ไทรอยด์เป็นพิษ (ไฮเปอร์ไทรอยด์) อาการ, สาเหตุ, การรักษา ฯลฯ

ไฮเปอร์ไทรอยด์

โรคไฮเปอร์ไทรอยด์ หรือ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (ภาษาอังกฤษ : Hyperthyroidism หรือ Overactive Thyroid) คือ ภาวะที่ต่อมไทรอยด์* มีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากเกินไป กระตุ้นให้อวัยวะทั่วร่างกายมีการเผาผลาญสูงกว่าปกติ เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ๆ ต่างขึ้นตามมา เช่น เหนื่อยง่าย ใจสั่น ขี้ร้อนง่าย เหงื่อออกมาก หงุดหงิด นอนไม่หลับ น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วแบบผิดปกติ เป็นต้น

หมายเหตุ : ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland) เป็นต่อมไร้ท่อที่อยู่ด้านหน้าของลำคอ โดยอยู่ด้านข้างและใต้ต่อกระดูกอ่อนไทรอยด์ (Thyroid cartilage) มีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ ประกอบไปด้วย 2 กลีบใหญ่ คือ กลีบด้านซ้ายและด้านขวาที่แผ่ออกทางด้านข้างและคลุมพื้นที่บริเวณด้านหน้าและด้านข้างของหลอดลม

โดยต่อมไทรอยด์จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนสำคัญ 3 ชนิด คือ ไทรอกซีน หรือ ที4 (Thyroxine – T4), ไตรไอโอโดไทโรนีน หรือ ที3 (Triiodothyronine – T3) และแคลซิโทนิน (Calcitonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญน้อยกว่าฮอร์โมนไทรอกซีนและฮอร์โมนไตรไอโอโดไทโรนีนอย่างมาก ดังนั้น โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงฮอร์โมนไทรอยด์จึงมักหมายถึงเฉพาะฮอร์โมน 2 ชนิดนี้ เพราะฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีหน้าที่สำคัญมาก คือ ควบคุมดูแลการเผาผลาญหรือใช้พลังงานทั้งหมดจากอาหารและจากออกซิเจน หรือที่เรียกว่าเมตาบอลิซึม (Metabolism) ของเซลล์ต่าง ๆ เพื่อการเจริญเติบโต เพื่อการทำงาน เพื่อซ่อมแซมส่วนที่บาดเจ็บสึกหรอ และช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย (ส่วนฮอร์โมนแคลซิโทนินนั้นจะมีหน้าที่แค่ช่วยควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในระบบไหลเวียนของเลือดให้สมดุล) ซึ่งถ้าหากเกิดความผิดปกติจนทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป T4 และ T3 ก็จะถูกผลิตออกมามากจนกลายเป็นพิษ

ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมที่ทำงานโดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) และของสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งทั้งต่อมใต้สมองและสมองไฮโปทาลามัสยังควบคุมการทำงานของอวัยวะอื่น ๆ ด้วย เช่น ต่อมหมวกไต อัณฑะ และรังไข่ และยังมีความสัมพันธ์กับอารมณ์และจิตใจ ดังนั้น การทำงานของต่อมไทรอยด์ รวมทั้งภาวะผิดปกติต่าง ๆ ของต่อมไทรอยด์จึงมีความสัมพันธ์กับการทำงานและโรคต่าง ๆ ของอวัยวะเหล่านั้น รวมถึงสัมพันธ์กับอารมณ์และจิตใจด้วย

ไทรอยด์เป็นพิษ

โรคไทรอยด์เป็นพิษ, ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ ภาวะพิษจากไทรอยด์ (ภาษาอังกฤษ : Thyrotoxicosis) หมายถึง อาการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากภาวะมีฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินดังกล่าว ซึ่งอาจเกิดจากภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (ไฮเปอร์ไทรอยด์) หรือเกิดจากภาวะอื่น ๆ ก็ได้ และเป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อย โดยพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5-10 เท่า

คอพอกเป็นพิษ

โรคคอพอกเป็นพิษ (ภาษาอังกฤษ : Toxic goiter) หมายถึง ผู้ที่มีอาการคอพอก (ต่อมไทรอยด์โต) ซึ่งมีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน และเกิดภาวะพิษจากไทรอยด์

