19 วิธีมีลูก รักษาภาวะมีบุตรยาก มีลูกยาก อยากมีลูกทำไงดี

อยากมีลูก

การที่คู่สมรสจะมีลูกยากหรือง่ายนั้น มักจะเกี่ยวกับอายุของฝ่ายหญิงและความถี่ในการร่วมเพศ เมื่อมีอายุมากขึ้นและร่วมเพศน้อยลง โอกาสตั้งครรภ์ก็จะน้อยลงตามไปด้วย ยิ่งถ้าร่วมเพศไม่ตรงกับช่วงตกไข่ด้วยแล้วก็จะไม่ทำให้ตั้งครรภ์ได้ เพราะไข่ที่ตกแล้วจะอยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น นอกจากนี้ถ้าฝ่ายหญิงมีโรคหรือความผิดปกติเกี่ยวกับมดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอกมดลูก ฯลฯ ก็จะยิ่งทำให้โอกาสมีลูกเองตามธรรมชาติลดลง

สำหรับฝ่ายชายนั้น อายุที่สูงขึ้นก็อาจจะมีผลต่อการมีลูกยากบ้างเล็กน้อย ถ้ามีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ ก็อาจมีผลต่อการแข็งตัวขององคชาตและความผิดปกติของการหลั่งอสุจิได้ หรือผู้ที่เคยเป็นคางทูมหรือลูกอัณฑะอักเสบก็อาจจะมีอสุจิน้อยลง โอกาสที่ภรรยาจะตั้งครรภ์ก็มีน้อยลง นอกจากนี้การที่ฝ่ายชายมักสูบบุหรี่และดื่มสุรา ก็จะมีผลต่อปริมาณอสุจิและความแข็งแรงของตัวอสุจิด้วย จึงทำให้มีลูกยากขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับวัยรุ่นที่นอกจากจะไม่มีโรคประจำตัวแล้วยังมีเพศสัมพันธ์กันบ่อย ฝ่ายหญิงจึงมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ง่ายมากทั้ง ๆ ที่ยังไม่พร้อม

วิธีการมีลูก

ในกรณีที่คุณมีภาวะมีบุตรยาก ให้อ่านคำแนะนำในการรักษาในหัวข้อถัดไปครับ แต่ถ้าหากเป็นกรณีที่ยังรอการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติและคู่สมรสยังมีอายุไม่มาก ถ้าอยากมีลูกได้สมใจหวังก็ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ครับ

