38 วิธีแก้ปวดท้องประจําเดือน (ปวดประจำเดือน, ปวดท้องเมนส์)

ปวดประจําเดือน

ปวดประจำเดือน, ปวดท้องประจำเดือน, เจ็บท้องประจำเดือน หรือ ปวดท้องเมนส์ (Dysmenorrhea) คือ อาการปวดท้องน้อยหรืออุ้งเชิงกรานในขณะที่มีประจำเดือน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอตามรอบของการมีประจำเดือน (โดยปกติจะห่างกันทุก 28 วัน แต่บางคนก็มาเร็วหรือช้ากว่านี้) การปวดประจำเดือนนี้ส่วนใหญ่พบได้ในผู้หญิงวัยมีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดไม่มากและยังสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่มีส่วนน้อยที่อาจปวดรุนแรงจนต้องพักงาน โดยอาการปวดประจำเดือนนั้นแบ่งออกได้เป็น ชนิดปฐมภูมิ (ไม่ทราบสาเหตุ) ซึ่งพบได้เป็นส่วนมาก กับชนิดทุติยภูมิ (มีสาเหตุ) ซึ่งพบได้เป็นส่วนน้อย

ในช่วงหนึ่งของชีวิตผู้หญิงที่มีประจำเดือน มีผู้หญิงจำนวนน้อยมากที่ไม่มีอาการปวดประจำเดือนเลยซึ่งนับว่าเป็นโชคดีมาก เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่โดยเฉพาะวัยรุ่นจำนวนมากถึง 90% จะมีอาการปวดประจำเดือนมากบ้างน้อยบ้างสลับกันไป และมีผู้หญิงอีกประมาณ 5-10% ที่จะมีอาการปวดประจำเดือนมากจนทำให้ต้องพักงานหรือขาดเรียนอยู่เสมอในช่วงที่มีประจำเดือน ทำให้เสียโอกาสในการทำงานและการเรียนรู้ และยังอาจมีผลกระทบต่อจิตใจหรือความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวซึ่งประเมินเป็นมูลค่าทางการเงินไม่ได้อีกด้วย

จากการศึกษาพบว่า อายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนครั้งแรกของเด็กผู้หญิงไทยจะอยู่ที่ประมาณ 12 ปี 7 เดือน เด็กผู้หญิงทางภาคเหนือจะมีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนเร็วกว่าภาคอื่น ๆ ส่วนเด็กทางภาคใต้จะมีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนช้ากว่าภาคอื่น ๆ โดยช่วง 1-2 ปีแรกที่เริ่มมีประจำเดือน จะมาแบบไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากการทำงานของรังไข่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์ จึงทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอ

สาเหตุการปวดท้องประจําเดือน

เมื่อมีอาการปวดประจำเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นอาการปกติของการมีประจำเดือน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความจริงและก็มีที่ไม่จริงบ้าง โดยทั่วไปอาการปวดประจำเดือนจะเกิดจากมดลูกหดรัดตัวทำให้เกิดอาการปวดบริเวณท้องน้อย แต่หากมีอาการปวดมากจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือทำให้ต้องพักงาน แบบนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป เพราะสาเหตุที่ทำให้มีอาการปวดท้องประจำเดือนนั้นมีหลายสาเหตุ ซึ่งการรักษาบางครั้งอาจต้องถึงขั้นผ่าตัดเลยทีเดียว

สาเหตุของการปวดประจำเดือนจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ

  1. ปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea) เป็นการปวดประจำเดือนที่แพทย์ตรวจไม่พบพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกรานหรือท้องน้อยที่ชัดเจน โดยจะไม่มีความผิดปกติของมดลูกและรังไข่แต่อย่างใด ในปัจจุบันเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างการมีประจำเดือน และมาจากการมีสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) หลั่งออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกมากผิดปกติ และสารชนิดนี้จะดูดซึมผ่านกระแสเลือดและมาออกฤทธิ์ที่มดลูก จึงทำให้มดลูกมีการบีบเกร็งตัวและเกิดอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย การปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมินี้มักพบได้ในเด็กสาวหรือผู้หญิงวัยรุ่น ส่วนมากจะเริ่มมีอาการตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก หรือไม่ก็เกิดขึ้นภายในช่วง 2-3 ปีหลังจากการมีประจำเดือนครั้งแรก โดยจะมีอาการมากที่สุดในช่วงอายุ 15-25 ปี หลังจากวัยนี้ไปอาการจะค่อย ๆ ลดลง บางรายอาจหายปวดหลังแต่งงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการมีลูกแล้ว มีเพียงส่วนน้อยที่ยังอาจมีอาการตลอดไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน
  2. ปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea) เป็นการปวดประจำเดือนที่แพทย์ตรวจพบพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกรานร่วมด้วย ลักษณะการปวดจะมีอาการปวดก่อนมีเลือดประจำเดือนมาและยังปวดต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าประจำเดือนจะหยุดหรือหลังประจำเดือนหยุด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดครั้งแรกเมื่อมีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป โดยก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีอาการปวดประจำเดือนเลย การปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมินี้ มักเกิดจากความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ เช่น
    • การมีเนื้องอกมดลูก โดยเฉพาะในโพรงมดลูก มดลูกจึงมีการบีบตัวเพื่อขจัดสิ่งขัดขวางการหดรัดตัวในโพรงมดลูกออก จึงทำให้มีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้นเรื่อย ๆ
    • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ หรือ เยื่อบุโพรงมดลูกต่างที่ (Endometriosis) โดยเยื่อโพรงบุมดลูกจะหลุดออกมาจากท่อรังไข่ย้อนเข้ามาเจริญที่เยื่อบุช่องท้อง รังไข่ บริเวณอุ้งเชิงกราน หรือลำไส้ ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนในร่างกายที่หลั่งออกมาจากรังไข่เช่นเดียวกับเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้นในขณะที่มีประจำเดือนจะทำให้มีเลือดออกในช่องท้องด้วย จึงทำให้เกิดการระคายเคืองที่เยื่อบุช่องท้อง ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องในขณะที่มีประจำเดือน ซึ่งในรายที่มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงเป็นประจำ มักมาจากสาเหตุนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่มีบุตรยาก
    • การมีพังผืดในช่องท้อง (Pelvic adhesion) พังผืดเกิดจากการผ่าตัดครั้งก่อน หรือจากการที่เคยมีการอักเสบในอุ้งเชิงกรานมาก่อน (ที่ไม่ใช่จากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่) จะทำให้เกิดการดึงรั้งของพังผืดกับเยื่อบุช่องท้องหรือเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวดขึ้นมา ส่วนมากผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังมากกว่าที่จะปวดตามรอบของประจำเดือน
    • การใส่ห่วงอนามัย หรือ ห่วงคุมกำเนิด (Intrauterine device birth control) จะทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนได้เช่นกัน เนื่องจากร่างกายพยายามบีบตัวเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไป
    • สาเหตุอื่น ๆ เช่น มดลูกย้อยไปด้านหลังมาก, ปีกมดลูกอักเสบเรื้อรัง เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ปวดประจำเดือน