สาเหตุของไทรอยด์เป็นพิษ

สาเหตุของไทรอยด์เป็นพิษเกิดจากการที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ จนทำให้ร่างกายมีปริมาณของของฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินความต้องการของร่างกายและมีสภาวะเป็นพิษจนส่งผลต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ โดยสาเหตุการเกิดนั้นมีได้หลากหลายสาเหตุ ดังนี้

หมายเหตุ : โดยปกติแล้วต่อมไทรอยด์จะสร้างฮอร์โมนภายใต้การควบคุมของต่อมใต้สมอง กล่าวคือ ถ้าต่อมไทรอยด์มีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป ฮอร์โมนไทรอยด์จะไปยับยั้งต่อมใต้สมองให้ลดการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ทำให้ต่อมไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนลดลงสู่ระดับปกติ แต่ถ้าต่อมไทรอยด์ทำงานได้น้อย ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH) ออกมากระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากขึ้น

อาการของไทรอยด์เป็นพิษ

อาการไทรอยด์เป็นพิษค่อนข้างคลุมเครือ* และคล้ายกับอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ทั้งนี้หากผู้ป่วยมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษที่ไม่รุนแรงนักก็อาจไม่มีอาการแสดงใด ๆ ก็ได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่อาการมักไม่ค่อยแสดงออกอย่างชัดเจนมากนัก

โดยอาการที่พบได้มากที่สุดในคนที่มีอาการไทรอยด์เป็นพิษคือ อาการคอพอก ซึ่งเป็นอาการที่ต่อมไทรอยด์โตขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกหรือเห็นก้อนขนาดใหญ่ที่บริเวณคอ นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากโรคไทรอยด์เป็นพิษได้ เช่น

ไฮเปอร์ไทรอยด์อาการ

ทั้งนี้หากเริ่มมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ หรือเกิดจากเนื้องอกที่บริเวณต่อมหมวกไตได้ หากปล่อยไว้จะยิ่งทำให้รักษาได้ยากมากขึ้น

หมายเหตุ : โรคนี้มีอาการแสดงได้หลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางครั้งอาจมีอาการคล้ายโรควิตกกังวล (Anxiety disorder) หรือโรคแพนิค (Panic disorder) ดังนั้น หากพบว่ามีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักตัวลดลง ใจสั่น มือสั่น หงุดหงิด นอนไม่หลับ ก็ควรตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีสาเหตุมาจากโรคเหล่านี้หรือไม่

สิ่งที่ตรวจพบในผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ

อาการไฮเปอร์ไทรอยด์
IMAGE SOURCE : www.medindia.net

ภาวะแทรกซ้อนของไทรอยด์เป็นพิษ

โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที โอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนก็มีน้อย แต่ถ้าหากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจังก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่าง ๆ ได้ เช่น

การวินิจฉัยโรคไทรอยด์เป็นพิษ

การวินิจฉัยแพทย์สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งในขั้นตอนแรกแพทย์จะทำการซักประวัติเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพหรือประวัติการรักษา รวมถึงตรวจร่างกายภายนอกเพื่อหาสัญญาณของโรคไทรอยด์เป็นพิษดังกล่าว (ในหัวข้อ สิ่งที่ตรวจพบในผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ) เช่น ต่อมไทรอยด์โต ตาโปน ความดันโลหิตสูง ชีพจรเต้นเร็ว น้ำหนักตัวลดลง เป็นต้น

อาการโรคไทรอยด์เป็นพิษ

หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมดังนี้

ทั้งนี้ หากการตรวจเอกซเรย์พบว่าเป็นเนื้องอก แพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจต่อไปว่าเป็นเนื้องอกจากโรคมะเร็งหรือไม่ เมื่อทราบสาเหตุของไทรอยด์เป็นพิษแล้วจึงจะให้การรักษาต่อไป

การรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ

โดยทั่วไปแพทย์มักจะให้การรักษาด้วยยาต้านไทรอยด์เป็นหลัก นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ (Thyroidectomy) หรือให้กินน้ำแร่รังสีไอโอดีน/สารไอโอดีนกัมมันตรังสี (Radioactive iodine) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ไม่ตอบสนองต่อยาต้านไทรอยด์ มีอาการกำเริบซ้ำบ่อย มีความไม่สะดวกในการกินยาอย่างต่อเนื่องหรือมีอาการแพ้ยา รวมทั้งในรายที่มีอาการรุนแรงมาก ทั้งนี้แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายโดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ของผู้ป่วย เช่น อายุ สุขภาพของผู้ป่วย ขนาดของต่อมไทรอยด์ที่โตขึ้น และความรุนแรงของอาการ ส่วนในรายที่ทำได้หลายวิธี ก็จะเป็นการตัดสินใจร่วมกันของแพทย์และผู้ป่วยครับ

