37 สรรพคุณและประโยชน์ของต้นตูมกาขาว

ตูมกาขาว

ตูมกาขาว ชื่อวิทยาศาสตร์ Strychnos nux-blanda A.W. Hill จัดอยู่ในวงศ์กันเกรา (LOGANIACEAE หรือ STRYCHNACEAE)[1]

สมุนไพรตูมกาขาว มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ขี้กา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะติ่ง มะติ่งต้น มะติ่งหมาก (ภาคเหนือ), ตูมกาขาว (ภาคกลาง), มะตึ่ง (คนเมือง), อีโท่เหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), กล้อวูแซ กล้ออึ กล๊ะอึ้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), มะปินป่า (ปะหล่อง), ปลูเวียต (เขมร), แสงเบื่อ, แสลงใจ, ตากาต้น, ตึ่ง, ตึ่งต้น เป็นต้น[1],[2]

หมายเหตุ : ต้นตูมกาชนิดนี้เป็นคนละชนิดกันกับ “ต้นตูมกาแดง” หรือที่ภาคกลางเรียกว่า “ต้นแสลงใจ” (มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Strychnos nux-vomica L.)

ลักษณะของตูมกาขาว

ต้นตูมกา

ใบตูมกาขาว

ดอกตูมกาขาว

ผลตูมกาขาว

ตูมกาขาว

เมล็ดตูมกาขาว

สรรพคุณของตูมกาขาว

  1. ตำรายาไทยจะใช้เมล็ดแก่แห้ง (โกฐกะกลิ้ง) เป็นยาขมเจริญอาหาร แก้กระษัย ช่วยขับน้ำย่อย แก้อิดโรย (เมล็ด)[1] ส่วนเนื้อไม้และเปลือกต้นก็มีสรรพคุณช่วยทำให้เจริญอาหารเช่นเดียวกับเมล็ด (เปลือกต้น,เนื้อไม้)[1],[2],[4]
  2. ตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานี จะใช้แก่นของต้นตูมกาขาวเข้ายากับเครือกอฮอ ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้เบาหวาน (แก่น)[1]
  3. เมล็ดมีรสเมาเบื่อขมจัดมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ (เมล็ด)[1]
  4. ช่วยกระตุ้นประสาทส่วนกลาง บำรุงประสาท หูตาจมูก (เมล็ด)[1] ส่วนเนื้อไม้มีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาทเช่นเดียวกับเมล็ด (เนื้อไม้)[1],[2]
  5. ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงหัวใจให้เต้นแรง (เมล็ด)[1] ส่วนเปลือกต้นก็มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจเช่นกัน (เปลือกต้น)[4]
  6. ช่วยแก้โลหิตพิการ (เมล็ด)[1]
  7. ลำต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้พิษภายใน (ลำต้น)[1]
  8. เป็นยาแก้ไข้ ช่วยทำให้ตัวเย็น (เมล็ด)[1] ส่วนเนื้อไม้มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ แก้พิษร้อน แก้ไข้เซื่องซึม (เนื้อไม้)[1],[2]
  9. รากมีรสเมาเบื่อ ใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย (ราก)[1]
  10. ใช้เป็นยาแก้โรคอันเกิดจากปากคอพิการ (เมล็ด)[1]
  1. ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ (เมล็ด)[1]
  2. ชาวกะเกรี่ยงแดงจะใช้เปลือกต้นตูมกาขาว นำมาเคี้ยวกินกับเกลือเป็นยาแก้อาการปวดท้อง (เปลือกต้น)[2] (บางข้อมูลระบุว่าแก่นนำมาต้มกับน้ำดื่มและอาบ เป็นยาแก้บิด)
  3. รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ (ราก)[4]
  4. ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารลำไส้ให้แข็งแรง ช่วยแก้ลมกระเพื่อมในท้อง แก้ลมพานไส้ ช่วยขับลมในลำไส้ (เมล็ด)[1]
  5. ตำรายาพื้นบ้านจะใช้รากตูมกาขาวผสมกับต้นกำแพงเจ็ดชั้น รากปอด่อน และรากชะมวง นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาระบาย (ราก)[1]
  6. ช่วยขับพยาธิ (เมล็ด)[1]
  7. ช่วยขับปัสสาวะ (เมล็ด)[1]
  8. ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (เมล็ด)[1]
  9. ช่วยแก้ลมคูถทวาร (เมล็ด)[1]
  10. ช่วยบำรุงเพศของบุรุษ (เมล็ด)[1]
  11. ใช้แก้หนองใน (เมล็ด)[1]
  12. ช่วยแก้ไตพิการ (เมล็ด)[1]
  13. ใบใช้ตำพอกแก้แผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง (ใบ)[1]
  14. ใบใช้ตำพอกหรือคั้นเอาแต่น้ำทาแก้โรคผิวหนัง แก้ขี้กลาก (ใบ)[3],[4]
  15. เมล็ดใช้เป็นยาแก้พิษงู พิษตะขาบ พิษแมงป่อง (เมล็ด)[1]
  16. เปลือกต้นมีรสเมาเบื่อ ใช้เป็นยาแก้พิษสัตว์กัดต่อย พิษงูกัด ฝนกับเหล้าปิดแผลและรับประทานแก้พิษงู (ใช้ได้กับทั้งคนและสัตว์) ส่วนในกรณีใช้แก้อาการอักเสบจากพิษงูกัด อาจจะใช้สมุนไพรก่อนแล้วจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล (เปลือกต้น)[1],[3]
  17. ต้นหรือรากใช้ฝนกับน้ำทาแก้อักเสบจากงูกัด (ต้น,ราก)[1]
  18. ใบมีรสเมาเบื่อ ใช้ตำพอกเป็นยาแก้ฟกบวม (ใบ)[1]
  19. ต้นนำมาต้มกับน้ำหรือฝนทาแก้อาการปวดตามข้อ (ต้น)[1]
  20. แก่นมีสรรพคุณเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย (แก่น)[1] ส่วนเมล็ดก็มีสรรพคุณแก้อาการปวดเมื่อยเช่นกัน (เมล็ด)[1]
  21. ช่วยแก้อัมพาต แก้เส้นตาย แก้เหน็บชา แก้เนื้อชา (เมล็ด)[1]