  1. วางแผนมีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย ผู้หญิงที่มีลูกดกส่วนใหญ่แล้วจะแต่งงานเร็ว ซึ่งตรงกันข้ามกับคู่ที่แต่งงานช้า โดยช่วงวัยที่เหมาะสมและมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มาก คือ ช่วงอายุ 20-30 ปี เนื่องจากร่างกายมีความสมบูรณ์เต็มที่ ถ้าตั้งครรภ์ได้ก็จะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้น้อยมาก
  2. ร่วมเพศให้ถูกวัน การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงไข่ตกจะทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากที่สุด โดยปกติแล้วไข่จะตกในช่วงประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนที่ประจำเดือนรอบใหม่จะมา ถ้าสตรีมีรอบเดือนมาสม่ำเสมอและมีรอบเดือนมาทุก ๆ 28 วันเสมอ วันไข่ตกก็อยู่ในช่วงวันที่ 14 ของรอบเดือน (นับวันที่ประจำเดือนมาวันแรกเป็นวันที่ 1 ของรอบเดือน) ดังนั้น ฝ่ายชายจึงสามารถเริ่มมีเพศสัมพันธ์ในช่วงก่อนวันตกไข่ได้ประมาณ 2 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 12 ของรอบเดือน เพราะอสุจิจะมีชีวิตรอผสมไข่อยู่ได้ประมาณ 2 วันก่อนการตกไข่ (มีคำแนะนำว่าให้มีเพศสัมพันธ์ในวันที่ 13, 15 และ 17 ของรอบเดือน เพราะเป็นช่วงวันไข่ตก โดยดักทั้งหน้า กลาง และหลังวันไข่ตก) ส่วนในกรณีที่มีรอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือมาค่อยตรงเวลา การคำนวณวันไข่ตกก็อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้ แต่เราก็มีวิธีหาวันตกไข่ได้อย่างแม่นยำหลากหลายวิธีด้วยกันครับ เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิ, การตรวจมูกที่ปากมดลูก, การใช้ชุดตรวจการไข่, การตรวจน้ำลาย ฯลฯ สามารถอ่านเรื่อง “วันไข่ตก” เพิ่มเติมได้ที่บทความ 8 วิธีหาวันไข่ตก & คำนวณวันไข่ตก
  3. ความถี่ในการร่วมเพศ แม้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ทุกวันจะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้จริง แต่ก็อาจจะเป็นการเพิ่มความเครียดและทำให้ปริมาณของอสุจิลดน้อยลงด้วย โดยทั่วไปจึงมีคำแนะนำให้มีเพศสัมพันธ์วันเว้นวันหรือ 2 วันครั้ง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากกว่า เพราะอสุจิที่ปล่อยออกมาจะมีความสมบูรณ์แข็งแรงและแหวกว่ายเข้าไปได้ถึงปลายทาง เมื่อทราบดังนี้แล้วก็อย่าหักโหมมากเกินไปละครับ
  4. ท่วงท่าในการร่วมเพศ มีความเชื่อที่ว่าท่ามิชชันนารี (Missionary) หรือท่าที่ผู้หญิงนอนหงายอยู่ด้านล่าง ส่วนฝ่ายชายอยู่ด้านบน เป็นท่าที่สามารถมีลูกได้ง่ายที่สุด เนื่องจากฝ่ายชายสามารถสอดใส่เข้าไปได้ลึกและหลั่งน้ำอสุจิเข้าไปที่ปากมดลูกได้โดยตรง ทั้งยังเป็นท่าที่ฝ่ายหญิงได้พักผ่อนสบาย ๆ ไม่เกร็งตัว หลังมีเพศสัมพันธ์แนะนำให้ฝ่ายหญิงนอนหงายโดยเอาหมอนหนุนสะโพกให้ยกสูงขึ้นด้วย ค้างเอาไวอย่างน้อยประมาณ 10-15 นาที เพื่อช่วยให้อสุจิวิ่งไปผสมกับไข่ได้ดียิ่งขึ้น
  5. การถึงจุดสุดยอดของฝ่ายหญิง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น เพราะเมื่อฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอด จะมีการหลั่งน้ำเมือกที่ช่วยนำอสุจิให้ไปถึงไข่ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งช่องคลอดยังมีการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อในท้องน้อยหลายครั้ง จึงมีผลทำให้เกิดแรงดูดน้ำอสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกได้มากขึ้นด้วย