  1. ยาต้านไทรอยด์ (Antithyroid drug) ผู้ป่วยที่มีอายุน้อย อาการยังไม่รุนแรงมาก และต่อมไทรอยด์ไม่โตมาก แพทย์มักจะแนะนำให้รักษาด้วยการกินยาต้านไทรอยด์ก่อน โดบยานี้จะไปกดการทำงานของต่อมไทรอยด์ จึงช่วยลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ให้สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากจนเกินไปภายใน 2-8 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ปรับขนาดการใช้ยาให้ทุก ๆ 1-2 เดือน โดยพิจารณาจากผลการตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์เป็นหลัก
    • ยาต้านไทรอยด์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย คือ เมไทมาโซล (Methimazole : MMI) ขนาดเม็ดละ 5 มิลลิกรัม หรือ โพรพิลไทโอยูราซิล (Propylthiouracil : PTU) ขนาดเม็ดละ 50 มิลลิกรัม โดยยาทั้ง 2 ตัวนี้จะข้อดีและข้อเสียไม่ต่างกันมากนักและมีวิธีใช้เหมือนกัน โดยเริ่มต้นแพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาวันละ 6 เม็ด (แบ่งกินหลังอาหารครั้งละ 2 เม็ด) จนกว่าอาการจะดีขึ้น (เหนื่อยน้อยลง หัวใจเต้นช้าลง น้ำหนักตัวกลับขึ้นมาเป็นปกติ) แล้วจึงค่อย ๆ ลดขนาดยาลงทีละ 1-2 เม็ดจนกว่าจะเหลือวันละ 1-3 เม็ด แล้วให้กินยาในขนาดนี้ไปเรื่อย ๆ นานประมาณ 12-24 เดือน หรือตามที่แพทย์แนะนำ
      ยารักษาไทรอยด์เป็นพิษ
      IMAGE SOURCE : pharmnews.blogspot.com
    • ผู้ป่วยจะต้องกินยาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งโดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้กินยาประมาณ 1-2 ปี (การรักษาด้วยยาต้านไทรอยด์จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย) และในระหว่างการรักษาแพทย์จะนัดมาตรวจติดตามดูอาการและเจาะเลือดตรวจวัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์อยู่เป็นระยะ ๆ เช่น ทุก 1-2 เดือน เพื่อปรับขนาดยาให้เหมาะสมไม่น้อยหรือมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ 6 เดือนแรกของการรักษา
    • ในหญิงตั้งครรภ์ห้ามใช้ยาเมไทมาโซล แต่ให้ใช้ยาโพรพิลไทโอยูราซิลแทน เพราะยาชนิดหลังนี้จะผ่านรกได้น้อยกว่า จึงมีผลต่อทารกในครรภ์น้อยกว่ายาชนิดแรก และไม่มีข้อห้ามในการใช้ยาสำหรับมารดาที่ให้นมบุตร แต่ควรทำการทดสอบการทำงานของต่อมไทรอยด์ของทารกเป็นระยะ ๆ
    • ข้อเสียของการรักษาด้วยยา คือ ผู้ป่วยจะต้องกินยานี้นานเป็นแรมปี อาจเกิดผลข้างเคียงได้ (เช่น การแพ้ยา) และโอกาสหายขาดจากโรคยังไม่ 100% เมื่อไม่หายผู้ป่วยก็อาจต้องกินยาวันละเม็ดไปเรื่อย ๆ เพื่อควบคุมอาการ หรือต้องเปลี่ยนไปรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การกินน้ำรังสีไอโอดีน เพื่อให้หายขาด
    • ผลข้างเคียงของยาต้านไทรอยด์ มีดังนี้
      • เกิดอาการแพ้ยา มีผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง ซึ่งอาจต้องแก้ไขด้วยการกินยาแก้แพ้ร่วมด้วย หรืออาจต้องเปลี่ยนไปใช้ยาตัวใหม่แทน
      • กดการสร้างเม็ดเลือดขาว ทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Agranulocytosis) แล้วส่งผลให้ร่างกายเป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย (มีไข้ เจ็บคอ หรือปากเปื่อยบ่อย ๆ) และอาจติดเชื้อรุนแรงจนเป็นอันตรายได้ แต่ก็เป็นภาวะที่พบได้น้อยประมาณ 0.5% ของผู้ที่กินยานี้ (มักพบในการใช้ยาโพรพิลไทโอยูราซิลมากกว่ายาเมไทมาโซล) และมักจะเกิดขึ้นในระยะ 2 เดือนแรกหลังจากเริ่มกินยา ทำให้การใช้ยานี้แพทย์อาจต้องมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับเม็ดเลือดขาวสัปดาห์ละครั้งเป็นเวลาประมาณ 2 เดือนควบคู่ไปกับการรักษาในกรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยมีภาวะนี้ด้วย ถ้าพบว่าผู้ป่วยมีภาวะดังแพทย์จะให้หยุดกินยาในทันที แล้วเม็ดเลือดขาวจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นปกติได้เอง
      • อาจเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ เช่น ตับอักเสบ เกล็ดเลือดต่ำ หลอดเลือดอักเสบ โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น
      • เกิดภาวะขาดไทรอยด์ (Hypothyroidism) ในกรณีที่กินยามากเกินไป อาจทำให้ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนได้น้อยเกินความต้องการของร่างกายจนเกิดภาวะขาดไทรอยด์ได้ ซึ่งก็ต้องแก้ไขด้วยการลดขนาดยาลงหรือให้ยาฮอร์โมนไทรอยด์ เช่น เอลทรอกซิน (Eltroxin™) กินร่วมด้วย
  2. ยาบรรเทาอาการอื่น ๆ นอกจากยาต้านไทรอยด์แล้วแพทย์อาจให้ยาไดอะซีแพม (Diazepam) เพื่อบรรเทาอาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ และยาต้านเบต้าหรือเบต้าบล็อกเกอร์ (Beta-blocker) เช่น โพรพราโนลอล (Propranolol) วันละ 40-120 มิลลิกรัม แบ่งให้วันละ 2-4 ครั้ง เพื่อช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง บรรเทาอาการใจสั่น มือสั่น และอาการวิตกกังวล (มักใช้กับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง แต่ยาดังกล่าวก็มีผลข้างเคียง เช่น ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสีย หรือท้องผูก) แต่เมื่อระดับของฮอร์โมนไทรอยด์อยู่ระดับปกติแล้วก็ไม่จำเป็นกินยานี้เพื่อลดอาการใจสั่นอีก กินแต่ยาต้านไทรอยด์เพียงอย่างเดียวก็พอ
  3. การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ (Thyroidectomy) มักใช้รักษาในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี หรือมีต่อมไทรอยด์โตมาก หรือต่อมไทรอยด์ไปกดเบียดอวัยวะข้างเคียง (ทำให้มีอาการหายใจลำบากหรือกลืนลำบาก เพราะต่อมไทรอยด์ที่โตขึ้นไปกดเบียดทับหลอดลมและ/หรือหลอดอาหาร ซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ติดกับต่อมไทรอยด์) ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกบางส่วนเพื่อให้ต่อมไทรอยด์มีขนาดเล็กลงหรืออยู่ในระดับใกล้เคียงกับคนปกติ จะได้สร้างฮอร์โมนได้น้อยลงและช่วยให้อาการหายใจลำบากหรือกลืนลำบากดีขึ้น ส่วนในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือมีโรคร่วมอื่น ๆ (เช่น โรคหัวใจ) หรือไม่สามารถใช้ยาต้านไทรอยด์หรือกินน้ำแร่รังสีไอโอดีนในการรักษาได้ หรือเป็นเนื้องอกไทรอยด์หรือต่อมไทรอยด์เป็นก้อนเดี่ยว ซึ่งแพทย์สงสัยว่าอาจเป็นก้อนมะเร็ง แพทย์ก็จะแนะนำให้ทำการผ่าตัดเช่นกัน
    • ทั้งนี้ หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะหายจากอาการของไทรอยด์เป็นพิษทันที แต่มีข้อเสียที่ต้องวางยาสลบ และอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดได้ (พบได้ไม่บ่อย รวมแล้วไม่ถึง 5% แต่บางภาวะอาจมีผลต่อกิจวัตรตลอดชีวิต ดังนั้น ผู้ป่วยจึงมักจะมีความลังเลในการตัดสินใจผ่าตัด จึงทำให้การผ่าตัดไม่เป็นที่นิยมมากนัก) เช่น ภาวะเลือดออก (ซึ่งอาจทำให้อุดกั้นทางเดินหาย), ภาวะขาดพาราไทรอยด์ (Hypoparathyroidism) เนื่องจากตัดถูกต่อมพาราไทรอยด์ซึ่งอยู่ติดกับต่อมไทรอยด์ ซึ่งผู้ป่วยจะต้องกินยาแคลเซียมคาร์บอเนตและวิตามินดีเพื่อควบคุมระดับแคลเซียมด้วย, การตัดถูกเส้นประสาทกล่องเสียง (Recurrent laryngeal nerve) ซึ่งอยู่ติดกับต่อมไทรอยด์ ทำให้สายเสียงเป็นอัมพาต มีอาการเสียงแหบอย่างถาวร และผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยก็คือ ภาวะขาดไทรอยด์ (Hypothyroidism) อย่างถาวร เนื่องจากผ่าตัดเนื้อเยื่อไทรอยด์ออกไปมากเกิน ซึ่งในกรณีนี้จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการกินยาฮอร์โมนไทรอยด์ (ยาเลโวไทรอกซีน) วันละ 1-2 เม็ด เพื่อทดแทนไปตลอดชีวิต ส่วนในรายที่ผ่าตัดเนื้อเยื่อไทรอยด์ออกน้อยเกินไปก็อาจทำให้มีอาการต่อมไทรอยด์ทำงานเกินกำเริบซ้ำได้อีก
