20 สรรพคุณและประโยชน์ของลูกไหน (ลูกพรุน, ลูกพลัม)

พลัม

ไหน หรือ พลัม ภาษาอังกฤษ Plum

พลัม ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus domestica L. จัดอยู่ในวงศ์ ROSACEAE ในตระกูลพรุน เช่นเดียวกับ ลูกท้อ บ๊วย เชอร์รี่ อัลมอนด์ และนางพญาเสือโคร่ง และมีถิ่นกำเนิดจากบริเวณคอเคซัสในเอเชียตะวันตก[3]

โดยทั่วไปแล้วเราจะเรียกว่าผลไม้ชนิดนี้ว่า “พลัม” หรือ “ลูกพลัม” (ทับศัพท์) แต่สำหรับคนจะเรียกว่า “ไหน” หรือ “ลูกไหน” ซึ่งเป็นชื่อไทย ส่วนลูกพลัมแห้งเราจะเรียกว่า “พรุน” หรือ “ลูกพรุน” ซึ่งอาจเรียกตามชื่อสกุล (Prunus) หรือตามชื่อวิทยาศาสตร์ (Prunus domestica L.)[3]

พลัมมีอยู่ด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ โดยมี 3 ชนิดที่สำคัญได้แก่ Prunus domestica, Prunus salicina และ Prunus americana พลัมหลาย ๆ ชนิดจะผสมตัวเองได้ไม่ดี จำเป็นต้องมีการปลูกร่วมกันหลาย ๆ สายพันธุ์เพื่อช่วยในการผสมเกสร เพราะจะทำให้เกิดการติดผลที่ดีขึ้น สำหรับสายพันธุ์ที่ปลูกได้ดีในประเทศก็มีอยู่หลายสายพันธุ์เช่นกัน โดยเฉพาะพลัมสายพันธุ์ญี่ปุ่น[1],[3] เช่น

ลักษณะของต้นพลัม

ต้นพลัม

ใบพลัม

ดอกต้นพลัม

ดอกพลัม

ไหน

พลัม

ลูกไหน

ลูกไหนแดง

เมล็ดพลัม

พลัมสามารถแบ่งตามการใช้ประโยชน์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ พลัมชนิดที่ใช้รับประทานแบบสด ๆ (ลูกพรุนสด) เหมือนผลไม้ทั่วไป ได้แก่พันธุ์กัลฟ์โกล พันธุ์กัลฟ์รูบี้ พันธุ์เหลืองบ้านหลวง และพันธุ์แดงบ้านหลวง และอีกชนิดคือพลัมสำหรับแปรรูป เช่น การนำมาทำเป็นแยมพลัม น้ำลูกพลัม นำมาดอง หรือนำมาแช่อิ่ม ได้แก่ พันธุ์จูหลี่[2]

