ไข้ (อาการตัวร้อน) สาเหตุและวิธีลดไข้ แก้ไข้ตัวร้อน 10 วิธี

ไข้

ไข้ หรือ อาการตัวร้อน (Fever หรือ Pyrexia) เป็นอาการไม่ใช่โรค โดยเป็นอาการที่อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นกว่าปกติ ทั้งนี้เพื่อตอบสนองเมื่อมีการติดเชื้อโรคหรือมีการเจ็บป่วยจากสาเหตุบางอย่าง โดยไข้จะเกิดอยู่เพียงชั่วคราวเฉพาะในช่วงที่เกิดโรค หรือมีการเจ็บป่วย เวลาที่มีไข้ไม่จำเป็นว่าทุกส่วนของร่างกายจะต้องร้อนเท่ากันหมด อาจจะร้อนที่ศีรษะ ลำตัว และแขนขา แต่ฝ่ามือฝ่าเท้าเย็นก็ได้ (แต่เดิมเคยเชื่อกันว่า การที่ศีรษะร้อน แต่ฝ่ามือฝ่าเท้าเย็น หมายความว่าผู้ป่วยมีอาการหนัก จึงเป็นความเชื่อที่ผิด) ส่วนสาเหตุของการเกิดไข้นั้นก็มีมากมาย และระยะเวลาที่เป็นไข้ก็แตกต่างกันไปในแต่ละโรคที่เป็นสาเหตุ เพราะไข้หรืออาการตัวร้อนนั้นเป็นเพียงอาการหนึ่งของโรคบางโรคเท่านั้น

อุณหภูมิปกติของร่างกาย คือ 37 องศาเซลเซียส (98.6 องศาฟาเรนไฮต์) และสามารถแปรเปลี่ยนได้เสมอเป็นปกติประมาณ 0.5-1 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย เช่น ช่วงเวลาของวัน (อุณหภูมิร่างกายจะต่ำสุดในช่วงประมาณ 6 โมงเช้าและจะสูงสุดในช่วงประมาณ 4 โมงเย็น), อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม (ถ้ามีอากาศร้อนอุณหภูมิของร่างกายจะสูงขึ้น และเมื่ออากาศเย็นอุณหภูมิของร่างกายจะต่ำลง), การออกกำลังกาย (เนื่องจากจะทำให้มีการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย ทำให้มีการไหลเวียนโลหิตเพิ่มมากขึ้น อุณหภูมิร่างกายจึงสูงขึ้น), การใส่เสื้อผ้าหนา ๆ โดยเฉพาะในเด็กอ่อน (อุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้น), ในผู้หญิงช่วงตกไข่ (อุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้น), ความเครียด (ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของร่างกายทั้งระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ และระบบฮอร์โมน จึงมีผลทำให้ร่างกายมีการผลิตความร้อนออกมา ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น), ขึ้นอยู่กับตำแหน่งในการวัดอุณหภูมิ (เมื่อวัดผ่านทางทวารหนักอุณหภูมิจะสูงสุด รองลงมาคือวัดทางปากและทางรักแร้ ตามลำดับ) เป็นต้น

ระดับความรุนแรงของไข้ (Grades of Fever) สามารถแบ่งออกได้เป็น

  1. อุณหภูมิปกติของร่างกาย (Normal temperature) มีอุณหภูมิระหว่าง 36.6 – 37.2 องศาเซลเซียส
  2. ไข้ต่ำ (Low grade fever) เมื่อวัดทางปาก (อมปรอท) จะมีอุณหภูมิระหว่าง 37.2 – 38.2 องศาเซลเซียส
  3. ไข้ปานกลาง (Medium grade fever) เมื่อวัดทางปาก (อมปรอท) จะมีอุณหภูมิระหว่าง 38.2 – 39.2 องศาเซลเซียส
  4. ไข้สูง (High grade fever) เมื่อวัดทางปาก (อมปรอท) จะมีอุณหภูมิระหว่าง 39.2 – 40.3 องศาเซลเซียส
  5. ไข้สูงมาก / ไข้สูงเกิน (Hyperpyrexia) เมื่อวัดทางปาก (อมปรอท) จะมีอุณหภูมิมากกว่า 40.3 องศาเซลเซียส ซึ่งจัดว่าอันตรายที่สุด มักเกิดจากการติดเชื้อโรคชนิดที่มีความรุนแรงสูงมากในกระแสเลือด แต่ที่พบได้บ่อยคือเกิดจากภาวะมีเลือดออกในสมอง

