ไซนัสอักเสบ อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคไซนัสอักเสบ 17 วิธี

ไซนัสอักเสบ

ไซนัส (Sinus) คือ โพรงอากาศเล็ก ๆ ในกะโหลกศีรษะที่อยู่รอบ ๆ จมูก ซึ่งมีทางเชื่อมมาเปิดที่โพรงจมูกอยู่หลายจุดทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

โดยไซนัสมีหน้าที่ให้ความอบอุ่นและความชื้นแก่อากาศที่หายใจเข้าไปในทางเดินหายใจ ช่วยปรับเสียงพูด ช่วยในการรับรู้กลิ่น และสร้างเมือกเพื่อให้ความชื้นและชะล้างโพรงจมูก ภายในเยื่อบุโพรงไซนัส (โพรงอากาศ) จะมีขนอ่อน (Cilia) ที่คอยโบกพัดเพื่อระบายเอาเมือก (เสมหะหรือน้ำมูก) ออกมา ซึ่งในภาวะปกติจะมีการระบายของเมือกที่สร้างขึ้นในโพรงไซนัสลงมาที่รูเปิดในโพรงจมูกเพื่อให้ความชื้นและชะล้างโพรงจมูก แต่ถ้ารูเปิดเหล่านี้ถูกอุดกั้น เช่น จากการเป็นหวัด (เยื่อบุจมูกและไซนัสอักเสบบวม) การติดเชื้อหรือภูมิแพ้ ผนังกั้นช่องจมูกคด หรือมีริดสีดวงจมูก ก็จะทำให้เมือกในโพรงไซนัสไม่สามารถระบายเมือกออกมาได้ เมือกเหล่านี้จึงเกิดการหมักหมมจนกลายเป็นแหล่งอาหารสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่ลุกลามมาจากโพรงจมูกเข้าไปในโพรงไซนัส จึงทำให้เยื่อบุไซนัสอักเสบบวม ขนอ่อนในโพรงไซนัสสูญเสียหน้าที่ในการขับเมือก และมีการสร้างและสะสมของเมือกมากขึ้น กลายเป็นหนองขังอยู่ในโพรงไซนัสทำให้เกิดอาการของโรคไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) แบ่งออกเป็นชนิดเฉียบพลัน (มีอาการน้อยกว่า 30 วัน) ชนิดกึ่งเฉียบพลัน (มีอาการอยู่ระหว่าง 30-90 วัน) และชนิดเรื้อรัง (มีอาการมากกว่า 90 วัน) โดยการอักเสบอาจเกิดกับไซนัสได้ทุกตำแหน่ง ได้แก่ ไซนัสข้างตา (Ethmoid sinus), ไซนัสหน้าผาก (Frontal sinus), ไซนัสโหนกแก้ม (Maxillary sinus) และไซนัสที่อยู่ใต้ฐานกะโหลกศีรษะ (Sphenoidal sinus) แต่ที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ไซนัสโหนกแก้ม (Maxillary sinus) ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดที่บริเวณโหนกแก้ม

ไซนัส
IMAGE SOURCE : www.cancer.gov

ไซนัสอักเสบไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เป็นโรคเฉพาะตัวส่วนบุคคลที่สามารถพบได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศชื้น และพบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย โดยพบได้ประมาณ 3-5% ของผู้ป่วยที่มาตรวจที่คลินิกหู คอ จมูก ส่วนใหญ่มักพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กซึ่งมีโอกาสเป็นหวัดได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis), โรคเยื่อจมูกอักเสบ (Purulent rhinitis), ริดสีดวงจมูก (Nasal Polyps), ผนังกั้นช่องจมูกคด (Deviated nasal septum), รากฟันเป็นหนอง เป็นต้น และผู้ป่วยอาจมีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว เช่น โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคหืด ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้

โดยทั่วไปมากกว่า 0.5% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคหวัดจะมีโอกาสเกิดไซนัสอักเสบตามมา ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) หรือโรคหืดจะมีไซนัสอักเสบร่วมด้วยประมาณ 40-50%

สาเหตุของไซนัสอักเสบ

อาการไซ้นัสอักเสบ
IMAGE SOURCE : healthyworld365.com

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคไซนัสอักเสบรุนแรงขึ้น คือ การมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่โดยสรุป คือ

