33 สรรพคุณประโยชน์ของผักเชียงดา (ผักจินดา)

ผักเชียงดา

ผักเชียงดา ชื่อวิทยาศาสตร์ Gymnema inodorum (Lour.) Decne. จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE หรือ ASCLEPIADACEAE)[1],[4]

ผักเชียงดา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เชียงดา, เจียงดา, ผักเจียงดา, ผักเซียงดา, ผักกูด, ผักจินดา, ผักเซ่งดา, ผักม้วนไก่, ผักเซ็ง, ผักว้น, ผักฮ่อนไก่, ผักอีฮ่วน, เครือจันปา เป็นต้น[3],[4],[6],[7],[10]

ลักษณะของผักเชียงดา

ต้นผักเชียงดา

ใบผักเชียงดา

ดอกผักเชียงดา

ผลผักเชียงดา

สรรพคุณของผักเชียงดา

  1. ผักเชียงดามีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน โรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ ช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง และการเสียของ DNA ข้ออักเสบรูมาตอยด์และเกาต์[2]
  2. ผักเชียงดามีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยควบคุมการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ[2] และชาวบ้านยังนิยมกินผักเชียงดาหน้าร้อน เพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกายอีกด้วย[6]
  3. หมอยาพื้นบ้านในจังหวัดจะใช้ผักเชียงดาเป็นยาบำรุงกำลัง แก้อาการปวดเมื่อยอันเนื่องมาจากการทำงาน[7]
  4. ช่วยทำให้เจริญอาหาร[4]
  5. ช่วยชำระล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย[8]
  1. ใช้รักษาเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ปรับระดับอินซูลินในร่างกายให้สมดุล ช่วยสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ตับอ่อน ด้วยการนำผักเชียงดามาปรุงเป็นอาหารรับประทาน[1],[4],[8] จากการศึกษาพบว่า การรับประทานผงผักเชียงดาก่อนอาหารประมาณวันละ 8-12 กรัม (แบ่งการรับประทานเป็น 3 มื้อ มื้อละ 4 กรัม) จะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวานให้เป็นปกติได้ หรือจะรับประทานเป็นผักสดอย่างน้อยวันละประมาณ 50-100 กรัม หรือ 1 ขีด ก็สามารถช่วยป้องกันและบำบัดโรคเบาหวานได้เช่นกัน[5]
  2. ช่วยควบคุมและปรับระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ[8]
  3. ช่วยลดและควบคุมปริมาณไขมันในร่างกายให้สมดุล[8]
  4. ผักเชียงดาสามารถนำไปใช้ลดน้ำหนักได้ เพราะผักชนิดนี้สามารถช่วยให้มีการนำน้ำตาลไปเผาผลาญมากกว่าการนำไปสร้างเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และมีรายงานว่า ผักเชียงดาสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง[10]
  5. ผักเชียงดามีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตา แก้ตาฝ้าฟาง มีอาการเคืองตา เนื่องจากผักชนิดนี้มีวิตามินสูง[1]
  6. ช่วยแก้หูชั้นกลางอักเสบ (ต้น)[9]
  7. ใบนำมาตำให้ละเอียดใช้พอกบริเวณกระหม่อมเพื่อรักษาไข้ อาการหวัด ปรุงเป็นยาลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ หรือนำไปประกอบในตำรายาแก้ไข้อื่น ๆ[2],[4]
  8. ผลมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ (ผล)[4]
  9. ช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้และหอบหืด[8]
  10. ต้นสรรพคุณเป็นยาแก้หลอดลมอักเสบ แก้ไอ แก้ปอดอักเสบ (ต้น)[9]
  11. ช่วยแก้โรคบิด (ต้น)[9]
  12. การรับประทานผักเชียงดาใบแก่ จะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น และชาวบ้านยังนิยมนำมาแกงรวมกับผักตำลึงและยอดชะอมเพื่อใช้รักษาอาการท้องผูกอีกด้วย[2],[6]
  13. ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ต้น)[9]
  14. ต้นแห้งหรือต้นสดใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (ต้น)[9]
  15. ช่วยขับระดูของสตรี[4]
  16. ช่วยฟื้นฟูตับอ่อนให้แข็งแรง ช่วยบำรุงและปรับสภาพการทำงานของตับอ่อนให้เป็นปกติ[8]
  17. ช่วยบำรุงและซ่อมแซมหมวกไต และระบบการทำงานของไตให้สมบูรณ์[8]
  18. ช่วยแก้อาการบวมน้ำ (ต้น)[9]
  19. ใบใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนังทุกชนิด ทำให้น้ำเหลืองแห้ง และแก้กามโรค[9]
  20. ใบสดใช้ตำพอกฝีหรือหัวลำมะลอก งูสวัด เริม ถอนพิษ แก้ปวดแสบปวดร้อน[4]
  21. หัวมีรสมันขม มีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษอักเสบ พิษร้อน ช่วยดับพิษกาฬ แก้พิษไข้เซื่องซึม และแก้เริม (หัว)[4]
  22. ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อจากโรคเกาต์[8]
  23. ในบ้านเรามีการใช้ผักเชียงดาเป็นทั้งยาสมุนไพรและเป็นอาหารเพื่อรักษาโรคโดยกลุ่มหมอเมืองทางภาคเหนือมานานแล้ว กล่าวคือ การใช้เป็น “ยาแก้หลวง” (คล้ายยาครอบจักรวาลของแผนปัจจุบัน) ถ้าคิดไม่ออกก็บอกผักเชียงดา เช่น แก้เบาหวาน เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ตัวร้อน แก้ไข้สันนิบาต (ชักกระตุก) แก้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด แก้แพ้ยา แพ้อาหาร ปวดข้อ เป็นยาระบาย ช่วยระงับประสาท หรือเมื่อมีอาการคิดมากหรือจิตฟั่นเฟือน ฯลฯ ส่วนการนำมาใช้เป็นยาก็ให้นำผักเชียงดามาสับแล้วนำไปตากแห้งบดเป็นผง ใช้ชงเป็นชาดื่ม หรือจะนำมาบรรจุลงในแคปซูลก็ได้[5]

