My Epilepsy Diary ลมชัก… ฉันรักเธอ ตอนที่ 6 หนูทำได้ ถึงแม้ว่าหนูเป็นลมชัก

20 ธันวาคม 2013

ลมชัก... กับการเป็นนักศึกษาชั้นคลินิก การเรียนแพทย์ในปี 4 ซึ่งเป็นปีที่รุ่นพี่บอกต่อๆกันมาว่าเป็นปีที่หนักที่สุดแล้ว เพราะต้องปรับตัวหลายอย่าง ทั้งต้องรีบตื่นเช้ามาราวด์วอร์ด (การดูแลผู้ป่วยที่รับไว้ในโรงพยาบาล) เรียนเล็คเชอร์ รับผู้ป่วย ซักประวัติ ตรวจร่างกายคนไข้ เขียนรายงาน ออกตรวจผู้ป่วยนอก เข้าห้องผ่าตัดอยู่เวรจนดึก ยิ่งช่วงสอบก็ต้องอ่านหนังสือหนัก เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเวลาพักเลย ความรับผิดชอบต่อตนเอง และต่อคนไข้ก็มากขึ้น ไม่เหมือนตอนอยู่ชั้นปรีคลินิก (ปี 2,3) ที่ยังไม่ได้เจอคนไข้จริง เรียนบ้างไม่เรียนบ้างก็ได้ แถมบางวิชายังมีแกะเทปที่เพื่อนทำให้อ่านอีก (แต่ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ปกติหนูก็ไม่โดดเรียนนะคะ)

สำหรับหนูแล้ว มันอาจจะยากกว่าคนอื่นๆอีกหลายเท่า เพราะนอกจากจะต้องปรับตัวกับการเรียน ยังต้องปรับตัวกับโรคลมชัก ซึ่งแม้ว่าอาจจะเคยมีอาการมาบ้างแล้ว แต่มันก็ไม่เคยเป็นอุปสรรคขนาดนี้

หนูขึ้นกองศัลยกรรมเป็นกองแรก ซึ่งก็ถือว่าเป็นกองที่หนักพอสมควร บางวันต้องราวด์ (การดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล) คนไข้เกือบร้อยเตียง เริ่มราวด์ตั้งแต่หกโมงครึ่ง เสร็จเกือบเที่ยงก็มี ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนูมีปัญหาที่สุดเลยก็ว่าได้ วันแรกที่หนูขึ้นกองศัลย์ (แผนก ศัลยกรรม) อาจารย์ได้นัดหนูกับผู้ปกครองไปพบ และได้แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องผลคลื่นไฟฟ้าสมองที่พบความผิดปกติเพียงเล็กน้อย อาจารย์จึงซักประวัติเพิ่มเติม แต่ยังไม่ได้เริ่มให้ยา เพราะยากันชักมีผลข้างเคียงค่อนข้างเยอะ ให้สังเกตอาการไปก่อนและให้ไปตรวจเอ็ม อาร์ ไอ (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า)

พอเรียนไปสักพักก็เริ่มหนักขึ้น โดยเฉพาะการผ่าตัดและหัตถการบนหอผู้ป่วย (ward work) ซึ่งของศัลย์ก็ถือว่าเยอะที่สุด เพราะต้องทำแผล ทำหัตถการ ตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ บางทีก็เข้าไปช่วยอาจารย์ผ่าตัดอยู่หลายชั่วโมง ที่หนักที่สุดคือรู้สึกว่าตัวเองมีอาการมากขึ้นเรื่อยๆ มีเพื่อนบางคนสังเกตเห็น แต่บางครั้งอาการก็ไม่ชัดเจน และอาการก็ไม่เหมือนลมชักที่คนทั่วไปรู้จักกัน ทำให้โดนพี่ resident (แพทย์ประจำบ้าน) พี่ extern (นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6) ว่าบ่อยๆ ว่าพี่สั่งให้ทำงานก็ไม่ค่อยทำ หรือทำงานช้า เคยเดินชนรุ่นพี่โดยไม่รู้ตัว แล้วพี่ก็เข้าใจผิดว่าชนแล้วไม่ขอโทษ บางทีก็เดินไปที่อื่นซะเฉยๆ หรือมีพยาบาลทักว่าหมอเดินหาอะไรอยู่หรือเปล่า เห็นเดินไปเดินมาหลายรอบแล้ว มีญาติคนไข้เคยบอกว่าหนูกดลิฟต์ลงชั้นล่าง แต่พอลิฟต์เปิดก็ยืนเหม่อนิ่ง ไม่เข้าไปในลิฟต์ หนูมีอาการบ่อยมาก ทั้งเวลาช่วยอาจารย์ผ่าตัด ทั้งเวลาซักประวัติคนไข้ ทำให้ได้ข้อมูลไม่ครบ