อาการของไซนัสอักเสบ

ภาวะแทรกซ้อนของไซนัสอักเสบ

ผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบในระยะเริ่มแรกและมีอาการน้อย เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องมักจะหายได้ภายใน 2 สัปดาห์ และมักไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก แต่ผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังหรือมีปัจจัยเสี่ยงที่ส่งเสริมให้เกิดไซนัสอักเสบดังกล่าว ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและต้องปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็มักจะมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น

การวินิจฉัยไซนัสอักเสบ

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบได้จาก

  1. การซักประวัติอาการที่แสดงต่าง ๆ ดังที่กล่าวไปในหัวข้ออาการของไซนัสอักเสบ
  2. การตรวจร่างกาย ได้แก่
    • ในผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลัน มักตรวจพบเยื่อบุจมูกมีลักษณะบวมแดง อาจพบมีหนองหรือมูก เคาะหรือกดตรงบริเวณไซนัสที่อักเสบจะรู้สึกเจ็บ (เช่น ที่หน้าผาก หัวตา ใต้ตา หรือโหนกแก้ม) ซึ่งมักจะพบเพียงข้างเดียว และผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย
    • ในผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง มักตรวจพบเยื่อบุจมูกมีลักษณะบวมแดง คอหอยแดง มีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว อาจตรวจพบอาการเคาะหรือกดเจ็บบริเวณไซนัสที่อักเสบ ผนังกั้นช่องจมูกคด หรือริดสีดวงจมูก ทั้งนี้ในไซนัสอักเสบเรื้อรังมักไม่มีอาการกดเจ็บอย่างชัดเจน ยกเว้นในรายที่มีการอักเสบเฉียบพลันแทรกซ้อน
  3. การตรวจพิเศษอื่น ๆ ได้แก่
    • การตรวจเพื่อดูการผ่านทะลุของแสง (Transillumination test) เพื่อช่วยในการวินิจฉัยการอักเสบของไซนัสที่โหนกแก้มและหน้าผาก ถ้าไซนัสไม่มีแสงสว่างผ่านลอดไปได้เลยจะช่วยบอกว่ามีโรคได้อย่างแม่นยำ แต่ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี การตรวจวิธีนี้มักไม่ได้ผลเพราะเยื่อบุและผนังกระดูกของเด็กที่ล้อมไซนัสมักจะหนากว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้แสงทะลุผ่านไม่ได้
    • การตรวจภาพไซนัสด้วยอัลตราซาวนด์ (Ultrasonography) ใช้สำหรับการตรวจวินิจฉัยไซนัสที่โหนกแก้ม (ใช้ได้ผลดีเฉพาะกับการอักเสบของไซนัสที่โหนกแก้มเท่านั้น และยังให้ผลการตรวจวินิจฉัยที่ไม่ละเอียดเพียงพอ)
    • การถ่ายภาพไซนัสด้วยการตรวจเอกซเรย์ ซึ่งต้องกระทำทุกรายในผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบ เพื่อใช้ยืนยันตำแหน่งของไซนัสที่อักเสบ บอกถึงความรุนแรงของการอักเสบ บอกถึงระยะเวลาว่าเป็นการอักเสบที่เกิดใหม่หรือเป็นเรื้อรังมานานแล้ว และใช้เป็นการติดตามผลการรักษา ซึ่งการถ่ายภาพเอกซเรย์จะมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ การถ่ายภาพเอกซเรย์ธรรมดา ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่ยังบอกรายละเอียดได้ไม่มาก และอีกวิธีหนึ่งคือ การถ่ายภาพไซนัสด้วยการใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจหาพยาธิสภาพของไซนัสในปัจจุบัน เพราะสามารถตรวจหารายละเอียดได้มาก และอาจบอกถึงสาเหตุของการอุดตันบริเวณรูเปิดไซนัสได้ด้วย แต่ค่าใช้จ่ายในการตรวจยังค่อนข้างแพงพอสมควร
    • การถ่ายภาพไซนัสด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อแยกก้อนเนื้อหรือถุงน้ำออกจากของเหลว
    • การใช้กล้องส่องตรวจในโพรงจมูก (Nasal endoscopy)
    • การเจาะไซนัส (Antral puncture) ใช้สำหรับการตรวจวินิจฉัยไซนัสที่โหนกแก้ม
    • การตรวจโดยใช้กล้องส่องในจมูกด้วยเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า Sinuscope ซึ่งเป็นเครื่องมือขนาดเล็กมากที่ใช้ส่องเข้าไปในจมูก ซึ่งจะทำให้พบหนองในจมูกและบางครั้งอาจบอกถึงตำแหน่งที่เกิดการอักเสบหรือบอกสาเหตุของการอุดตันของรูเปิดไซนัส และบางครั้งแพทย์จะต่อเครื่องมือเข้ากับโทรทัศน์เพื่อให้ผู้ป่วยได้เห็นพยาธิสภาพในจมูกด้วย
โรคไซนัส
IMAGE SOURCE : www.nyallergy.com (CT Scans of Healthy and Diseased Maxillary Sinuses)

