กลาก อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคกลาก 9 วิธี

โรคกลาก

กลาก หรือ ขี้กลาก (Tinea, Ring worm*) เป็นโรคติดเชื้อราที่ผิวหนัง ผม และเล็บ สามารถติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัส ซึ่งแตกต่างจากโรคเกลื้อนที่ไม่ใช่โรคติดต่อ และโรคกลากมียารักษาให้หายได้

โรคกลากเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยมากในคนทุกเพศทุกวัย ในบางครั้งอาจพบเป็นพร้อมกันหลายคนในบ้าน ในโรงเรียน หรือในวัด เชื้อราพวกนี้สามารถก่อให้เกิดรอยโรคตามผิวหนังได้แทบทุกส่วนของร่างกาย ส่วนตำแหน่งที่เกิดรอยโรคอาจแตกต่างกันไปในแต่ละเพศแต่ละวัย โดยถ้าเป็นเด็กจะพบโรคกลากที่ศีรษะมากที่สุด แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะพบโรคกลากที่เท้ามากที่สุด ส่วนโรคกลากบริเวณขาหนีบและบริเวณเคราโดยมากแล้วจะพบแต่ในเฉพาะผู้ชาย

หมายเหตุ : คำว่า Tinea มาจากภาษาละตินที่แปลว่า “หนอน” เนื่องจากรอยโรคที่ผิวหนังจะเป็นลายหยึกหยักดูคล้ายลายทางเดินของหนอน โรคนี้จึงมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Ring worm

สาเหตุของโรคกลาก

โรคกลากเกิดจากเชื้อราพวกเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophyte) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด เช่น Epidermophyton spp., Microsporum spp., Trichophyton spp. เชื้อราเหล่านี้ชอบเจริญเติบโตอยู่ในบริเวณผิวหนังส่วนที่มีเคราติน (Keratin เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่ในผิวหนังชั้นนอก เล็บ และเส้นผม) ซึ่งได้แก่ ผิวหนังชั้นนอกสุด เล็บ และเส้นผม แล้วก่อให้เกิดโรคขึ้นมา

โรคนี้สามารถติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นโรคกลากโดยตรง หรือจากการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ถุงเท้า รองเท้า หมวก หวี แปรงผม มีดโกนผม เป็นต้น หรือติดมาจากตามร้านตัดผม ร้านเสริมสวย หรือสัมผัสกับเชื้อราที่อยู่ในดินในทราย รวมทั้งสามารถติดเชื้อมาจากการสัมผัสสัตว์เลี้ยงในบ้านที่ป่วยโรคกลาก เช่น สุนัข แมว

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่อาจทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้มากขึ้น เช่น ผิวหนังที่เปียกชื้น, มีแผลที่ผิวหนัง, การใช้ห้องน้ำ อ่างอาบน้ำ หรือสระว่ายน้ำสาธารณะ, การเล่นกีฬาบางประเภทที่ผิวหนังมีการเสียดสีกัน (เช่น มวยปล้ำ ยูโด เทควันโด คาราเต้), ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ, เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง, เป็นโรคที่มีฮอร์โมนชนิดสเตียรอยด์ในร่างกายสูง (เช่น โรคคุชชิง), ผู้ที่ทำงานกับสัตว์หรือใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง, ชาวสวนชาวนา เป็นต้น

อาการของโรคกลาก

หลังติดเชื้อราโรคกลากมาแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการของโรคกลาก ซึ่งในแต่ละตำแหน่งของร่างกายจะมีชื่อเรียกและอาการที่แตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดก็มักจะมีอาการคันเป็นหลัก

