ไขข้อข้องใจสเต็มเซลล์

สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells) คือเซลล์ชนิดพิเศษที่พบได้ทุกช่วงเวลาของการเจริญเติบโตในสิ่งมีชีวิตหรือในห้องทดลอง มีความสามารถในการแบ่งตัวออกเป็นเซลล์เกิดใหม่ที่เรียกว่าเซลล์ลูก (Daughter Cells) ได้อย่างไม่จำกัดและต่อเนื่อง นอกจากนี้ สเต็มเซลล์ยังสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์อื่น ๆ เกือบทุกชนิดในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ หรือเม็ดเลือดแดง สเต็มเซลล์จึงมีหน้าที่สำคัญในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และเปลี่ยนแปลงทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพภายในร่างกาย

สเต็มเซลล์

แหล่งของสเต็มเซลล์

เซลล์ต้นกำเนิดอาจพบได้จาก

ประโยชน์ของสเต็มเซลล์

สเต็มเซลล์นั้นมีประโยชน์ทั้งด้านการแพทย์และและด้านความงาม ซึ่งแตกต่างกันไปตามการนำไปใช้ ดังนี้

ประโยชน์ด้านการแพทย์

เนื่องจากเซลล์ต้นกำเนิดสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้ จึงถูกนำมาใช้รักษาและใช้ศึกษาโรคชนิดต่าง ๆ โดยปัจจุบันได้มีการรับรองการใช้สเต็มเซลล์เพื่อรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติในระบบเลือดเท่านั้น เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) หรือโรคโลหิตจาง (ทาลัสซีเมีย) โดยการรับรองมาตรฐานดังกล่าวนั้นรวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ของเซลล์ต้นกำเนิดไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การใช้รักษาโรค แต่ยังนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยที่อาจส่งผลดีในอนาคต ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการวิจัยได้โดยผ่านสถานบริการสาธารณสุขที่ดำเนินการวิจัยอย่างถูกต้อง ทั้งนี้การใช้ประโยชน์อาจประกอบด้วย

ประโยชน์ด้านความงาม

ปัจจุบันยังไม่มีผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ของการใช้สเต็มเซลล์เสริมความงามให้เห็นชัดเจน ว่าได้ผลจริงหรือเท็จ ทั้งในเรื่องความเสี่ยง หรือประสิทธิภาพของการต่อต้านริ้วรอยจากการใช้สเต็มเซลล์ ถึงแม้จะมีหลักฐานเพียงชิ้นเดียวคือการฉีดไขมันที่ใบหน้า (Lipo-Filling) ซึ่งเป็นศัลยกรรมความงามโดยการใช้สเต็มเซลล์เพื่อยกใบหน้าให้กระชับ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการชะลอวัยที่ยั่งยืน

ผลิตภัณฑ์ความงามที่มีส่วนประกอบของสเต็มเซลล์นั้น ยังคงอยู่นอกเหนือจากข้อยืนยันทางด้านวิทยาศาสตร์ แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้สูงว่าในอนาคต สเต็มเซลล์อาจถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านความงามก็ตาม ดังนั้น การมีวิจารณญาณที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตัดสินใจว่าจะเชื่อการโฆษณาหรือไม่

ความเสี่ยงจากการใช้ หรือปลูกถ่ายสเต็มเซลล์

การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เป็นกระบวนการรักษาที่มีความเสี่ยง ดังนี้

ความเสี่ยงจากการเสริมความงามด้วยสเต็มเซลล์

การใช้สเต็มเซลล์เสริมความงามอาจก่อให้เกิดความเสี่ยง ได้แก่

ธนาคารสเต็มเซลล์

ธนาคารสเต็มเซลล์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเก็บรักษาสเต็มเซลล์จากรกของทารก เพื่อสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินในอนาคต หากผู้ฝากเป็นโรคที่จำเป็นต้องใช้สเต็มเซลล์ในการรักษา ยิ่งไปกว่านั้นสเต็มเซลล์ของผู้ฝากยังอาจใช้ได้กับญาติได้อีกด้วย โดยวิธีการเก็บจะเป็นการเก็บเลือดที่เหลืออยู่ในรกภายหลัง คลอดทารกโดยเก็บเอาไว้ในธนาคารสเตมเซลล์ของเอกชน ทั้งนี้ธนาคารสเต็มเซลล์อาจมีข้อดีและข้อเสีย ได้แก่

ข้อดีของการทำธนาคารสเต็มเซลล์

การทำธนาคารสเต็มเซลล์มีข้อดี ดังนี้

ข้อเสียของการทำธนาคารสเต็มเซลล์

การทำธนาคารสเต็มเซลล์มีข้อเสีย ดังนี้

การรับรองสเต็มเซลล์ในไทย

เท่าที่ผ่านมามีการใช้สเต็มเซลล์เพียงแค่ในการรักษาโรคเกี่ยวกับเม็ดโลหิต เช่น มะเร็งเม็ดเลือด หรือธาลัสซีเมีย เท่านั้น เนื่องจากสเต็มเซลล์ยังเป็นเรื่องใหม่จึงยังไม่มีกฏหมายเฉพาะควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยได้อย่างครบถ้วน

อย่างไรก็ตาม มีการยกร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับสเต็มเซลล์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 ซึ่งผ่านการทำประชาพิจารณ์ในช่วงปี พ.ศ.2558 เป็นที่เรียบร้อย และในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการหารือเพื่อปรับปรุงสาระหลักของกฏหมาย ร่วมกับแพทยสภา  กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งสาระสำคัญของร่างกฏหมายฉบับนี้ในเบื้องต้นอาจประกอบด้วย

ผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ออกประกาศห้ามใช้เซลล์ เนื้อเยื่อ หรือผลิตภัณฑ์ที่มาจากร่างกายมนุษย์ เพื่อเป็นส่วนประกอบในการผลิตเครื่องสำอาง การประกาศห้ามดังกล่าวอาจทำให้ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดบางรายพยายามเลี่ยงการโฆษณาไปใช้ข้อความอื่น ๆ แทน เช่น ซีรัมหรือครีมที่มีส่วนประกอบของสเต็มเซลล์รกแกะ หรือสเต็มเซลล์จากพืช

แม้ว่าสารที่ผลิตออกมาจากสเต็มเซลล์ที่คาดว่าอาจมีส่วนช่วยในความงาม แต่การคาดการณ์ดังกล่าวก็ยังไม่มีความชัดเจนมากเท่าใดนัก กล่าวคือโปรตีนที่หลั่งจากเซลล์ต้นกำเนิดส่วนมากจะเป็นสารช่วยการเจริญเติบโต (Growth Factor) หรือสารจำพวกไซโตไคน์ (Cytokine) ซึ่งอาจสลายตัวในอุณหภูมิห้อง และสูญเสียสภาพได้เร็วภายใน 1-2 วัน แม้ว่าจะถูกเก็บแช่แข็งเอาไว้ก็ตาม เนื่องจากการละลายเพื่อนำมาใช้งานจะทำให้โปรตีนเกิดการเสื่อมสภาพ

การใช้วิจารณญาณก่อนการตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ข้องเกี่ยวกับส่วนผสมดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ควรคำนึงถึงเสมอ