การวินิจฉัยแยกโรค

ไซนัสอักเสบมีอาการคล้ายกับโรคหลายโรค ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องวินิจฉัยเพื่อแยกไซนัสอักเสบออกจากโรคเหล่านี้ เช่น

  1. โรคที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการหวัด เช่น
    • โรคหวัด ผู้ที่เป็นหวัดจะหายภายใน 5-7 วัน แต่ถ้าถึงวันที่ 5-6 แล้วยังไม่หายแต่กลับเป็นมากขึ้น เช่น ไอมากขึ้น ปวดศีรษะ ปวดแก้ม เสมหะเขียวข้น ก็แสดงว่าอาจเป็นไซนัสอักเสบ
    • โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีอาการสำคัญ คือ อาการจาม คันคอ คันจมูก มีน้ำมูกใส
    • ริดสีดวงจมูก ผู้ป่วยจะมีอาการคัดแน่นจมูก หายใจไม่สะดวก พูดเสียงขึ้นจมูก อาจมีอาการจามหรือน้ำมูกได้ ซึ่งอาจมีลักษณะใส ขุ่นข้น เหนียว หรือมีสีเหลืองเขียว
  2. โรคที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ และ/หรือปวดบริเวณจมูกและใบหน้า เช่น
    • เนื้องอกหรือมะเร็งในสมองหรือในหลังโพรงจมูก เช่น มะเร็งโพรงไซนัส ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดไซนัสอย่างต่อเนื่องและมักมีเลือดกำเดาไหลร่วมด้วย
    • โรคของฟัน เช่น ฟันผุ โรคของรากฟัน โรคของเหงือก (เช่น เหงือกอักเสบ)
    • โรคปวดศีรษะไมเกรน (Migraine)
    • โรคปวดศีรษะจากภาวะเครียด (Tension headache)
    • อาการปวดศีรษะจากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 (Trigeminal neuralgia) ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุ แต่เชื่อว่าเส้นประสาทเส้นนี้อาจถูกรบกวนหรือถูกกดเบียดทับจากเนื้อเยื่อข้างเคียง เช่น หลอดเลือด
    • อาการปวดเส้นประสาทสมองคู่ที่ 9 (glossopharyngeal neuralgia) ทำให้มีอาการปวดในปากแล้วร้าวไปในหู โดยมีจุดกระตุ้นให้เกิดการปวดอยู่ที่ผนังคอ ต่อมทอนซิล หรือเพดานอ่อน และอาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดได้จากการหาว การดื่มน้ำเย็น หรือการถูกสัมผัสโดยตรง ซึ่งการกระตุ้นนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเป็นลมได้จากประสาทสัมผัสที่ถูกกระตุ้นทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ (Vagally-mediated bradycardia) อย่างไรก็ตาม อาการปวดนี้ก็ไม่ได้คล้ายกับอาการปวดที่เกิดจากไซนัสอักเสบ
    • โรคของดวงตา ที่พบบ่อยคือ ภาวะกล้ามเนื้อตาล้า (Eye strain) หลังใช้สายตามากและอาจทำให้มีสายตาผิดปกติร่วมด้วย
    • โรคออโตอิมมูน (Autoimmune disease) ที่ทำให้เกิดหลอดเลือดอักเสบ โดยเฉพาะหลอดเลือดของศีรษะ (Temporal arteritis)
    • โรคของข้อขากรรไกร (Temporomandibular joint syndrome – TMJ) ที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเคี้ยวอาหารแข็งเป็นประจำ ข้อเคลื่อน ข้อเสื่อมตามอายุ หรือจากอุบัติเหตุของข้อ
    • โรคติดเชื้อ ทั้งจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้มีไข้ ปวดศีรษะ และบางชนิดอาจทำให้มีอาการจมูกอักเสบร่วมด้วย เช่น โรคหัด โรคไทฟอยด์ เป็นต้น
  3. โรคที่ทำให้เกิดอาการบวมที่ใบหน้า เช่น อาการแพ้จากแมลงสัตว์กัดต่อย เนื้องอก โรคออโตอิมมูนบางชนิด เป็นต้น