อาการปวดประจำเดือน

อาการปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ (ชนิดที่พบได้บ่อย) จะเริ่มมีอาการปวดท้องน้อยก่อนมีประจำเดือนไม่กี่ชั่วโมง (ก่อนที่เลือดประจำเดือนจะออกมา) หรือปวดพร้อมกับการมีประจำเดือนออกมา และการปวดเป็นอยู่ตลอดช่วง 2-3 วันแรกของประจำเดือน โดยจะมีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ ที่บริเวณท้องน้อย บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ใจคอหงุดหงิด หรือมีอาการปวดหลังร่วมด้วย ถ้ามีอาการปวดรุนแรงอาจทำให้มีอาการเหงื่อออก ตัวเย็น มือเท้าเย็นได้

อาการปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ (ชนิดที่พบได้น้อย) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดจนกว่าเลือดประจำเดือนจะหยุดหรือหลังประจำเดือนหยุด ประจำเดือนออกมาก อาจมีภาวะมีบุตรยาก อาจมีภาวะเจ็บลึก ๆ ในอุ้งเชิงกรานในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ และมักมีประวัติตกขาวและการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

นอกจากนี้ยังเชื่อว่า อารมณ์มีส่วนเสริมความรุนแรงของอาการปวดประจำเดือนทั้ง 2 ชนิด โดยพบว่าผู้ที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่ายหรือมีความเครียดจะมีอาการปวดรุนแรงมากกว่าผู้ที่อารมณ์ดี

ภาวะแทรกซ้อนของการปวดประจำเดือน

สาเหตุปวดท้องประจําเดือน

การวินิจฉัยอาการปวดประจำเดือน

แพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากอาการปวดท้องน้อยในขณะที่มีประจำเดือน ซึ่งเป็นอยู่ประจำทุกเดือน โดยไม่มีไข้ กดถูกไม่เจ็บ ส่วนในกรณีที่สงสัยว่าเป็นการปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิหรือเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ แพทย์อาจต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ การใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง เป็นต้น

ผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องน้อย อาจมาจากสาเหตุอื่นที่บังเอิญมาเกิดอาการพร้อมกับการมีประจำเดือนก็ได้ เช่น

ดังนั้น ผู้ที่เคยมีอาการปวดประจำเดือนมาก่อน หากมีอาการปวดท้องน้อยที่มีลักษณะไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมา เช่น ปวดรุนแรงหรือปวดติดต่อกันเป็นเวลานานกว่าปกติ กดถูกหรือกระเทือนถูกแล้วรู้สึกเจ็บ มีไข้ขึ้นหรือมีอาการตกขาวร่วมด้วย ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด เพราะอาการที่ปวดนั้นอาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ก็ได้

วิธีแก้ปวดประจำเดือน

วิธีป้องกันการปวดประจำเดือน

คำแนะนำอื่น ๆ
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 882-883.
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 377 คอลัมน์ : สารานุกรมทันโรค.  “ปวดประจำเดือน”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [03 ก.ค. 2016].
  3. หาหมอดอทคอม.  “ปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea)”.  (รองศาสตราจารย์ พญ.ประนอม บุพศิริ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [04 ก.ค. 2016].
  4. wikiHow.  “บรรเทาอาการปวดประจำเดือน”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [05 ก.ค. 2016].

ภาพประกอบ : www.naturopathiccurrents.com, menstrupedia.com, www.hikari.sg, www.ladycarehealth.com, www.intimina.com, www.danieltagueacupuncture.com, allremedies.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ปวดประจําเดือน
  • 2 สาเหตุการปวดท้องประจําเดือน
  • 3 อาการปวดประจำเดือน
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของการปวดประจำเดือน
  • 5 การวินิจฉัยอาการปวดประจำเดือน
  • 6 วิธีแก้ปวดประจำเดือน
  • 7 วิธีป้องกันการปวดประจำเดือน
  • 8 คำแนะนำอื่น ๆ
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