หมายเหตุ : การนำมาใช้เป็นยาในหน้าแล้ง ให้ใช้รากมาทำยา ส่วนในหน้าฝนให้ใช้ส่วนของเถาและใบ โดยนำมาสับตากแห้งแล้วบดให้เป็นผง ใช้ชงเป็นชาดื่ม[6]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของผักเชียงดา

ประโยชน์ของผักเชียงดา

  1. จากการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลองของผักพื้นบ้านจำนวน 43 ชนิด ที่บริโภคกันในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ผักเชียงดามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด และยังเป็นผักที่มีวิตามินอีสูงที่สุดอีกด้วย[7]
  2. ยอดผักเชียงดาสดจะมีรสมัน หากนำมาต้มให้สุกจะมีรสหอมหวาน ชาวบ้านทางภาคเหนือจึงนิยมปลูกผักเชียงดาไว้ตามริมรั้ว โดยนิยมนำใบอ่อนและยอดอ่อน มารับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก ลาบ ส้มตำ หรือนำมาทำแกง แกงส้ม แกงแค แกงเขียว แกงโฮะ แกงขนุน แกงเลียงกับปลาแห้ง หรือใส่ในต้มเลือดหมู แกงใส่ผักหวาน แกงรวมกับผักชะอม ผักกูด ผักเฮือด ฯลฯ หรือนำมาผัดน้ำมันหอย ทำผัดผักเชียงดา ผัดร่วมกับมะเขือ ฯลฯ แต่โดยปกติแล้วจะไม่ผัดผักเชียงดาล้วน ๆ เพราะจะมีรสขม (ผักเชียงดาในหน้าแล้งจะอร่อยกว่าในหน้าฝน เพราะผักเชียงดาในหน้าฝนจะมีรสเฝื่อน ไม่ค่อยอร่อย)[1],[3],[4],[5]
  3. คุณค่าทางโภชนาการของผักเชียงดา 100 กรัม ประกอบไปด้วย พลังงาน 60 แคลอรี, ความชื้น 82.9%, โปรตีน 5.4 กรัม, ไขมัน 1.5 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 6.2 กรัม, ใยอาหาร 2.5 กรัม, เถ้า 1.6 กรัม, วิตามินเอ 5,905 หน่วยสากล, วิตามินบี 1 981 มิลลิกรัม, วิตามินบี 2 0.32 มิลลิกรัม, วิตามินบี 3 1 มิลลิกรัม, วิตามินซี 153 มิลลิกรัม, แคลเซียม 78 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 2.3 มิลลิกรัม, ฟอสฟอรัส 98 มิลลิกรัม[3]
  4. ในปัจจุบันเริ่มมีเกษตรกรรวบรวมผักเชียงดามาปลูกในแปลงปลูกขนาดใหญ่ เพื่อเก็บยอดไว้ขายในเชิงการค้าแล้ว[1]
  5. ในปัจจุบันบริษัทยาของประเทศญี่ปุ่นได้ผลิตพืชชนิดนี้เป็นชาชงสมุนไพร หรือในรูปแบบแคปซูลหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อรักษาเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยยับยั้งการดูดซึมของกลูโคส[2] ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แคปซูลผักเชียงดาจะมีวางจำหน่ายในร้านผลิตภัณฑ์สุขภาพทั่วไป โดยในรูปแบบผงแห้งจะมีการควบคุมมาตรฐานของ gynemic acid ต้องมีไม่ต่ำกว่า 25% คือใน 1 แคปซูลส่วนใหญ่แล้วจะมีผงยาเชียงดาอยู่ประมาณ 500 มิลลิกรัม[10]