  4. การกินน้ำแร่รังสีไอโอดีน/สารไอโอดีนกัมมันตรังสี (Radioactive iodine) เป็นการกินน้ำที่ประกอบด้วยสารไอโอดีนกัมมันตรังสีที่ได้รับการคำนวณขนาดไว้ให้พอดีกับแต่ละบุคคล โดยน้ำแร่รังสีไอโอดีนนี้จะเป็นสารไอโอดีนประเภทหนึ่ง (Iodine-131) ที่ให้รังสีแกมมา (Gamma ray) และรังสีบีตา (Beta ray) ซึ่งเป็นรังสีที่ใช้ในการตรวจและรักษาโรค และสามารถปล่อยรังสีนั้น ๆ ออกมาทำลายเนื้อเยื่อของต่อมไทรอยด์ได้ โดยการรักษาด้วยวิธีนี้จะมีจุดประสงค์เพื่อทำลายเนื้อเยื่อไทรอยด์บางส่วน เพื่อให้ลดปริมาณการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ลง เมื่อผู้ป่วยกินน้ำแร่รังสีไอโอดีนเข้าไป สารชนิดนี้จะถูกดูดซึมโดยต่อมไทรอยด์ และทำลายเนื้อเยื่อของต่อมไทรอยด์ ทำให้ต่อมไทรอยด์ค่อย ๆ หดตัวลง ต่อมไทรอยด์จึงมีขนาดเล็กลงและสร้างฮอร์โมนได้น้อยลง อาการจากภาวะไทรอยด์เป็นพิษของผู้ป่วยจึงค่อย ๆ ดีขึ้น ซึ่งมักจะใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 3-6 เดือน (อาการไทรอยด์เป็นพิษจะยังไม่หายไปในทันที และก่อนจะให้กินน้ำแร่รังสีไอโอดีนดังกล่าว ผู้ป่วยอาจต้องกินยาต้านไทรอยด์จนระดับฮอร์โมนไทรอยด์กลับสู่ปกติเสียก่อน)
    • การรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีนมีข้อดีคือ สามารถรักษาภาวะไทรอยด์เป็นพิษให้หายขาดได้สูง สะดวก ง่าย และเป็นสารที่มีความปลอดภัย (ปัจจุบันมียาเป็นแคปซูล แต่ยังมีข้อจำกัดในการนำมาใช้มาก จึงยังไม่เป็นที่นิยมนัก และไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป จะต้องได้รับการรักษาเฉพาะโรงพยาบาลบางแห่งที่ให้การรักษาด้านนี้เท่านั้น) เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปและต่อมไทรอยด์ไม่โตมาก หรือเป็นผู้ป่วยที่รักษาด้วยยามาเป็นเวลานานกว่า 1-2 ปีแล้วแต่ยังไม่หายหรือหายแล้วกลับมาเป็นใหม่อีก หรือเป็นผู้ป่วยที่รักษาด้วยการผ่าตัดแล้วยังมีอาการจากภาวะไทรอยด์เป็นพิษอยู่ รวมถึงผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 40-60 ปี ที่ปฏิเสธการผ่าตัดหรือมีข้อห้ามในการผ่าตัด (เช่น เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ)
    • การรักษาด้วยวิธีนี้ไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยที่มีอาการตาโปนรุนแรง ต่อมไทรอยด์มีขนาดโตมากหรือสงสัยว่าเป็นมะเร็งไทรอยด์ หญิงตั้งครรภ์ (เพราะรังสีมีผลต่อทารกในครรภ์ อาจก่อให้เกิดความพิการหรือแทงบุตรได้) และหญิงให้นมบุตร (เพราะน้ำแร่รังสีไอโอดีนจะปนออกมากับน้ำนมส่งผลต่อต่อมไทรอยด์ของทารกได้ทั้งในระยะเฉียบพลับ (การอักเสบ) และในระยะยาว (มะเร็งต่อมไทรอยด์))
    • ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการรักษา คือ ภาวะขาดไทรอยด์เนื่องจากเนื้อเยื่อไทรอยด์ถูกทำลายมากเกิน ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องกินยาฮอร์โมนทดแทนไปตลอดชีวิตเช่นเดียวกับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
  5. การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ในระหว่างการรักษาผู้ป่วยจะต้องเน้นการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและโซเดียมให้มากขึ้น (แต่ต้องควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม) ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยลดภาวะขาดน้ำ นอกจากนี้ไทรอยด์เป็นพิษยังทำให้กระดูกบางลง ผู้ป่วยจึงควรรับประทานอาหารเสริมที่มีแคลเซียมและวิตามินดีควบคู่กันไปด้วยเพื่อบำรุงกระดูกให้แข็งแรงขึ้นทั้งในระหว่างการรักษาและหลังจากหายแล้ว ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้แนะนำถึงปริมาณของอาหารเสริมและอาจช่วยวางแผนในการรับประทานอาหารรวมทั้งการออกกำลังให้แก่ผู้ป่วย