  6. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ผู้หญิงที่มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ การตกไข่และระดับฮอร์โมนเพศจะสม่ำเสมอและมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากกว่าผู้ที่อ้วนหรือผอมมากเกินไป โดยมีงานวิจัยที่ระบุว่า การมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะใช้เวลาเป็น 2 เท่าของคนน้ำปกติจึงจะตั้งครรภ์ได้ แต่ถ้าผอมเกินไปก็จะใช้เวลามากถึง 4 เท่าของคนน้ำหนักปกติจึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้ ส่วนในกลุ่มผู้ชายมีงานวิจัยที่พบว่า ผู้ที่อ้วนจะมีจำนวนอสุจิลดลง 22% และมีความเข้มข้นลดลง 24%
  7. ลดความเครียด ในกรณีของฝ่ายหญิง ความเครียดจะรบกวนการทำงานของฮอร์โมนในระบบสืบพันธุ์ ทำให้ฝ่ายหญิงประจำเดือนขาดหายไปหรือมีประจำเดือนผิดปกติ เกิดภาวะไม่ตกไข่ ทำให้ไข่เจริญเติบโตได้ไม่สมบูรณ์ และทำให้ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วฝังตัวที่มดลูกได้ยากขึ้น ส่วนฝ่ายชายนั้นระดับฮอร์โมน Testosterone และจำนวนอสุจิลดต่ำลง มีการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ดังนั้นในช่วงที่มีความเครียดการผลิตอสุจิและการตกไข่จะถูกยับยั้ง ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันถ้าสามารถบรรเทาอาการหรือผ่อนคลายความเครียดได้จะช่วยเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้น
  8. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ) เป็นประจำจะลดโอกาสการมีลูกลงถึงร้อยละ 50 เพราะจะทำให้ปริมาณของอสุจิลดลง ไม่แข็งแรง เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ทั้งยังเป็นสาเหตุลดการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นต่อความแข็งแรงของอสุจิ อย่างธาตุสังกะสี ส่วนการสูบบุหรี่นั้นจะทำให้ฮอร์โมนผิดปกติ อสุจิมีจำนวนลดลง อสุจิไม่มีคุณภาพ และลดการตกไข่ของฝ่ายหญิง
  9. ดื่มกาแฟให้น้อยลง ในผู้ที่มีลูกยากควรจะได้รับคาเฟอีนต่ำกว่าวันละ 200-250 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1 แก้วกาแฟ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ระบุว่า การได้รับคาเฟอีนเกินกว่าวันละ 300 มิลลิกรัม จะเพิ่มโอกาสการแท้งบุตรได้
  10. ระวังอย่าให้บริเวณอัณฑะร้อน เช่น การอาบน้ำอุ่นหรือแช่น้ำร้อนเป็นเวลานาน ๆ, การนั่งมอเตอร์ไซค์ที่ตากแดดนาน ๆ, การใส่กางเกงในรัดแน่น, การใส่โทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกง ฯลฯ เพราะอัณฑะของฝ่ายชายจะผลิตอสุจิได้สูงสุดเมื่อมีอุณหภูมิเย็นกว่าอุณหภูมิร่างกายปกติ และจะสร้างอสุจิได้น้อยลงเมื่ออยู่ในภาวะที่ร้อนอบอ้าว
  11. หลีกเลี่ยงการใช้เจลหล่อลื่นในขณะร่วมเพศ การใช้เจลหล่อลื่นที่มีขายอยู่ทั่วไป อาจสามารถลดการเคลื่อนไหวของอสุจิลงร้อยละ 60-100 จึงทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้น้อยลง
  12. ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง, อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและเหมาะสม, รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่, ระวังไม่ให้ขาดสารอาหาร (ที่คนไทยขาดกันมากก็คือ ธาตุเหล็ก, ไอโอดีน, วิตามินดี) และควรทานโฟลิคทุกวันก่อนคิดที่จะมีลูกอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เด็กในครรภ์พิการ, กินกรด-ด่างอย่างสมดุล เช่น ถ้ากินเนื้อ (กรด) มากเกินไป ก็ให้กินอาหารที่มีด่างเสริม เช่น ผักใบเขียว นมจืดไขมันต่ำ, ระวังสารเคมีที่พิษ เช่น สารตะกั่ว ควันเสีย ยาฆ่าแมลง ฯลฯ