วิธีรักษาไซนัสอักเสบ

วิธีป้องกันไซนัสอักเสบ

การดูแลตนเองเพื่อลดโอกาสการเกิดไซนัสอักเสบ หรือลดอาการรุนแรงสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  1. รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำแบบไม่หักโหม (เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค), พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดนอนหรือนอนดึกบ่อย ๆ (เพราะถ้าร่างกายอ่อนแอจะมีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย), รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน, ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เป็นต้น
  2. หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ มลพิษทางอากาศ ควันบุหรี่ และกลิ่นที่ผิดปกติ โดยควรเลือกอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีฝุ่นละออง ไม่มีเกสรดอกไม้ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  3. หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ ดำน้ำ หรือกระโดดน้ำ เมื่อมีอาการคล้ายหวัดกำเริบ
  4. หลีกเลี่ยงภาวะอุณหภูมิแปรเปลี่ยนฉับพลัน เช่น การเข้า ๆ ออก ๆ ห้องปรับอากาศ หรือการอยู่ในรถยนต์ที่ตากแดดร้อน ๆ เป็นต้น
  5. ไม่ควรใช้ยาพ่นจมูกโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  6. ควรได้รับการตรวจโพรงจมูกโดยแพทย์ทางหู คอ จมูก ปีละครั้ง
  7. พยายามดูแลตนเองอย่าให้เป็นหวัด เพราะผลจากการเป็นหวัดสามารถทำให้เป็นไซนัสอักเสบได้
  8. การป้องกันไซนัสอักเสบไม่ให้เกิดซ้ำอีก สามารถทำได้โดยการพยายามแก้ไขและป้องกันไม่ให้มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมาได้อีก เช่น การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงตามคำแนะนำข้างต้น และถ้ามีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โรคหวัด คออักเสบ ฟันผุ ฯลฯ ต้องรีบรักษาให้หายโดยเร็ว หรือถ้าเป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ริดสีดวงจมูก ผนังกั้นช่องจมูกคด ฯลฯ เหล่านี้ก็ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม เป็นต้น
  9. ผู้ที่เป็นหวัด มีน้ำมูกหรือมีเสมหะในคอมีลักษณะข้นเหลืองหรือเขียว เป็นหวัดต่อเนื่องกันทุกวันนานผิดปกติ (เช่น นานเกิน 10 วัน) หรือเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการแสดงของโรคไซนัสอักเสบ
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 464-465.
  2. หาหมอดอทคอม.  “ไซนัสอักเสบ โพรงอากาศข้างจมูกอักเสบ (Sinusitis)”.  (นพ.พิชัย พัวเพิ่มพูนศิริ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [11 ส.ค. 2016].
  3. สาระน่ารู้ เรื่อง โรคภัยไข้เจ็บ โดยความอนุเคราะห์ของคณะแพทย์ หลักสูตรบริหารงานสายแพทย์ทหารชั้นสูง รุ่นที่ 12 กรมแพทย์ทหารอากาศ.  “โรคไซนัส”.  (น.อ.ศักดา สุจริตธรรม).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : web.ku.ac.th/saranaroo/.  [11 ส.ค. 2016]
  4. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 297 คอลัมน์ : เรื่องเด่นจากปก.  “ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) โรคที่บั่นทอน คุณภาพชีวิต”.  (นพ.ประพจน์ คล่องสู้ศึก).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [11 ส.ค. 2016].
  5. ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “เมื่อเป็นไซนัสอักเสบ”.  (รศ.นพ.วิชญ์ บรรณหิรัญ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [12 ส.ค. 2016].
  6. ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ.  “การรักษาไซนัสด้วยบอลลูน (Balloon Sinuplasty)”.  (นพ.สมศักดิ์ หวานกิจเจริญ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhealth.com. [12 ส.ค. 2016].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ไซนัสอักเสบ
  • 2 สาเหตุของไซนัสอักเสบ
  • 3 อาการของไซนัสอักเสบ
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของไซนัสอักเสบ
  • 5 การวินิจฉัยไซนัสอักเสบ
  • 6 วิธีรักษาไซนัสอักเสบ
  • 7 วิธีป้องกันไซนัสอักเสบ
  • 8 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