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรตูมกาขาว

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของตูมกาขาว

ประโยชน์ของตูมกาขาว

ไฟตูมกา

  1. ผลสุกใช้รับประทานได้ (กินได้แต่เนื้อ ส่วนเมล็ดห้ามกินเพราะมีพิษมาก) (คนเมือง, ปะหล่อง, กะเหรี่ยงแดง)[2],[3]
  2. ชาวบ้านจะใช้ไม้จากต้นตูมกาขาวเป็นฟืนและถ่าน เพราะเป็นไม้ที่ให้พลังงานสูงมาก[3]
  3. เนื้อไม้ตูมกาขาวสามารถนำมาใช้ทำที่อยู่อาศัยได้
  4. ผลตูมกาถูกนำมาใช้เป็นภาชนะใส่น้ำยางเพื่อจุดให้แสงสว่าง หรือที่เรียกว่าการจุด “ไฟตูมกา” โดยนำผลตูมกาขนาดเท่ากำปั้นหรือใหญ่กว่ามาขูดเอาผิวสีเขียวออกและคว้านเอาเนื้อและเมล็ดข้างในออกให้หมด จากนั้นใช้มีดแกะเป็นลายต่าง ๆ ตามความต้องการ หลังจากจุดเทียนที่สอดขึ้นไปจารูที่เจาะไว้ส่วนล่าง แสงสว่างจากเปลวเทียนก็จะลอดออกเป็นลวดลายตามที่แกะเป็นลายไว้
  5. ต้นใช้ผสมกับรำให้ม้ากินเป็นยาขับพยาธิตัวตืด[1]
  6. เปลือกต้นใช้ผสมกับผลปอพรานและเหง้าดองดึง นำมาคลุกให้สุนัขกินเป็นยาเบื่อ (การฆ่าสัตว์ถือเป็นบาป ไม่ควรทำครับ)[1]
เอกสารอ้างอิง
  1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “แสลงใจ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com.  [11 ก.ค. 2014].
  2. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน).  “ตูมกาขาว, มะติ่ง”.  อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 7 (ก่องกานดา ชยามฤต, ลีนา ผู้พัฒนพงศ์), หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 13 : สมุนไพรแต่งสี กลิ่น รส (สมพร ภูติยานันต์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [11 ก.ค. 2014].
  3. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน).  “ตูมกา”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [11 ก.ค. 2014].
  4. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้.  “ตูมกาขาว”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th.  [11 ก.ค. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by thammavong viengsamone, VanLap Hoàng), www.phargarden.com (by Sudarat Homhual), www.thaihof.org

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ตูมกาขาว
  • 2 ลักษณะของตูมกาขาว
  • 3 สรรพคุณของตูมกาขาว
  • 4 ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรตูมกาขาว
  • 5 ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของตูมกาขาว
  • 6 ประโยชน์ของตูมกาขาว
  • 7 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