ภาวะมีบุตรยาก

ภาวะมีบุตรยาก (Infertility) คือ ภาวะที่คู่สมรสไม่สามารถตั้งครรภ์ได้หลังจากพยายามมีเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 วัน โดยไม่ได้คุมกำเนิดมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะต้องรอให้ครบ 1 ปีก่อนนะครับแล้วจึงค่อยมาพบแพทย์ เพราะในความเป็นจริงนั้นบางคู่ก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าตนเองมีปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้มีลูกได้ยาก เช่น ฝ่ายหญิงมีสุขภาพไม่แข็งแรง มีอายุมากกว่า 35 ปี มีรอบเดือนไม่สม่ำเสมอ มีประวัติเคยผ่าตัดหรือมีการอักเสบในช่องท้องมาก่อน หรือในฝ่ายที่รู้ตัวว่ามีสุขภาพไม่แข็ง เคยมีอุบัติเหตุหรือมีการติดเชื้อรุนแรงที่อวัยวะเพศมาก่อน ฯลฯ คุณก็สามารถมาพบแพทย์เพื่อขอรับการปรึกษาได้ก่อน 1 ปีครับ

ทั้งนี้ภาวะมีบุตรยากไม่ขึ้นอยู่กับว่าเป็นคนเชื้อชาติใด ไม่ว่าจะเป็นไทย จีน อินเดีย หรือยุโรปก็ตาม ก็พบภาวะมีบุตรยากได้ทั้งนั้น โดยที่ผ่านมานั้นได้มีการศึกษามากมายที่พบว่า “การมีลูกยากนั้นจะเกิดขึ้นจากฝ่ายหญิงมากกว่าประมาณ 40-50% ในขณะที่ฝ่ายชายจะพบได้น้อยกว่าประมาณ 25-30% และเกิดทั้งจากฝ่ายชายและฝ่ายหญิงร่วมกัน 20% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 15% จะเป็นกรณีที่ตรวจไม่พบเจอสาเหตุทั้งจากฝ่ายชายและฝ่ายหญิงด้วยวิธีการตรวจพื้นฐาน” ดังนั้นการประเมินภาวะมีบุตรยากจึงจำเป็นต้องประเมินจากทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม เพราะอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่ายเลยก็ได้ แต่โดยเฉลี่ยแล้วมักจะพบผู้มีภาวะมีบุตรยากได้ประมาณ 10-15% ของคู่สมรสทั้งหมดหรือของประชากรที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (ปกติแล้วการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากไม่มีการคุมกำเนิด จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ประมาณ 50% ภายในเวลา 5 เดือน และการตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้นเป็น 80-90% ในเวลา 1 ปี) ทั้งนี้ภาวะการมีบุตรยากจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

มีลูกยากทําไงดี

การปฏิสนธิระหว่างอสุจิกับไข่จะเกิดขึ้นได้จะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เช่น ฝ่ายชายต้องมีเชื้ออสุจิที่แข็งแรง เคลื่อนไหวได้ดี และมีจำนวนมากพอ ส่วนฝ่ายหญิงจะต้องมีไข่ซึ่งเกิดจากรังไข่ที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ทั้งก่อนและหลังไข่ตก การตกไข่จะต้องเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ท่อนำไข่จะต้องมีความสมบูรณ์ เมื่อเชื้ออสุจิพบกับไข่ที่ท่อนำไข่ ตัวอ่อนที่ได้รับการผสมจะใช้เวลาเดินทางไปตามท่อนำไข่เข้าไปถึงโพรงมดลูกประมาณ 5-7 วัน ต่อจากนั้นจะมีการฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูกในวันที่ 7-9 ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฝังตัวจึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น มูกที่ปากมดลูกต้องมีปริมาณที่พอเหมาะและมีคุณภาพดี, ปากมดลูก โพรงมดลูก และท่อนำไข่ จะต้องไม่มีพยาธิหรือมีสภาพที่เป็นตัวขัดขวางต่อการเดินทางของตัวอ่อน เช่นเดียวกับสภาพภายในมดลูก จะต้องไม่มีเนื้อเยื่องอกมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกจะต้องสมบูรณ์แข็งแรง มีความหนาพอที่จะรองรับการฝังตัวและการเจริญเติบโตของตัวอ่อนได้

สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก

สาเหตุของการมีบุตรยากนั้นสามารถเกิดได้ทั้งฝ่ายกับชายหรือฝ่ายกับหญิงเพียงฝ่ายเดียวหรือเกิดจากทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกันก็ได้ (คู่สมรสจำนวนไม่น้อยที่สาเหตุการมีบุตรยากมาจากความผิดปกติของทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกัน) หรืออาจตรวจไม่พบสาเหตุความผิดปกติใด ๆ เลยก็มี

หมายเหตุ : 25% ของคู่สมรสที่มีบุตรยากมักมีสาเหตุมากกว่าหนึ่งอย่างขึ้นไป

การตรวจวินิจฉัยภาวะการบุตรยาก

แพทย์ผู้ทำการรักษาจะทำการวินิจฉัยทั้งจากฝ่ายชายและฝ่ายหญิงโดยการซักถามประวัติทางการแพทย์เพื่อหาสาเหตุเบื้องต้นก่อน จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกายเพิ่มเติมและตรวจภายในของฝ่ายหญิง แล้วส่งตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อสาเหตุของการเกิดภาวะมีบุตรยาก โดยสามารถจำแนกการส่งตรวจได้ดังนี้

การประเมินภาวะมีบุตรยากในฝ่ายชาย

ภาวะมีบุตรยากของฝ่ายนั้นมีหลากหลาย และอาจมีบางกรณีที่หาสาเหตุชัดเจนไม่ได้ อย่างไรก็ตามการรักษาภาวะมีบุตรยากของฝ่ายนั้นก็สามารถทำให้สำเร็จได้ แม้ในกรณีที่หาสาเหตุไม่ได้ก็ตาม โดยสิ่งที่แพทย์จะตรวจนั้นมีดังนี้

การประเมินภาวะมีบุตรยากในฝ่ายหญิง

ในปัจจุบันมีวิธีการตรวจมากมายที่ช่วยประเมินภาวะมีบุตรยากของฝ่ายหญิงได้ ซึ่งในแต่ละรายอาจใช้วิธีการตรวจและการตรวจพิเศษแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมและอาจไม่จำเป็นต้องตรวจทั้งหมดครบทุกวิธีก็ได้ โดยสิ่งที่แพทย์จะตรวจนั้นมีดังนี้ครับ

เมื่อทำการตรวจเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะสามารถทราบถึงสาเหตุของการมีบุตรยากได้ และจะทำการรักษาโดยเริ่มจากการแก้ไขที่สาเหตุนั้นก่อน ในกรณีที่รักษาหรือผ่าตัดแก้ไขสำเร็จ คู่สมรสจะสามารถมีบุตรได้เองตามธรรมชาติ แต่หากแก้ไขแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ หรือในกรณีที่ฝ่ายหญิงมีอายุมากเกินไปจนไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ แพทย์ก็อาจจำเป็นต้องใช้วิธีการเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์อย่างการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ต่อไป

วิธีรักษาภาวะมีบุตรยาก

ทั้งนี้ความสำเร็จในการรักษาและโอกาสในการตั้งครรภ์จะขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอายุ ความผิดปกติและวิธีการที่ใช้ เมื่อคู่สมรสตัดสินใจเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก แพทย์จะเป็นผู้ช่วยพิจารณาว่าควรเลือกใช้วิธีใด เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์โดยคุ้มค่ากับเวลา ค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงจากการใช้ยาต่าง ๆ ให้มากที่สุด

ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้วมีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย เช่น อายุของคู่สมรส, การทำงานของรังไข่, ระยะเวลาในการเป็นหมัน (กรณีที่เป็นหมันและผ่าตัดแก้หมัน), การรักษาภาวะมีบุตรยากที่ได้รับมาก่อน (ถ้าเคยรักษามาแล้ว โอกาสสำเร็จก็ลดลง), คุณภาพของน้ำเชื้ออสุจิของฝ่ายชาย, คุณภาพของตัวอ่อน, การตอบสนองของการกระตุ้นการตกไข่, จำนวนตัวอ่อนที่ย้ายไปสู่โพรงมดลูก เป็นต้น ซึ่งในแต่ละคู่อาจมีปัจจัยหลายอย่างร่วมกันก็ได้