มีไข้อุณหภูมิเท่าไหร่

ระยะเวลาในการวัดอุณหภูมิ

ชนิดของไข้ (Fever Pattern) สามารถแบ่งออกได้เป็น

  1. ไข้คงที่ / ไข้สูงลอย (Constant, Continuous, Sustained Fever) อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าระดับปกติตลอดเวลา อุณหภูมิคงที่หรือเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ห่างกันไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส
  2. ไข้เป็น ๆ หาย ๆ (Remittent Fever) อุณหภูมิของร่างกายจะสูงขึ้นเสมอ ๆ ภายใน 24 ชั่วโมง แต่อุณหภูมิที่ลงจะอยู่เหนือกว่าระดับปกติ อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงมากกว่า 2 องศาเซลเซียส
  3. ไข้เว้นระยะ (Intermittent Fever) อุณหภูมิของร่างกายจะสูงกว่าปกติแล้วลงต่ำถึงระดับปกติแล้วขึ้นไปใหม่ อุณหภูมิขึ้น ๆ ลง ๆ ภายใน 24 ชั่วโมง เป็นตอนบ่าย ๆ หรือตอนเย็น
  4. ไข้กลับ (Relapsing Fever) อุณหภูมิของร่างกายจะสูงอยู่หลายวัน และอาจมีอุณหภูมิลดลงอยู่ในระดับปกติอีกหลายวัน แล้วกลับมามีไข้ใหม่

ในการวินิจฉัยว่า เป็นไข้หรือไม่นั้น คือ การวัดอุณหภูมิของร่ายกายด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย ซึ่งโดยทั่วไปเราจะนิยมใช้ปรอทวัดไข้ (สารปรอทที่บรรจุอยู่ในหลอดแก้วจะเป็นตัวบอกค่าอุณหภูมิ) ส่วนวิธีการวัดที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ การวัดทางปากหรือวัดที่ใต้ลิ้น (อมปรอท) แต่วิธีนี้จะไม่สามารถใช้กับคนที่ไม่สามารถอมปรอทวัดไข้ได้ เช่น เด็กอ่อน เด็กเล็ก หรือในผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ซึ่งคนไข้ในกลุ่มนี้มักใช้วัดทางรักแร้ โดยใช้ปรอทหนีบไว้ใต้รักแร้ หรืออีกวิธีคือการสอดปรอทวัดไข้ทางทวารหนัก นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีเครื่องวัดอุณหภูมิของร่างกายชนิดใหม่ ๆ ที่สะดวกกว่าการใช้ปรอทวัดไข้แบบเดิม แต่จะมีราคาแพงกว่า เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกายผ่านทางรูหู เครื่องวัดอุณหภูมิผ่านทางผิวหนัง และเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกายสำหรับคนหมู่มากเมื่อเกิดการระบาดของโรคบางโรคตามสถานที่สำคัญต่างๆ เป็นต้น

เป็นไข้

อนึ่ง อุณหภูมิของร่างกายจัดเป็นหนึ่งในสัญญาณชีพ (Vital sign) ซึ่งแสดงถึงการมีชีวิตและเป็นตัวบ่งบอกถึงการเจ็บป่วย ซึ่งเมื่อเราไปพบแพทย์ การตรวจพื้นฐานตั้งแต่แรกสำหรับผู้ป่วยทุกคนคือ การตรวจวัดสัญญาณชีพ ซึ่งได้แก่ อุณหภูมิร่างกาย (Temperature – T), ชีพจร (Pulse – P), ความดันโลหิต (Blood pressure – BP/บีพี) และอัตราการหายใจ (Respiratory rate – R หรือ RR/อาร์อาร์)

