นหน่วยรักษาความสะอาด โดยจะทำหน้าที่กำจัดขยะและของมีพิษ หรือทำของมีพิษให้หมดพิษ ซึ่งขยะหรือสิ่งมีพิษที่สำคัญ คือ
    • แอมโมเนีย (Ammonia) คือ ขยะที่เกิดจากการย่อยสลายอาหารโปรตีน ซึ่งตับจะเปลี่ยนแอมโมเนียให้เป็นยูเรีย (Urea) ส่งผ่านไตให้เป็นน้ำปัสสาวะออกทิ้งไป
    • สารบิลิรูบิน (Bilirubin) คือ ขยะทีเ่กิดจากการสิ้นอายุขัยของเม็ดเลือดแดง (แต่ละเม็ดเลือดแดงจะมีอายุขัยประมาณ 120 วัน) โดยม้ามจะทำหน้าที่กวาดต้อนและทำลายเม็ดแดงที่สิ้นอายุขัยแล้วเปลี่ยนให้เป็นสารสีเหลืองไปเกาะกับอัลบูบิน (Albumin) ลอยไปตามกระแสเลือด เพื่อให้ตับเก็บเอามาย่อยสลายเป็นสารบิลิรูบิน แล้วฝาส่งไปกับน้ำดี (Bile) ออกทิ้งผ่านลำไส้ออกไปนอกร่างกายพร้อมกากอาหาร
    • ฮอร์โมน (Hormone) อวัยวะต่าง ๆ ที่ผลิตฮอร์โมนขึ้นมาใช้ เมื่อฮอร์โมนเหล่านั้นหมดอายุหรือมีมากเกินความจำเป็น ตับก็จะเก็บมาทำลาย
    • ยา คือ สารเคมีที่หลุดเข้าสู่กระแสเลือด ในการนี้ตับจะพยายามเก็บไว้ในฐานของสารพิษเช่นเดียวกับสารพิษอื่น ๆ แล้วหาทางปล่อยทิ้งต่อไป
    • แอลกอฮอล์ คือ สารพิษเหมือนยาเช่นกัน แต่มีขอบเขตของพิษมากกว่ายาตรงที่ปริมาณมาสู่ตับที่มักจะมากล้นเกินไป เซลล์ตับจึงรับมือไม่ไหวและเกิดการอักเสบหรือเซลล์ตับตาย (ตับแข็ง) แต่ถึงอย่างไร ตับก็จะพยายามทำหน้าที่ขับทิ้งออกทางไตปนไปกับน้ำปัสสาวะ
    • สารพิษ (Toxin) เช่น ยาฆ่าแมลง เห็ดมีพิษ ปลาปักเป้า อาหารบูดเสีย ฯลฯ เหล่านี้คือสารพิษโดยตรง ซึ่งตับจะเป็นอวัยวะที่ต้องรับผิดชอบจัดการในโอกาสแรก

อย่างไรก็ตาม ตับนั้นก็มีจุดอ่อนอยู่ไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่ตับมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหัวใจหรือสมอง เพราะหากเซลล์ตับได้รับการบาดเจ็บหรือถูกทำลายจากสารพิษ ก็อาจจะทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับตับได้ ซึ่งโรคตับที่สำคัญและค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็คือ

ผลการตรวจการทำงานของตับ
IMAGE SOURCE : www.ptkcenter.com (ตัวอย่างผลการตรวจการทำงานของตับ)

AST (SGOT)

AST (Aspartate transaminase) หรือ Aspartate aminotransferase (แต่เดิมการแพทย์จะใช้คำว่า “SGOT” หรือ Serum glutamic oxaloacetic transaminase) คือ เอนไซม์ที่อาจตรวจพบได้ในกระแสเลือด ซึ่งสร้างขึ้นมาจากความเสียหายของตับ เม็ดเลือดแดง หัวใจ กล้ามเนื้อ ตับอ่อน หรือไต จะเห็นได้ว่าค่า AST นี้มิใช่ค่าเอนไซม์เฉพาะตับเท่านั้น แต่เป็นค่าที่สะท้อนจากทุกเนื้อเยื่อของทุกอวัยวะที่เสียหาย (เพียงแต่ตับเป็นอวัยวะที่ไวต่อโรคหรือจากสภาวะแวดล้อมที่มากระทบ จึงมักเป็นสาเหตุแรก ๆ ที่ทำให้ AST ซึ่งเกิดขึ้นจากตับมีค่าสูงขึ้นบ่อยครั้ง นั่นแปลว่า AST ที่สูงขึ้นผิดปกติมักมีสาเหตุมาจากตับมากกว่าอวัยวะอื่น) ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ค่า AST พิจารณาร่วมกับค่าผลเลือดตัวอื่นที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะนั้น ๆ ด้วยเสมอ

สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีจะพบค่า AST ในเลือดน้อยมาก แต่หากเซลล์ตับ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ และอื่น ๆ ดังกล่าวถูกทำลาย จะมีเอนไซม์ AST จากอวัยวะนั้น ๆ ออกมาที่ระบบเลือดในปริมาณมากขึ้น โดยที่อาจจะพบอาการแสดงของโรคนั้น ๆ ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้

ALT (SGPT)

ALT (Alanine transaminase) หรือ Alanine aminotransferase (แต่เดิมการแพทย์จะใช้คำว่า “SGPT” หรือ Serum glutamate-pyruvate transaminase) คือ เอนไซม์ที่ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดซึ่งอาจเกิดจากความเสียหายของอวัยวะใด ๆ ก็ได้ เช่น ไต หัวใจ กล้ามเนื้อ ตับอ่อน หรือตับ (ความเสียหายจากทุกอวัยวะยกเว้นตับ จะปรากฏค่า ALT ไม่มากนักและมักไม่อาจบ่งชี้ได้ว่ามาจากอวัยวะใดชัดเจน) แต่เฉพาะความเสียหายของตับเท่านั้นที่ค่า ALT จะสำแดงค่าสูงขึ้นผิดปกติเป็นตัวเลขให้เห็นอย่างเด่นชัด นั่นแปลว่า หากมีโรคตับเมื่อใด ALT ในเลือดที่ตรวจได้ก็จะสูงกว่าปกติอย่างเด่นชัดเมื่อนั้น ด้วยเหตุนี้ ค่า ALT จึงเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของโรคตับ ALT จึงใช้เพื่อการตรวจสุขภาพของตับเป็นหลัก ซึ่งมักจะให้ความน่าเชื่อถือมากกว่าค่าผลเลือดตัวอื่น

ค่า ALT นับเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญอย่างยิ่งตัวหนึ่งในการวิเคราะห์ผลข้างเคียงหรือพิษต่อตับจากยารักษาโรคบางชนิด (เช่น ยาลดคอเลสเตอรอล) จึงสรุปได้ว่า หากตับได้รับพิษจากยา แอลกอฮอล์ อาหาร หรือจากการถูกโจมตีด้วยเชื้อไวรัส ก็ย่อมมีผลทำให้ค่า ALT สูงขึ้นได้เสมอ (ALT เป็นตัวบ่งชี้ที่ไวต่อความเปลี่ยนค่าเป็นที่สุด ในผลจากความเสียหายใด ๆ ของเซลล์ตับ)

AST : ALT (DeRitis ratio)

เนื่องจากการตรวจเลือดเพื่อหาค่า ALT มักจะต้องตรวจหาค่า AST ควบคู่ไปด้วยเสมอ ด้วยเหตุนี้ แพทย์จึงช่วยกันวิเคราะห์และพบว่าอัตราส่วนระหว่าง AST : ALT นั้น อาจช่วยบ่งชี้โรคตับอย่างหยาบ ๆ ได้ (มิใช่ข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน แต่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานทั่วไปในเบื้องต้นโดยอาศัยสถิติเดิมเป็นข้อยืนยัน) และเรียกอันตราส่วนตามชื่อผู้ค้นคว้าคนแรกนี้ว่า “DeRitis ratio” โดยจากการรวบรวมสถิติที่ผ่านมาเพื่อใช้เป็นข้อสันนิษฐานโรคที่เกี่ยวกับโรคตับนั้น สามารถสรุปได้ดังนี้

ALP

ALP ย่อมาจากคำว่า “Alkaline phosphatase” (อัลคาไลน์ ฟอสฟาเตส) คือ เอนไซม์ที่ผลิตขึ้นมาด้วยโปรตีนจากอวัยวะต่าง ๆ ที่เกิดโรคหรือเกิดความผิดปกติ เช่น ตับ กระดูก ลำไส้เล็ก ไต รกของหญิงตั้งครรภ์ (มาจากตับนับเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดของ ALP รองลงมาคือกระดูก)

เพื่อประโยชน์ต่อการวินิจฉัยแยกแยะระหว่างโรคตับและโรคกระดูก ในการเจาะเลือดตรวจ ALP ทุกครั้ง จำเป็นจะต้องตรวจค่า ALT และ AST พร้อม ๆ กันไปด้วยเสมอในคราวเดียวกัน โดยการสำแดงค่าผลเลือดทั้ง 3 ตัวนี้ อาจช่วยบ่งชี้โรคที่สำคัญได้ เช่น ถ้าค่าทั้ง 3 ตัวนี้สูงทั้งหมด อาจบ่งชี้ได้ว่าเป็นโรคตับหรือโรคมะเร็งตับ แต่ถ้าค่า ALP สูงเพียงตัวเดียว (ALT กับ AST ปกติ) ก็อาจบ่งชี้ได้ว่าเป็นโรคกระดูกหรือโรคมะเร็งกระดูก