ปัจจัยที่ทำให้การรักษาภาวะมีบุตรยากล้มเหลว

หากล้มเหลวจากการรักษาวิธีหนึ่ง จะใช้วิธีอื่นแก้ไขภาวะมีบุตรได้หรือไม่

ภายหลังการแก้ไขสาเหตุการมีบุตรแล้ว หากคู่สมรสยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ด้วยวิธีธรรมชาติ การรักษาในขั้นตอนต่อไปจะขึ้นอยู่อายุของฝ่ายหญิง พยาธิสภาพต่าง ๆ ที่ตรวจพบทั้งจากฝ่ายชายและฝ่ายหญิง รวมถึงความสมบูรณ์ของเชื้ออสุจิ ในกรณีที่ไม่ตั้งครรภ์ภายหลังจากการผ่าตัดแก้หมันนานกว่า 6 เดือน แพทย์มักจะแนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้วมากกว่าผ่าตัดแก้หมันซ้ำ เนื่องจากท่อนำไข่มักจะสั้นมากอยู่แล้วและมักมีความผิดปกติในผิวท่อนำไข่ อีกทั้งอัตราความสำเร็จจากการผ่าตัดแก้ไขก็มีต่ำมากด้วย ส่วนในรายที่มีสาเหตุมาจากโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ มักจะรักษาภาวะมีบุตรยากไปตามพยาธิสภาพที่พบ ในรายที่มีไม่ร้ายแรงหรือมีพยาธิสภาพของโรคเพียงเล็กน้อย อาจจะเริ่มจากการให้ตั้งครรภ์เองตามธรรมชาติหรือทำการผสมเทียม แต่หากไม่ประสบความสำเร็จ แพทย์มักจะแนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้วเป็นวิธีที่สุดท้าย และในกรณีที่คู่สมรสตรวจไม่พบสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก แพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยการทานยากระตุ้นการตกไข่ร่วมกับการนับวันตกไข่เพื่อมีเพศสัมพันธ์, การผสมเทียม และทำเด็กหลอดแก้ว ไปตามลำดับ

ผลข้างเคียงจากการแก้ไขภาวะมีบุตรยาก

โดยทั่วไปแล้วการแก้ไขภาวะมีบุตรยากจะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนได้ไม่เกิน 1% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา เช่น กรณีที่ต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติของท่อนำไข่ / ผ่าตัดรักษาถุงน้ำรังไข่ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ, การบาดเจ็บต่ออวัยวะข้างเคียง, การเสียเลือดในขณะผ่าตัด, การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด, หลังการผ่าตัดอาจเกิดการตีบตันของท่อนำไข่ได้ใหม่อีกครั้ง และในบางรายพบว่าอาจเกิดการตั้งครรภ์ที่บริเวณท่อนำไข่ที่ได้รับการผ่าตัดแก้ไข, มีถุงน้ำรังไข่เกิดขึ้นได้ใหม่ภายหลังการผ่าตัด ฯลฯ ดังนั้น หลังการผ่าตัด คู่สมรสจึงต้องติดตามการรักษาเป็นระยะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะดังกล่าว

กรณีที่ผสมเทียม (IUI) / ทำกิ๊ฟท์ (GIFT) / ทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) อาจมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้เช่นกัน ที่พบได้บ่อยคือการตั้งครรภ์มากกว่า 1 คน หรือการตั้งครรภ์แฝด โดยการผสมเทียม (IUI) จะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้น้อยกว่าวิธีอื่น ๆ แต่ในกรณีที่ทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) พบว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มเติม ดังนี้