ประโยชน์ของลูกพลัม

  1. ประโยชน์ลูกพรุน ช่วยในการชะลอวัย ชะลอความแก่ ป้องกันโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ เพราะพรุนเป็นผลไม้ที่มีไขมันต่ำและมีสารอาหารสำคัญสูงอยู่หลายชนิด เช่น วิตามิน เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรต โพแทสเซียม[3],[4] ซึ่งกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาได้ระบุว่าผลไม้ที่ช่วยชะลอความแก่ได้ดีที่สุดคือ “ลูกพรุนแห้ง” หรือ “ลูกพรุนอบแห้ง” โดยสูงกว่าลูกเกด ส้ม แอปเปิล ลูกแพร์ เกรปฟรุต บลูเบอร์รี ฯลฯ[4]
  2. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เนื่องจากลูกพรุนมีสารคริปโตคลอโรจีนิกในปริมาณมาก ซึ่งสารชนิดนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ ซึ่งงานวิจัยของ Tufts University in Boston ระบุให้พรุนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงเป็นอันดับ 1 โดยวัดจากค่า ORAC ของพรุน มี 5,770 หน่วยต่อกรัม และยังสูงเป็น 2 เท่าของผลไม้ที่มีค่า ORAC อันดับต้น ๆ[3]
  3. ช่วยป้องกันและต่อต้านมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ป้องกันดีเอ็นเอถูกทำลาย ช่วยลดการอักเสบและช่วยป้องกันมะเร็ง ด้วยการยับยั้งการกลายพันธุ์และสารก่อมะเร็ง เพราะพรุนมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิดและมีอยู่ในปริมาณมาก มีธาตุเหล็กและวิตามินเอ และมีปริมาณของสารโพลีฟีนอลสูงถึง 282-922 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งสารโพลีฟีนอลที่พบมากในลูกพรุนคือ กรดไฮดรอกซีซินนามิก ที่อยู่ในรูปของกรดนีโอคลอโรเจนิกและกรดคลอโรจีนิก นอกจากนี้ยังมีโปรแอนโธไซยานิดิน และฟลาโวนอยด์พิกเมนต์ ดังนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์จากลูกพรุนเป็นประจำจะช่วยป้องกันมะเร็งได้เป็นอย่างดี[3]
  4. ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ช่วยรักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยป้องกันไขมันไม่ให้ถูกทำลาย เนื่องจากเซลล์เมมเบรน เซลล์สมอง และโมเลกุลของคอเลสเตอรอลล้วนประกอบไปด้วยไขมันเป็นส่วนใหญ่ ที่ง่ายต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ[3]
  5. ลูกพรุนอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่มีความสำคัญในสร้างเม็ดเลือด ช่วยบำรุงเลือด ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง แก้อาการอ่อนเพลีย สมาธิสั้น การเรียนรู้ลดลง และช่วยในการดูดซึมของธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย และยังช่วยในเรื่องของภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดไปกับประจำเดือนด้วย[3],[4]
  1. ลูกพรุนมีวิตามินอีที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ในร่างกาย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ยืดอายุของเม็ดเลือดแดง[5]
  2. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด (LDL) และช่วยลดระดับความดันโลหิต ให้ประโยชน์ต่อหลอดเลือดหัวใจ จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี[3],[5]
  3. พรุนมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำมาก จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้เป็นเบาหวาน และยังมีงานวิจัยที่ระบุว่าพรุนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้[3] แม้ว่าลูกพรุนจะมีความหวาน โดยประกอบไปด้วยน้ำตาลหลายชนิด เช่น ฟรุกโตส ซอร์บิทอล แต่ก็ไม่ทำให้ระดับของน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างเร็ว[5]
  4. การรับประทานลูกพรุนเป็นประจำในปริมาณมากจะช่วยในการลดน้ำหนักได้ เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ มีแคลอรีน้อย และยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ[3] อีกทั้งยังมีเส้นใยอาหารจำนวนมาก ทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้และชนิดที่ละลายน้ำไม่ได้ ซึ่งมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้[5]
  5. ผลไม้ที่มีสีแดง-ม่วง เช่น แอปเปิล องุ่น สตรอว์เบอร์รี แครนเบอร์รี แบล็กเบอร์รี รวมไปถึงลูกพรุน จะเข้าไปช่วยบำรุงการทำงานของเซลล์สมอง หากใครอยากฉลาดก็ให้รับประทานผลไม้ที่มีสีนี้กันเยอะ ๆ[3]
  6. ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เพราะลูกพรุนมีวิตามินอีและแร่ธาตุที่ช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อยามเครียด[4]
  7. พรุนเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม การรับประทานลูกพรุนจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้[3]
  8. ช่วยบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น เนื่องจากลูกพรุนมีวิตามินที่ช่วยบำรุงตาในส่วนของจอรับภาพ และยังมีวิตามินบีที่ช่วยบำรุงเส้นประสาทที่เลี้ยงลูกตา[4],[5]
  9. ช่วยเสริมสร้างและบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง[2],[3] ช่วยทำให้กระดูกผุช้าลง โดยพบว่าสตรีที่รับประทานลูกพรุนแห้งวันละ 1 ขีดต่อติดกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่ามีการสร้างมวลมากขึ้นอย่างชัดเจน[4]
  10. ช่วยป้องกันอาการท้องผูก เพราะพรุนมีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารและมีฤทธิ์ในการระบายท้อง จึงช่วยบำบัดอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย[3],[4]
  11. ลูกพรุนอุดมไปด้วยโพแทสเซียม วิตามินอี ธาตุเหล็ก และเส้นใยอาหาร ที่ช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผิวพรรณดูสดใส ทำให้ผิวพรรณดูเนียนนุ่มชุ่มชื้น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร จึงช่วยคงความเป็นหนุ่มเป็นสาว เพราะเมื่อคนเราพ้นช่วงสดใสของชีวิต คือช่วงอายุประมาณ 25 ปี ร่างกายจะเสื่อมโทรมลง ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มก็จะเริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณก็เริ่มซีดโทรม ไขมันก็เริ่มเข้าไปสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ธาตุเหล็กที่มีมากในลูกพรุนจะช่วยในเรื่องนี้ได้[3],[5]
  12. ลูกพรุนมีวิตามินบี 2 ที่นอกจากจะช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงแล้ว ยังช่วยในกระบวนการสร้างและช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวหนัง เล็บ และผม[5]
  13. สำหรับผู้ที่เป็นตะคริวบ่อย ๆ ควรรับประทานอาหารหรือผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ โดยหนึ่งในผลไม้ที่อุดมไปด้วยแคลเซียมนั้นก็คือ “ลูกพรุน[3]
  14. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนของสตรี เพราะลูกพรุนอุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่เป็นตัวช่วยควบคุมฮอร์โมนให้เป็นปกติและช่วยบรรเทาอาการปวด แต่ต้องรับประทานก่อนมีอาการปวดประจำเดือนประมาณ 1-2 วัน[4]
  15. ช่วยลดอาการอักเสบและอาการเจ็บปวดต่าง ๆ[4]