ผลข้างเคียงของโรคกลาก

การวินิจฉัยโรคกลาก

วิธีรักษาโรคกลาก

  1. ถ้าเป็นโรคกลากที่ลำตัว, ขาหนีบ, มือ, เท้า, เครา หนวด และลำคอ แพทย์จะให้ทาด้วยขี้ผึ้งรักษากลากเกลื้อนหรือขี้ผึ้งวิตฟิลด์ (Whitfield’s oinment) หรือทาด้วยครีมรักษาโรคเชื้อรา (Antifungel cream) โดยให้ทาบริเวณที่เป็นโรค วันละ 2-3 ครั้ง แต่ถ้าจำเป็นต้องถูกน้ำบ่อย หลังทำความสะอาดและเช็ดเท้าให้แห้งแล้ว ควรทายาซ้ำทุกครั้ง (ก่อนทายาควรล้างบริเวณที่เป็นผื่นและเช็ดให้แห้งก่อน แล้วให้ทายาจากรอบ ๆ ผื่นเข้าหาศูนย์กลางของผื่น และล้างมือให้สะอาดหลังจากทายาเสร็จ โดยไม่จำเป็นต้องปิดผื่นด้วยผ้าแต่อย่างใด ถ้าจะให้ดีควรทายาหลังจากอาบน้ำเสร็จ และให้ใส่เสื้อผ้าสวมทับได้ภายหลังจากทายาประมาณ 15 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้ยาทาหลุดจากผิวหนังไปติดเสื้อจนยาไม่ออกฤทธิ์ที่ผิวหนัง) ถ้าอาการดีขึ้น ให้ทาติดต่อกันทุกวันนาน 3-4 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย เพื่อรอให้ผิวหนังที่ปกติงอกขึ้นมาแทนที่ (ปกติโรคกลากที่ลำตัวและขาหนีบจะใช้เวลารักษาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ส่วนโรคกลากที่มือหรือเท้าจะใช้เวลารักษานานกว่านี้คือประมาณ 8 สัปดาห์) สำหรับยารักษาเชื้อราที่มีขายในท้องตลาดมีอยู่ด้วยกันหลายยี่ห้อ เช่น โทนาฟ (Tonaf), ทราโวเจน (Travogen), ไนโซรัล (Nizoral), คัตซิน (Katsin), เคนาโซล (Kenazol), เคโนราล (Kenoral), เคทาซอน (Ketazon), ดาคทาริน (Daktarin), ฟังจิซิล (Fungisil), แคนดาโซล (Candazole), คานาโซล (Canazole), คาเนสเทน (Canesten) เป็นต้น
  1. ส่วนในรายที่เป็น ๆ หาย ๆ เป็นโรคกลากที่แผ่เป็นบริเวณกว้างหรือเรื้อรัง การทายาอาจไม่ทั่วถึงทำให้หายได้ช้า อาจต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อราชนิดรับประทานแทน ได้แก่ กริซีโอฟุลวิน (Griseofulvin) ในขนาด 500-1,000 มิลลิกรัม (ส่วนในเด็กให้วันละ 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) วันละครั้ง หรือแบ่งให้วันละ 2-4 ครั้ง นาน 4-6 สัปดาห์ หรือให้ยาไอทราโคนาโซล (Itraconazole) ในขนาด 100 มิลลิกรัม วันละครั้ง นาน 15 วัน หรือขนาด 200 มิลลิกรัม วันละครั้ง นาน 7 วัน ยารับประทานเหล่านี้มีผลข้างเคียงหลายอย่าง ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์และให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาว่าควรรับประทานยาหรือไม่และควรรับประทานยาชนิดใด และเมื่อรับประทานแล้วต้องอยู่ภายในความดูแลใกล้ชิดของแพทย์เช่นกัน
    • กริซีโอฟุลวิน (Griseofulvin) ยานี้อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และมีผลข้างเคียงที่พบได้น้อย คือ ทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ผื่นคันจากการแพ้ยา ชาปลายมือปลายเท้าจากปลายประสาทอักเสบ, อาจทำให้แพ้แดดได้ง่ายและอาจกระตุ้นให้โรคเอสแอลอีกำเริบได้, อาจลดประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิด, ผู้ชายที่กินยานี้ ควรคุมกำเนิดอย่างน้อย 6 เดือนหลังหยุดยา เนื่องจากอาจทำให้เชื้ออสุจิผิดปกติได้ และไม่ควรรับประทานยานี้ร่วมกับยาบาร์บิทูเรต เพราะมีฤทธิ์ต้านยากริซีโอฟุลวิน
    • ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) ยานี้อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปวดท้อง ท้องเดิน, อาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น ลมพิษ ผื่นคัน กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน และอาจทำให้ตับอักเสบ เอนไซม์ตับ (AST, ALT) ในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเมื่อหยุดยาสามารถกลับเป็นปกติได้ จึงควรระมัดระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ
  2. ถ้าเป็นโรคกลากที่ศีรษะ แพทย์จะให้รับประทานยาฆ่าเชื้อรา เช่น กริซีโอฟุลวิน (Griseofulvin) ในขนาด 500-1,000 มิลลิกรัม (ส่วนในเด็กให้วันละ 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) วันละครั้งหรือแบ่งให้วันละ 2-4 ครั้ง นาน 4-6 สัปดาห์ หรือให้ยาไอทราโคนาโซล (Itraconazole) นาน 4 สัปดาห์ และให้ผู้ป่วยตัดผมให้สั้น สระผมด้วยแชมพูคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ส่วนผู้ที่เป็นพาหะโรคของโรคกลากที่ศีรษะ แม้จะไม่มีอาการก็ต้องรักษาเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น โดยการใช้แชมพูยาดังกล่าวสระผมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน แต่ถ้าหนังศีรษะยังคงเป็นขุยอยู่ก็ต้องใช้ยาแบบรับประทานร่วมด้วย
  3. ถ้าเป็นที่เล็บมือ แพทย์จะให้รับประทานยากริซีโอฟุลวิน (Griseofulvin) ในขนาด 500-1,000 มิลลิกรัม (ส่วนในเด็กให้วันละ 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) วันละครั้งหรือแบ่งให้วันละ 2-4 ครั้ง นาน 4-9 เดือน หรือให้ยาไอทราโคนาโซล (Itraconazole) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุกวันต่อเนื่องกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ต่อเดือน แล้วเว้นไปประมาณ 3 สัปดาห์ก่อนให้ยารอบใหม่ โดยให้นาน 2 เดือน ในบางครั้งอาจต้องถอดเล็บและทาด้วยครีมรักษาโรคเชื้อรา
  4. ถ้าเป็นที่เล็บเท้า แพทย์จะให้รับประทานยาไอทราโคนาโซล (Itraconazole) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุกวันต่อเนื่องกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ต่อเดือน แล้วเว้นไปประมาณ 3 สัปดาห์ก่อนให้ยารอบใหม่ โดยให้นาน 3 เดือน ในบางครั้งอาจต้องถอดเล็บและทาด้วยครีมรักษาโรคเชื้อราร่วมด้วย
  5. โรคกลากอาจพบได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เบาหวาน หรือผู้ป่วยที่กินยารักษามะเร็งเป็นประจำ เป็นต้น ถ้าพบผู้ที่เป็นโรคกลากเรื้อรัง ควรค้นหาสาเหตุและแก้เสีย
  6. สำหรับวิธีการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคกลาก ผู้ป่วยที่เป็นโรคกลากควรปฏิบัติดังนี้
    • รักษาสุขภาพและรักษาโรคประจำตัวให้หายจนกลับมาเป็นปกติ
    • ถ้ามีคนในบ้านหรือสัตว์เลี้ยงที่เป็นโรคนี้ด้วย ควรให้การรักษาพร้อม ๆ กันไป
    • รักษาความสะอาดของร่างกายด้วยการอาบน้ำฟอกสบู่อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะบริเวณข้อพับและซอกต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ขาหนีบ ซอกนิ้ว อย่าให้ขี้ไคลหมักหมม เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วให้เช็ดตัวให้แห้ง อย่าปล่อยให้เปียกชื้น และระวังอย่าให้มีเหงื่ออับชื้นอยู่เสมอ
    • ผู้ที่เล่นกีฬาบางประเภทที่ผิวหนังมีการเสียดสีกัน เช่น มวยปล้ำ ยูโด เทควันโด คาราเต้ ฯลฯ ควรรักษาตัวให้หายเสียก่อนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
    • ควรระวังอย่าให้บริเวณที่เป็นโรคกลากเปียกชื้นหรือสัมผัสกับน้ำบ่อย ๆ หรือตลอดเวลา
    • ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้น หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ และอย่าเกาบริเวณที่ผื่นเพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
    • อย่าใช้มือขยี้ตา สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคกลากที่เล็บและหนังศีรษะ
    • เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่บุคคลใกล้ชิดภายในบ้าน ผู้ป่วยควรแยกสิ่งของเครื่องใช้ เช่น เสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้า หมวก รวมทั้งของใช้ส่วนตัวอื่น ๆ ไม่ควรใช้สิ่งของเหล่านี้ปะปนกับผู้อื่น และควรซักทำความสะอาดและตากแดดให้แห้งก่อนใช้ทุกครั้ง รวมไปถึงการแยกเตียงกันนอน ไม่ใช้ผ้าปูที่นอน หมอน และหมอนข้างร่วมกัน และหมั่นนำเบาะนอน เบาะนั่ง และหมอนออกไปตากแดดบ่อย ๆ
    • ผู้ป่วยที่เป็นโรคกลากที่เท้าหรือฮ่องกงฟุต ควรล้างเท้าให้สะอาดและเช็ดเท้าให้แห้งเสมอ อย่าปล่อยให้เท้าอับชื้น และควรใส่รองเท้าสานโปร่งที่เปิดเล็บเท้าแทนการสวมถุงเท้าและรองเท้าที่มิดชิด
    • ห้ามใช้ครีมสเตียรอยด์ทารักษาโรคกลาก เช่น เพรดนิโซโลน (Prednisolone), เดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) ฯลฯ เพราะอาจจะทำให้โรคลุกลามได้
    • ผู้ป่วยที่เป็นโรคกลากหรือรู้จักโรคกลากเป็นอย่างดีแล้ว สามารถรักษาโรคกลากด้วยตัวเองด้วยการซื้อยาจากร้านขายยา แต่ต้องให้เภสัชกรอธิบายถึงวิธีการใช้ยาอย่างละเอียด เพราะยาแต่ละชนิดมีวิธีการใช้และผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไป และหากเคยแพ้ยาชนิดใดมาก่อนก็ควรแจ้งให้เภสัชกรทราบด้วย แต่ในกรณีที่เป็นโรคกลากที่ศีรษะหรือโรคกลากที่เล็บ ซึ่งต้องใช้ยาแบบรับประทานและรักษาเป็นระยะเวลานาน ควรได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ก่อนเสมอ เพราะยาแบบรับประทานมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้มากกว่า
  7. ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ในกรณีดังต่อไปนี้
    • เมื่อพบว่ามีผื่นหรือตุ่มแดงคันตามลักษณะข้างต้นขึ้นตามลำตัว ใบหน้า ขาหนีบ หนวดเครา มือและเท้า หรืออาการลุกลามมากขึ้น หรืออักเสบเป็นหนองเฟอะ และได้รักษาด้วยยารักษากลากด้วยตนเองมาได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
    • หากมีผมร่วง เป็นรังแค และหนังศีรษะมีรอยโรคต่าง ๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงผู้ป่วยที่มีรอยโรคที่เล็บ เช่น เล็บหนา เปราะ มีสีเปลี่ยนไป หรือเล็บแยกตัวออกจากหนังใต้เล็บ ควรไปพบแพทย์เสมอ เพราะผู้ป่วยต้องอาศัยการรับประทานยาเป็นเวลาหลายเดือน
    • สำหรับผู้ที่ไม่มีผมร่วง ไม่มีรอยโรคที่หนังศีรษะ แต่มีเฉพาะรังแคที่เป็นมานานหลายเดือน อาจเป็นพาหะโรคของโรคกลากที่ศีรษะหรือโรคภูมิแพ้ที่หนังศีรษะ ควรไปพบแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องเช่นกัน
  8. สมุนไพรรักษาโรคกลาก สำหรับสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคกลากนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เช่น ทองพันชั่ง ข่า กุ่มบก อัคคีทวาร ฯลฯ

วิธีป้องกันโรคกลาก

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “กลาก (Ring worm/Tinea)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 981-983.
  2. หาหมอดอทคอม.  “กลาก (Tinea)”.  (พญ.สลิล ศิริอุดมภาส).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [14 มิ.ย. 2016].

ภาพประกอบ : medscapestatic.com, www.pcds.org.uk, mddk.com, www.regionalderm.com, www.dermquest.com, healthh.com, wikipedia.org (by Wes Washington, James Heilman), www.onlinedermclinic.com, www.hxbenefit.com, dermatologypracticeofroanoke.com, hubpages.com, perridermatology.com, www.dermis.net, escholarship.org, ringwormtinea.com, dermatologyoasis.net

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคกลาก
  • 2 สาเหตุของโรคกลาก
  • 3 อาการของโรคกลาก
  • 4 ผลข้างเคียงของโรคกลาก
  • 5 การวินิจฉัยโรคกลาก
  • 6 วิธีรักษาโรคกลาก
  • 7 วิธีป้องกันโรคกลาก
  • 8 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