  1. ไม่ตั้งครรภ์จากการรักษา ในขั้นตอนการกระตุ้นการตกไข่ รังไข่อาจไม่ตอบสนองต่อยา แพทย์จึงอาจเก็บไข่ไม่ได้ หรืออาจผสมแล้วแต่ไม่ได้ตัวอ่อน หรืออาจไม่ได้ย้ายตัวอ่อน เนื่องจากคุณภาพตัวอ่อนไม่ดีพอหรือมีความผิดปกติ แต่ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้จะพบได้น้อยมาก และมักจะพบในผู้หญิงที่มีอายุมากและเคยมีประวัติการผ่าตัดที่รังไข่มาแล้วหลายครั้ง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการตกเลือดและติดเชื้อในช่องท้องจากขั้นตอนการเก็บไข่อีกด้วย แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นได้นั้นก็มีน้อยกว่า 0.5%
  2. ภาวะแทรกซ้อนทีเกิดจากการใช้ยากระตุ้นไข่ ทำให้ร่างกายผลิตไข่ได้มากกว่าปกติและเกิดภาวะบวมน้ำทั่วร่างกาย (Ovarian hyperstimulation syndrome) หากได้รับการกระแทกแรง ๆ บริเวณท้องน้อยก็อาจเสี่ยงต่อรังไข่แตกได้ เนื่องจากรังไข่นั้นมีขนาดใหญ่มากกว่าปกติ โดยโอกาสเกิดภาวะบวมน้ำที่อยู่ในระดับอันตรายนั้นจะมีโอกาสเกิดขึ้นไม่เกิน 1% เฉพาะในกรณีที่การกระตุ้นไข่นั้นได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม ส่วนในรายที่บวมน้ำ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ในระดับที่ไม่รุนแรง ซึ่งเป็นภาวะที่สามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา (หรือเพียงแค่รักษาประคับประคองอาการ) จะพบได้ประมาณ 10-15% นอกจากนี้การฉีดยากระตุ้นไข่ตกยังอาจทำให้เกิดรอยแดงคันบริเวณที่ฉีด มีเลือดออกใต้ผิวหนัง และทำให้ผิวหนังเขียวช้ำได้ และในช่วงที่ฉีดยากระตุ้น ในบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด ท้องมีขนาดโตขึ้น ปวดหน่วงท้องน้อย มีตกขาวมากกว่าปกติ เป็นต้น
  3. ภาวะตั้งครรภ์แฝด โดยเฉพาะการตั้งครรภ์แฝดที่มากกว่า 2 คน ภาวะแทรกซ้อนนี้จะทำให้โอกาสในการคลอดบุตรก่อนกำหนดมีสูงขึ้นและเสี่ยงต่อการแท้งบุตร เพื่อลดการแทรกซ้อนดังกล่าว แพทย์จึงมักทำการใส่ตัวอ่อนกลับเข้าไปในโพรงมดลูกน้อยลงเพียง 1-2 ตัวอ่อน (ไม่เกิน 3 ตัวอ่อน) เพื่อลดโอกาสการตั้งครรภ์แฝด

การแก้ไขภาวะมีบุตรยากจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหรือไม่

จากการศึกษาพบว่าอัตราการเกิดมะเร็งไข่และมะเร็งเต้านมในสตรีที่เข้ารับการรักษาด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ที่มีความจำต้องใช้ยาฮอร์โมนในการกระตุ้นไข่ในปริมาณมากกว่าปกติ ไม่มีความแตกต่างจากกลุ่มประชากรปกติที่มีภาวะมีบุตรยากและไม่ได้รับการรักษาด้วยยา ส่วนในด้านการเกิดมะเร็งในทารกที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ พบว่าอัตราการเกิดมะเร็งต่าง ๆ ไม่แตกต่างจากทารกที่เกิดจากการปฏิสนธิตามธรรมชาติเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามภาวะการมีบุตรก็ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของการเกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ในสตรีอยู่แล้ว