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ

ไทรอยด์เป็นพิษเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ แต่ผู้ป่วยอาจต้องกินยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 12-24 เดือน ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์อย่าได้ขาด

การป้องกันโรคไทรอยด์เป็นพิษ

เนื่องจากสาเหตุหลักของภาวะไทรอยด์เป็นพิษเกิดจากภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายที่ผิดปกติที่ไม่สามารถป้องกันได้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องคอยหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย ถ้าพบว่ามีอาการที่สงสัยว่าเป็นไทรอยด์เป็นพิษ ควรไปรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะถ้าเป็นไทรอยด์เป็นพิษจริงแล้วไม่ได้รับการรักษาก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตได้

นอกจากนี้ในกรณีที่เคยป่วยเป็นโรคนี้และรักษาหายแล้ว การติดตามผลการรักษาในระยะยาวก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้อีก และหากสูบบุหรี่อยู่ก็ควรงดหรือหลีกเลี่ยง เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นไทรอยด์เป็นพิษมากขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)/พิษจากไทรอยด์/คอพอกเป็นพิษ (Thyrotoxicosis/Toxic goiter)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 806-810.
  2. หาหมอดอทคอม.  “ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (Thyrotoxicosis)”.  (รศ.นพ.จรูญศักดิ์ สมบูรณ์พร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [16 ก.ค. 2017].
  3. พบแพทย์.  “ไทรอยด์เป็นพิษ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pobpad.com.  [18 ก.ค. 2017].
  4. ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “การรักษาไทรอยด์เป็นพิษ”.  (รศ.นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [20 เม.ย. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ไฮเปอร์ไทรอยด์
  • 2 ไทรอยด์เป็นพิษ
  • 3 คอพอกเป็นพิษ
  • 4 สาเหตุของไทรอยด์เป็นพิษ
  • 5 อาการของไทรอยด์เป็นพิษ
  • 6 สิ่งที่ตรวจพบในผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ
  • 7 ภาวะแทรกซ้อนของไทรอยด์เป็นพิษ
  • 8 การวินิจฉัยโรคไทรอยด์เป็นพิษ
  • 9 การรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ
  • 10 คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ
  • 11 การป้องกันโรคไทรอยด์เป็นพิษ
  • 12 บทความที่เกี่ยวข้อง
  • 13 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