เมื่อใดก็ตามที่พบค่า ALP สูงขึ้นมากผิดปกติ โปรดอย่านิ่งนอนใจและขอให้คิดถึงสุขภาพของตับไว้ก่อนเสมอ และนอกจากตับแล้วจะต้องคิดถึงสุขภาพกระดูกด้วยเช่นกัน

Total bilirubin

Total bilirubin คือ ค่าบิลิรูบินทั้งหมด โดยบิลิรูบินนั้นเกิดมาจากการที่เมื่อเม็ดเลือดแดงหมดอายุขัย (ปกติจะมีอายุขัยประมาณ 120 วัน) ก็จะถูกม้ามจับตัว แล้วทำการสลาย Hemoglobin ที่อยู่ภายในเม็ดเลือดแดงให้ส่วนหนึ่งกลายเป็นกรดอะมิโนเช่นเดียวกับสารอาหารที่ร่างกายใช้ประโยชน์ในฐานะสารโปรตีน และอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่า “Hema” ซึ่งละลายในน้ำ (เลือด) ไม่ได้ จึงต้องอาศัยการเกาะติดมากับ Albumin เพื่อจะได้ล่องลอยไปสู่ที่ตับได้ ซึ่งทันทีที่ Hema + Albumin จับตัวกันลอยได้ในกระแสเลือดก็จะเรียกว่า “Bilirubin” แต่เมื่อยังไม่ไปถึงตับก็จะถูกเรียกว่า “Indirect bilirubin” และเมื่อ Bilirubin ลอยตามกระแสเลือดไปจนถึงตับ ก็จะถูกตับจับไปผสมกับกรดชนิดหนึ่งจนมีคุณสมบัติที่สามารถละลายน้ำได้และปรากฏเป็นสารของเหลวสีเหลือง ซึ่งตรงนี้จะได้ชื่อใหม่ว่า “Direct bilirubin

ในทางทฤษฎีเราจะสามารถตรวจวิเคราะห์ได้ทั้งค่า Indirect bilirubin และ Direct bilirubin ทั้งนี้ค่าที่พบอาจคำนวณได้ว่า Total bilirubin = Direct bilirubin + Indirect bilirubin แต่ในทางปฏิบัติทั่วไปนั้นจะเป็นการตรวจหาค่าจริง ๆ เฉพาะ Total bilirubin และ Direct bilirubin เท่านั้น หากต้องการทราบค่า Indirect bilirubin ก็เพียงแค่นำมาคำนวณโดยเอาค่า Direct bilirubin ลบออกจาก Total bilirubin

Direct bilirubin

Direct bilirubin คือ บิลิรูบินชนิดที่ละลายน้ำได้ ซึ่งเกิดจากการที่ตับนำเอา Bilirubin ที่ลอยอยู่ในกระแสเลือดมาผสมเข้ากับกรดชนิดหนึ่งจนมันมีคุณสมบัติสามารถละลายน้ำได้และเป็นสารของเหลวสีเหลืองที่พร้อมที่จะถูกทิ้งออกนอกร่างกายโดยอวัยวะตับและไต

ในผู้ที่มีสุขภาพทั่วไปเป็นปกติดี รวมทั้งดูแลเรื่องอาหารการกินมาตลอด ไม่กินยาหรือสมุนไพรอย่างผิด ๆ และไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ตับก็ยังมีสุขภาพดีอยู่ จึงย่อมพบค่า Direct bilirubin ได้น้อย เพราะตับของคนกลุ่มนี้จะสามารถแปรสภาพ Indirect bilirubin ให้กลายเป็น Direct bilirubin ได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่เหลือคั่งค้าง รวมทั้งยังสามารถจัดการส่ง Direct bilirubin ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไปผลิตกรดน้ำดีเก็บสะสมไว้ในถุงน้ำดี รอเวลาเพื่อนำไปใช้ย่อยอาหารไขมันได้อย่างหมดจด

Total protein

Total protein คือ ปริมาณโปรตีนรวมในกระแสเลือด (ตามปกติจะเป็นค่าผลรวมของ Prealbumin, Albumin และ Globulin) ซึ่งควรจะมีปริมาณให้เพียงต่อการใช้พอดี ๆ ในกรณีที่มีน้อยเกินไปหรือมากเกินไปก็ย่อมแสดงถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกาย

Albumin

Albumin (อัลบูมิน) คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่ลอยได้ในกระแสเลือดที่ถูกผลิตขึ้นจากตับและมีปริมาณมากกว่าโปรตีนชนิดอื่น (ชาวบ้านมักเรียกว่า “ไข่ขาว” ในกรณีปนออกมากับน้ำปัสสาวะ) โดยนับเป็นสัดส่วนได้ประมาณ 60% ของ Total protein และด้วยเหตุที่อัลบูมินผลิตขึ้นมาจากตับเพียงแหล่งเดียวเท่านั้น หากตรวจพบ Albumin ในเลือดมีค่าต่ำลงมากผิดปกติก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าตับน่าจะเกิดโรคหรือมีเหตุสำคัญร้ายแรงเกิดขึ้น จึงทำให้ผลิตอัลบูมินออกมาในปริมาณปกติไม่ได้อย่างที่เคยกระทำ แต่หากพบว่า Albumin มีค่าต่ำ (ค่าผลเลือดตัวอื่นได้ร่วมบ่งชี้ว่าตับเป็นปกติดี) ก็ควรสันนิษฐานต่อไปว่าไตน่าจะเกิดโรคหรือมีเหตุสำคัญ จึงอาจปล่อยอัลบูมินทิ้งไปกับน้ำปัสสาวะ ถ้าตรวจปัสสาวะแล้วพบไข่ขาวหรืออัลบูมินในปัสสาวะมีค่าสูงผิดปกติ ก็เท่ากับเป็นการร่วมยืนยันว่ากำลังเกิดโรคไต

Globulin

Globulin (โกลบูลิน) คือ โปรตีนสำคัญของ Total protein อีกตัวหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ในพลาสมาหรือในกระแสเลือด ซึ่งมีปริมาณรองลงมาจาก Albumin

Globulin สามารถจำแนกอย่างกว้าง ๆ ได้เป็น 3 ชนิด คือ Alpha globulin, Beta globulin และ Gamma globulin ซึ่งเฉพาะแต่ Gamma globulin ที่นอกจากจะมีปริมาณเป็นสัดส่วนมากที่สุดแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นพาหนะให้เซลล์เม็ดเลือดขาวให้มาจับติดเกาะกันให้สามารถล่องลอยไปในกระแสเลือดเพื่อทำลายล้างจุลชีพก่อโรคด้วย มันจึงได้รับการขนานนามใหม่ว่า “Immunoglobulinจึงอาจเรียกได้อย่างเต็มว่า Globulin ส่วนใหญ่ ก็คือสารภูมิต้านทานโรคนั่นเอง หากค่า Globulin ในเลือดสูงขึ้นผิดปกติ ก็ย่อมบ่งชี้ได้ว่าในขณะนั้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกำลังอยู่ในสภาวะระดมพลเพื่อการต่อสู้ทำลายล้างกับจุลชีพก่อโรคที่กำลังล่วงล้ำเข้าสู่ร่างกายให้หมดไป

A/G Ratio

โดยธรรมดาร่างกายมักจะพยายามรักษาระดับค่า Total protein ไว้มิให้ตกต่ำลง แม้ในบางกรณีที่ Albumin ในเลือดจะมีค่าลดต่ำลง (เช่น อาจเกิดโรคตับโดยไม่รู้ตัว) แต่ Globulin ส่วนใหญ่ที่ผลิตโดยระบบผนังเซลล์ของเนื้อเยื่อ (Reticuloendothelial system) ก็จะพยายามเพิ่มระดับขึ้นมาชดเชยเพื่อรักษาค่าผลรวมของโปรตีนในเลือด (Total protein) ให้คงอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ด้วยเหตุนี้ในทางการแพทย์จึงจำเป็นต้องตรวจด้วยอัตราส่วนระหว่าง Albumin ต่อ Globulin หรือ “A/G ratio” (Albumin หารด้วย Globulin) โดยถือว่า ค่าปกติของ A/G นั้นจะต้องน้อยกว่า 1 เพราะหาก > 1 เมื่อใด นั่นแสดงว่ากำลังมีโรคสำคัญเกิดขึ้น

GGT (Gamma GT)

GGT หรือ Gamma GT คือ การตรวจเพื่อหาสาเหตุของเอนไซม์ ALP (Alkaline phosphatase) ที่เพิ่มขึ้นว่ามาจากอวัยวะใด เพราะ ALP และ GGT จะสูงในโรคของตับและท่อน้ำดี แต่หากเป็นโรคของกระดูกจะมีเพียงค่า ALP ตัวเดียวเท่านั้นที่สูงขึ้น สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ การตรวจ GGT

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 Liver Function Tests
  • 2 AST (SGOT)
  • 3 ALT (SGPT)
  • 4 AST : ALT (DeRitis ratio)
  • 5 ALP
  • 6 Total bilirubin
  • 7 Direct bilirubin
  • 8 Total protein
  • 9 Albumin
  • 10 Globulin
  • 11 A/G Ratio
  • 12 GGT (Gamma GT)
เรื่องที่น่าสนใจ