ทารกที่เกิดจากวิธีแก้ไขภาวะมีบุตรยากจะปกติดีหรือไม่

ในปัจจุบันทารกที่คลอดจากการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการศึกษาติดตามพบว่า ทารกส่วนใหญ่มีสุขภาพแข็งดี แม้ในช่วงแรกเกิดทารกอาจจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าทารกปกติทั่วไปและเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดก็ตาม นอกจากนี้อัตราการเกิดความพิการแต่กำเนิดหรือทารกมีความผิดปกติก็ไม่แตกต่างจากทารกที่เกิดจากการปฏิสนธิตามธรรมชาติ และเมื่อติดตามทารกเหล่านี้จนเข้าโรงเรียนก็พบว่า ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ พฤติกรรมที่เหมาะสมตามวัย ระดับความจำ และการเข้าสังคม ไม่แตกต่างจากทารกที่เกิดจากการปฏิสนธิตามธรรมชาติเช่นกัน

ถ้าต้องการมีบุตรอีกคนจะทำอย่างไร

  1. ในกรณีที่ผ่าตัดแก้ไขสำเร็จและคู่สมรสสามารถมีบุตรได้เองตามธรรมชาติ ก็สามารถมีลูกได้อีกตามธรรมชาติเช่นกัน โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดแก้ไขซ้ำอีกครั้งก่อนตั้งครรภ์ครั้งต่อไป
  2. ในกรณีที่รักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีการผสมเทียมแล้วตั้งครรภ์ ในครั้งถัดไปแพทย์จะพิจารณาให้คู่สมรสลองพยายามตั้งครรภ์ตามธรรมชาติไปก่อน ถ้าพยายามแล้วไม่ตั้งครรภ์ แพทย์จะแนะนำให้ทำการผสมเทียม โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสม
  3. ในกรณีที่คู่สมรสตั้งครรภ์ ภายหลังจากการทำเด็กหลอดแก้ว แพทย์มักจะแนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้วเลยหรือใช้ตัวอ่อนของคู่สมรสที่แช่แข็งซึ่งเหลือจากการทำเด็กหลอดแก้วครั้งก่อน เพราะคู่สมรสดังกล่าวมักจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ด้วยวิธีการรักษาแบบอื่น

สรุป การรักษาภาวะมีบุตรสามารรักษาได้ครับ แต่จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาและความร่วมมือในการรักษาจากคู่สมรส ส่วนการจะพิจารณาใช้วิธีรักษาแบบใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของคู่สมรสที่ตรวจพบ ดังนั้น คู่สมรสจึงต้องมีความอดทนและเข้าใจถึงแนวทางการรักษาของแพทย์ เพื่อให้การรักษาภาวะดังกล่าวประสบความสำเร็จและเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาให้น้อยที่สุด

ภาพประกอบ : acelebrationofwomen.org, americanpregnancy.org, diaperchamp.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 อยากมีลูก
  • 2 วิธีการมีลูก
  • 3 ภาวะมีบุตรยาก
  • 4 สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก
  • 5 การตรวจวินิจฉัยภาวะการบุตรยาก
  • 6 การประเมินภาวะมีบุตรยากในฝ่ายชาย
  • 7 การประเมินภาวะมีบุตรยากในฝ่ายหญิง
  • 8 วิธีรักษาภาวะมีบุตรยาก
  • 9 ปัจจัยที่ทำให้การรักษาภาวะมีบุตรยากล้มเหลว
  • 10 หากล้มเหลวจากการรักษาวิธีหนึ่ง จะใช้วิธีอื่นแก้ไขภาวะมีบุตรได้หรือไม่
  • 11 ผลข้างเคียงจากการแก้ไขภาวะมีบุตรยาก
  • 12 การแก้ไขภาวะมีบุตรยากจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหรือไม่
  • 13 ทารกที่เกิดจากวิธีแก้ไขภาวะมีบุตรยากจะปกติดีหรือไม่
  • 14 ถ้าต้องการมีบุตรอีกคนจะทำอย่างไร
เรื่องที่น่าสนใจ