สาเหตุการเกิดไข้

อุณหภูมิปกติของร่างกายเกิดจากการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและตับ โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของสมองส่วนที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทั้งนี้การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายจะเกิดขึ้นโดยการกำจัดความร้อนที่เกิดในร่างกายออกทางผิวหนัง (จากเหงื่อ) และทางปอด (จากการหายใจ) เมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้อโรคหรือเกิดจากบางสาเหตุ จะส่งผลกระตุ้นให้สมองส่วนไฮโปทาลามัสตอบสนองด้วยการปรับอุณหภูมิของร่างกายให้สูงขึ้น เนื้อเยื่อที่จะทำหน้าที่เพิ่มอุณหภูมิของร่างกายตามคำสั่งของสมอง คือ หลอดเลือดและกล้ามเนื้อ โดยหลอดเลือดจะหดตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนแพร่กระจายออกทางผิวหนังและทางปอด จึงทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นและทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหนาวจากการลดปริมาณของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยง ส่วนกล้ามเนื้อต่าง ๆ ก็จะหดเกร็ง ทำให้เกิดอาการหนาวสั่น ซึ่งทั้งหมดคือ “อาการไข้ขึ้น แต่เมื่อการกระตุ้นสมองส่วนไฮโปทาลามัสลดลง สมองส่วนไฮโปทาลามัสจะตอบสนองด้วยการปรับลดอุณหภูมิร่างกายลง หลอดเลือดก็จะกลับมาขยาย เนื้อเยื่อต่าง ๆ ก็จะได้รับเลือดเพิ่มขึ้น อุณหภูมิในเนื้อเยื่อเหล่านี้จึงเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงขับความร้อนออกทางเหงื่อและการหายใจได้เป็นปกติ จึงทำให้เกิดอาการเหงื่อออกเมื่อไข้ลดลง

อาการไข้เป็นภาวะที่ร่างกายกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อ โดยการทำให้สภาวะแวดล้อมไม่เหมาะกับการเจริญของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย สารเคมีที่ถูกหลั่งออกมาในกระแสเลือดขณะที่เกิดการติดเชื้อจะส่งสัญญาณไปยัง “ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิ” (ไฮโปทาลามัส) ในสมอง ทำให้เกิดความร้อนขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการรักษาตัวเองของร่างกายตามธรรมชาติ

สาเหตุสำคัญที่พบได้บ่อยของการเกิดอาการไข้ คือ การติดเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ที่พบบ่อยคือ จากเชื้อไวรัส (เช่น โรคหวัด โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก โรคหัด ไข้หวัดนก อีสุกอีใส โรคมือเท้าปาก งูสวัด เริม เป็นต้น) และจากเชื้อแบคทีเรีย (เช่น ไข้ไทฟอยด์ โรคไข้จับสั่น โรคฉี่หนู โรคไอกรน โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นต้น) ส่วนอาการไข้ที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่พบได้บ้าง คือ เป็นโรคภูมิต้านตนเอง โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคมะเร็ง เกิดการได้รับบาดเจ็บหรือมีบาดแผล การผ่าตัด การที่ร่างกายขาดน้ำ (เช่น อุจจาระร่วง อุณหภูมิภายนอกร่างกายสูงมากๆ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก) การแพ้ยา การที่ร่างกายทำปฏิกิริยากับสิ่งแปลกปลอม (เช่น หลังการฉีดวัคซีน) หรือเป็นปฏิกิริยาจากการใช้ยาบางชนิด เป็นต้น และมีน้อยครั้งที่ผู้ป่วยอาจมีไข้โดยที่แพทย์ตรวจไม่พบสาเหตุ เรียกว่า เอฟยูโอ (Fever of unknown origin – FUO) หรือ พียูโอ (Pyrexia of unknown origin – PUO)