คุณค่าทางโภชนาการของลูกพลัม ต่อ 100 กรัม

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

คุณค่าทางโภชนาการของลูกพรุนอบแห้ง ต่อ 100 กรัม

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

ข้อควรระวังในการรับประทานลูกพลัม

เอกสารอ้างอิง
  1. ธนาคารพันธุกรรมพืช 50 ปี สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.  อ้างอิงใน: สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร (โอฬาร ตัณฑวิรุฬห์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rdi.ku.ac.th.  [6 พ.ย. 2013].
  2. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน).  อ้างอิงใน: กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th.  [6 พ.ย. 2013].
  3. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th.  [6 พ.ย. 2013].
  4. บทความเผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียง โดยสำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา.  “หลากประโยชน์ของลูกพรุน“.  โดยนายสุดสายชล หอมทองภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.uniserv.buu.ac.th.  [6 พ.ย. 2013].
  5. วิชาการดอตคอม.  [ออนไลน์].  “น้ำลูกพรุนมากคุณประโยชน์“.  เข้าถึงได้จาก: www.vcharkarn.com.  [6 พ.ย. 2013].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by camillo.kokkodrillo, steffi’s, Sami Anttila, DarrenU, diggleken, Valter Jacinto | Portugal, Giancarlo Sibilio, celiorod, naturgucker.de, nutrinfo)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 พลัม
  • 2 ลักษณะของต้นพลัม
  • 3 ประโยชน์ของลูกพลัม
  • 4 คุณค่าทางโภชนาการของลูกพลัม ต่อ 100 กรัม
  • 5 คุณค่าทางโภชนาการของลูกพรุนอบแห้ง ต่อ 100 กรัม
  • 6 ข้อควรระวังในการรับประทานลูกพลัม
  • 7 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