ตอนนั้นทั้งเหนื่อยและเครียดมากๆ สิ่งที่คิดในตอนนั้นคือหนูทนไม่ไหวแล้ว อาจารย์ช่วยทำอะไรสักอย่างให้หนูได้ไหมคะ หนูจะได้รู้ว่าหนูเป็นอะไร และควรทำอย่างไรต่อ

หนูเลยไปปรึกษาอาจารย์อีกครั้ง อาจารย์ดู MRI (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า/เอมอาร์ไอ)

แล้ว ไม่มีความผิดปกติที่เห็นได้ชัดเจน จึงแนะนำให้ไปตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองอีกครั้ง ซึ่งหนูเกือบจะถามกลับด้วยความที่อารมณ์เสียว่าหนูต้องตรวจอีกกี่รอบคะ จึงจะวินิจฉัยโรคให้หนูได้เสียที

วันที่ 4 เมษายน หลังจากเสร็จการผ่าตัดผู้ป่วยในห้องผ่าตัดเรียบร้อย หนูได้มาตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เป็นรอบที่ 3 วันนั้นเหนื่อยมาก คืนก่อนหน้านั้นก็นอนดึก แต่ตอนมาตรวจหนูก็รู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรต่างจาก 2 ครั้งที่ผ่านมา

หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ หนูจึงได้รู้ว่า ผลที่ออกมาต่างกันอย่างไร หนูและอาจารย์ได้เห็นคลื่นสมองของหนูที่ได้บันทึกไว้ พร้อมๆ กัน แต่สิ่งที่หนูเห็นทำให้หนูถึงกับช็อก แม้ว่าหนูจะอ่านผลไม่เป็น แต่จากข้อมูลที่เคยค้นคว้ามา ก็พอจะมองออกว่าคลื่นสมองแบบนี้ไม่ปกติแน่ๆ ที่สำคัญคือ พบคลื่นผิดปกติมากเสียด้วย

แม้ว่าจะรู้ว่ามีอาการอยู่บ่อยๆ หนูก็ยังแทบจะไม่เชื่อ ว่าหนูเป็นลมชักจริงๆหรือนี่

อาจารย์บอกว่าถ้าเป็นมากขนาดนี้ควรจะรักษาด้วยยากันชักได้แล้ว อาจารย์ให้เวลาหนูตัดสินใจ และคุยกับผู้ปกครองก่อน อีก 1 สัปดาห์ค่อยมาคุยกันอีกทีว่าต้องการเริ่มทานยาเลยหรือไม่

โชคร้ายที่สัปดาห์นั้นเป็นช่วงสงกรานต์พอดี ป๊ากับแม่ไม่อยู่บ้าน ไปเยี่ยมอากงที่สุราษฏฯ วันหยุดยาว 5 วันติดกัน ที่หนูต้องไปราวด์ทุกเช้า ราวด์เสร็จก็กลับหอ นอนคิดอยู่คนเดียว วนเวียนอยู่เรื่องเดิมๆ ยังตกใจกับข่าวที่ได้รับ และเริ่มคิดว่าจะเรียนต่อไปไหวไหม จะอยู่อย่างไร ป๊ากับแม่จะรับได้ไหม และสิ่งต่างๆที่จะตามมาในอนาคตจะเป็นอย่างไร

จากที่เคยเรียนวิธีการแจ้งข่าวร้ายแก่ผู้ป่วยมา ตอนนี้เข้าใจเลยว่า ความรู้สึกช็อกและปฏิเสธ (Shock & denial) เป็นอย่างไร สงกรานต์ปีนี้เป็นปีที่เหงาที่สุด เครียดที่สุด นอนร้องไห้ทุกวัน อยู่ที่หอคนเดียวทั้งวันทั้งคืน เพราะขับรถก็ไม่ได้ ออกไปไหนไม่ได้ ไม่ได้คุยกับใคร ผู้ป่วยก็ไม่มีให้รับ ยังดีหน่อยที่ช่วงหลังๆมีผู้ป่วยให้รับ การได้ไปดูแลและคุยกับคนไข้ก็ช่วยคลายเหงาลงได้บ้าง

หนูตัดสินใจว่าจะเริ่มรักษาด้วยยากันชัก เพราะถ้าให้อยู่แบบเดิม อย่างไรก็คงไม่ไหว แต่ก็ทำให้หนูต้องเจอกับปัญหาจากผลข้างเคียงของยา หนูต้องต่อสู้กับความง่วง ความรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ยิ่งพอเพิ่มยา หนูก็ง่วงจนไปราวด์วอร์ดไม่ทัน เขียนรายงานไม่เสร็จ ผมก็เริ่มร่วง น้ำหนักก็ขึ้น บางทีก็โดนเพื่อนล้อ ยิ่งเครียด อาการถึงแม้จะน้อยลงแต่ก็ยังไม่หายไป พยายามบอกตัวเองให้อดทนให้มากที่สุด ช่วงหลังๆอาการง่วงเริ่มน้อยลงแต่ยังรู้สึกว่าความคิดช้า ความจำสั้น จำอะไรไม่ค่อยได้ บางครั้งที่ต้องปั่นรายงานเลยต้องหยุดยาเอง ก็รู้สึกดีที่รายงานเสร็จ แต่เย็นวันนั้น หนูก็เกือบถูกรถชน เพราะไปยืนเหม่ออยู่กลางถนนขณะเดินกลับหอ