จากตัวอย่างที่กล่าวมาจะเห็นว่า ไข้หรืออาการตัวร้อนเป็นเพียงอาการของโรคอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ถ้าลูกตัวร้อนเป็นไข้จะได้ไม่ต้องมาวิตกกังวลเรื่องไข้ แต่ควรวิตกว่าโรคอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดไข้มากกว่า หากมีสาเหตุมาจากโรคหวัดหรือไข้หวัดธรรมดาก็ไม่ต้องวิตก เพราะปกติโรคนี้มักจะไม่มีโรคแทรกซ้อนใด ๆ และไข้จะหายไปได้เองภายใน 3-4 วัน แต่หากเกิดจากไข้ไทฟอยด์ก็ควรจะวิตกเพราะถ้ารักษาไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาและเสียชีวิตได้

อาการของไข้

โดยทั่วไปไข้เป็นอาการที่ไม่รุนแรงและมักหายได้เองเสมอ (ไข้ลดลง) ภายใน 2-3 วันถ้าได้รับการรักษาที่สาเหตุ แต่ถ้ามีไข้สูงเกินอาจส่งผลต่ออาการทำงานของสมองได้ หรือถ้ามีไข้สูงในเด็กเล็กก็มักก่อให้เกิดอาการชักจากไข้ได้

การวินิจฉัยอาการไข้

แพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากประวัติอาการ การตรวจร่างกาย และการตรวจวัดอุณหภูมิของร่างกาย (โดยทั่วไปจะใช้ปรอทวัดไข้ทางปาก) หลังจากนั้นจะเป็นการตรวจต่าง ๆ เพื่อวินิจฉัยถึงสาเหตุของอาการไข้ ซึ่งถ้าสาเหตุเกิดจากโรคทั่วไปที่พบได้บ่อย แพทย์มักจะวินิจฉัยได้เพียงการดูจากประวัติอาการและการตรวจร่างกาย และให้การรักษาได้เลย แต่ในรายที่ไม่แน่ใจในสาเหตุ อาจจำเป็นต้องมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมตามดุลยพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด การตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการ โดยเฉพาะการตรวจซีบีซี (CBC) เป็นต้น

วิธีแก้ไข้

สมุนไพรแก้ไข้

วิธีป้องกันไข้

การป้องกันไข้คือ การป้องกันที่สาเหตุ ซึ่งสาเหตุของการเกิดไข้ที่พบได้บ่อยที่สุดคือเกิดจากการติดเชื้อโรค ดังนั้นการป้องกันที่ทำได้คือการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและป้องกันการติดเชื้อ คือ

เอกสารอ้างอิง
  1. ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “ไข้หรือตัวร้อน”.  (ศ.นพ.เกรียงศักดิ์ จีระแพทย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [23 ก.ค. 2016].
  2. งานการพยาบาลผู้ป่วยกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.  “การจัดการไข้ในผู้ป่วยเด็ก”.  (ดร.ศรีวัฒนา ทรงจิตสมบูรณ์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.med.cmu.ac.th/hospital/nped/2011/.  [24 ก.ค. 2016].
  3. หาหมอดอทคอม.  “ไข้ อาการไข้ตัวร้อน (Fever)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [24 ก.ค. 2016].
  4. สถานปฏิบัติการเภสัชชุมชน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ.  “ชนิดของไข้ (Fever Pattern)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : drug.pharmhcu.com.  [25 ก.ค. 2016].

ภาพประกอบ : www.health.harvard.edu, www.texasmedclinic.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ไข้
  • 2 สาเหตุการเกิดไข้
  • 3 อาการของไข้
  • 4 การวินิจฉัยอาการไข้
  • 5 วิธีแก้ไข้
  • 6 วิธีป้องกันไข้
  • 7 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