ผักจินดา

หมายเหตุ : ควรเลือกรับประทานผักเชียงดาใบอ่อน ที่ไม่ผ่านความร้อน จึงจะได้ประโยชน์ด้านคุณค่าทางอาหารมากที่สุด แต่ถ้าต้องการให้ระบบขับถ่ายในร่างกายดีขึ้น ควรรับประทานผักเชียงดาใบแก่[2]

ข้อควรระวัง : การรับประทานผักเชียงดาอาจทำให้เกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อใช้ร่วมกับยาลดระดับน้ำตาล ดังนั้นจึงควรแจ้งแพทย์ผู้รักษาให้ทราบเมื่อใช้ผักเชียงดาร่วมในการรักษาเบาหวาน[6]

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด.  (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).  “ผักเชียงดา”.  หน้า 103.
  2. แก้วปัญญา, สถาบันถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา.  “ภูมิปัญญา กินผักเชียงดา ผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพต้านอนุมูลอิสระ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : kaewpanya.cttc.rmutl.ac.th.  [19 ส.ค. 2014].
  3. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร.  “ผักเชียงดา”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/.  [19 ส.ค. 2014].
  4. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน).  “ผักเชียงดา”.  อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 13 : สมุนไพรแต่งสี กลิ่น รส. (สมพร ภูติยานันต์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [19 ส.ค. 2014].
  5. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.).  “เชียงดา ผักสวนครัวช่วยรักษาโรค”.  อ้างอิงใน : มูลนิธิสุขภาพไทย.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.thaihealth.or.th.  [19 ส.ค. 2014].
  6. นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 150 มิถุนายน 2556. (เก้า มกรา).
  7. จุฬาวิทยานุกรม.  (รพงษ์ เบศรภิญโญวงศ์).  “ผักเชียงดา”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.thaihealth.or.th.  [19 ส.ค. 2014].
  8. ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดเชียงใหม่, กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ข่าวประชาสัมพันธ์ปีที่ 4 ฉบับที่ 7 ประจำเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2555.
  9. งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน, โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ.  “ผักเชียงดา”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.wattano.ac.th.  [19 ส.ค. 2014].
  10. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 379 คอลัมน์ : เรื่องเด่นจากปก.  (ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร).  “๓ สมุนไพร พิชิต โรคเบาหวาน”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [19 ส.ค. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by www.biogang.net (by hydra), www.gotoknow.org (by KRUDALA), www.banmuang.co.th, www.wattano.ac.th, mis.hrdi.or.th, www.orga.asia)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ผักเชียงดา
  • 2 ลักษณะของผักเชียงดา
  • 3 สรรพคุณของผักเชียงดา
  • 4 ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของผักเชียงดา
  • 5 ประโยชน์ของผักเชียงดา
  • 6 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