การเรียนศัลย์ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล หนูก็ได้พยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว สุดท้ายก็ยังเหลือ การสอบแบบปรนัยและบรรยายผู้ป่วย (MCQ, Essay) ที่หนูยังสอบไม่ผ่าน

ตอนนี้หนูอยู่กองสูติ-นรีเวช ก็รู้สึกดีมากขึ้น อาจจะเพราะว่าพอปรับตัวได้บ้าง และงานไม่หนักเท่าศัลย์ ที่สำคัญคืออาจารย์ทั้งภาควิชารับรู้ปัญหาและดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ช่วงแรกๆหนูก็ไม่ค่อยชอบที่จะโดนอาจารย์ทักบ่อยๆเวลานิ่งไป ทั้งๆที่บางทีก็ไม่ได้มีอาการชัก ไม่ชอบที่มีใครมาถามเกี่ยวกับอาการ บางทีรู้สึกว่าเราไม่เหมือนคนอื่น และเป็นตัวปัญหา แต่อาจารย์ก็ให้ทำหัตถการและสอนหนูไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ตอนนี้หนูเลยชินแล้วเวลามีคนทักเรื่องนี้ หนูกล้าที่จะขออาจารย์ทำหัตถการต่างๆ โดยอาจจะให้พี่หรือเพื่อนเข้ามาช่วยถ้าเกิดหนูมีอาการขณะนั้น ล่าสุดอาจารย์ได้ขอให้หนูเล่นไวโอลินให้อาจารย์ฟังระหว่างรับประทานอาหารในงานประชุมภาควิชา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หนูไม่ได้ขึ้นแสดงดนตรีมานาน เพราะกลัวจะชักระหว่างเล่น และเคยมีคนทักหนูว่าเล่นดนตรีแล้วอยู่ๆก็หยุดเล่น แต่ครั้งนี้หนูจะลองดูค่ะ

บนเวที หนูได้กล่าวก่อนแสดงไว้ว่า ”ถ้าหนูเล่นแล้วหยุดไป ไม่ใช่ความผิดพลาดทางเทคนิคนะคะ แต่หนูจะพยายามเล่นใหม่อีกรอบเลยละกัน เพราะบางทีหลังจากชักหนูก็จำอะไรไม่ได้ไปช่วงหนึ่ง หนูจะทำให้ดีที่สุดนะคะ” แต่สุดท้ายงานวันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี เสียงจากไวโอลินคันเก่า ยังคงหวานเหมือนครั้งสุดท้ายที่หนูได้แสดงบนเวที เมื่อสามปีที่แล้ว

หนูต้องขอบคุณอาจารย์ และฝ่ายวิชาการที่ได้ช่วยประสานงานกับภาควิชาสูติ-นรีเวช และต้องขอบคุณอาจารย์ภาควิชานี้ ที่ทำให้หนูรู้สึกว่า ลมชักเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตหนู แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนูด้อยไปกว่าคนอื่นๆ เพียงแต่หนูต้องระมัดระวังตนเองให้มาก อย่าพยายามลืมว่าตนเองเป็นลมชักอยู่ แต่ให้รู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร ให้ควบคุมอาการได้มากที่สุด และอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุข

บทสรุป ก่อนจะรู้ว่าเป็นโรคลมชัก ก็ต้องใช้เวลาตรวจค้นหาหลักฐานสนับสนุน ทำให้ทุกข์ใจจากอาการชักและความบกพร่องทางการเรียนรู้ เหม่อลอยจำไม่ได้ ครั้นรู้ว่าเป็นโรคลมชักต้องใช้เวลาทำใจยอมรับและเผชิญกับผลข้างเคียงจากยากันชัก เช่น ง่วง ทำอะไรช้าลง ถ้าคนรอบข้างเข้าใจและยอมรับแล้วให้โอกาสจะช่วยให้คนป่วยจัดการปัญหาได้ เผชิญกับความเจ็บป่วยได้ดียิ่งขึ้น ผู้ป่วยลมชักสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงคนทั่วไป เพื่อนๆ ผู้ร่วมงาน คนในครอบครัวต้องคอยดูแล ให้กำลังใจผู้ป่วยและสนับสนุนให้ทำกิจกรรมต่างๆที่ไม่มีอันตรายใด ถ้าผู้ป่วยชัก เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ป่วยมีกำลังใจ ภูมิใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง