โรคเรื้อน อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคเรื้อน 5 วิธี

โรคเรื้อน

โรคเรื้อน (Leprosy หรือ Hansen’s disease – HD) บ้างเรียกว่า ขี้ทูต กุฏฐัง หูหนาตาเล่อ ไทกอ โรคใหญ่ โรคพยาธิ โรคผิดเนื้อ หรือเนื้อตาย เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง จัดเป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่ติดต่อกันได้ยาก โดยจะก่อให้เกิดอาการของโรคที่ผิวหนังและเส้นประสาทส่วนปลายเป็นหลัก ในระยะแรกผู้ป่วยมักมีผื่นเดียวเป็นวงขาว ตรงกลางของผื่นไม่มีขน ไม่มีเหงื่อ และชา บางครั้งอาจตรวจพบเส้นประสาทบวมโตในบริเวณที่เป็นโรคเพียงข้างใดข้างหนึ่ง หากได้รับการรักษาจะหายได้เป็นปกติ แต่หากปล่อยทิ้งไว้เนิ่นเป็นปี ๆ โดยไม่รักษา โรคจะลุกลามอย่างช้า ๆ มีผื่นจำนวนมากขึ้น ลักษณะเป็นผื่นแดง ขอบเขตไม่ชัดเจน แล้วต่อมาจะหนาเป็นเม็ด เป็นตุ่มหรือเป็นแผ่น ผิวมักแดงเป็นมันเลื่อม ไม่เจ็บ ไม่คัน ไม่ชา ผื่นตุ่มเหล่านี้จะขึ้นกระจายทั้งสองข้างของร่างกาย ขนคิ้วร่วง และขาบวม ในระยะท้ายของโรค ผิวหนังจะเห่อหนา และมีเส้นประสาทบวมโตพร้อมกันทั้งสองข้างของร่างกาย ทำให้มีอาการชา นิ้วมือนิ้วเท้างอ เหยียดไม่ออก มือหงิก นิ้วกุด เท้าตก หรือตาบอด และอาจทำให้จมูกแหว่งจากอาการอักเสบของเยื่อบุจมูกตั้งแต่ในระยะแรก ๆ ในระยะนี้ แม้จะรักษาให้หายจากโรคได้ แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขความพิการดังกล่าวได้

โรคเรื้อนเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนา ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศทางยุโรปและสหรัฐอเมริกาแทบจะไม่พบว่ามีรายงานโรคนี้ ยกเว้นในกลุ่มผู้อพยพและผู้เดินทางมาจากถิ่นอื่น โดยมีรายงานในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2547-2553 ว่า พบอัตราการเกิดของโรคเรื้อนลดลงทั่วโลก โดยในปี พ.ศ 2553 พบรายงานของโรคนี้ 228,474 ราย โดย 95% ของโรค พบในประเทศแถบแอฟริกาและเอเชียแถบบังกลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา และฟิลิปปินส์ ส่วนในประเทศไทยโรคเรื้อนเป็นโรคที่พบได้ในทุกภาคของประเทศ แต่จะพบได้มากทางภาคอีสาน ปัจจุบันพบได้น้อยลง โดยในปี พ.ศ.2547 พบความชุกของโรคนี้เพียง 0.23 ราย ต่อประชากร 10,000 คน ส่วนข้อมูลจากสถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบอัตราความชุกของโรคเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2553 ลดลงเหลือเพียง 0.11 ราย ต่อประชากร 10,000 คน ซึ่งไม่ถือว่าเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขตามที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดไว้

สาเหตุของโรคเรื้อน

โรคนี้เกิดจากการติด “เชื้อโรคเรื้อน” ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “ไมโคแบคทีเรียมเลเพร” (Mycobacterium leprae) เป็นแบคทีเรียที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับแบคทีเรียที่ทำให้เกิดวัณโรค สามารถก่อให้เกิดโรคได้เฉพาะในคนหรือสัตว์บางชนิดเท่านั้น เช่น ตัวนิ่มเก้าลาย และลิงบางชนิด หากเชื้อโรคเรื้อนออกมาอยู่นอกตัวคนหรือสัตว์จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในธรรมชาติ

โรคนี้เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ยาก ส่วนวิธีการติดต่อในปัจจุบันไม่ทราบแน่ชัด แต่จากหลักฐานข้อมูลทางการแพทย์สันนิษฐานว่า โรคนี้อาจติดต่อกันโดย

  1. ติดเชื้อมาจากการสัมผัสทางผิวหนังหรือสูดเข้าทางเดินหายใจ (แต่จากการศึกษาแทบไม่พบว่าการสัมผัสผ่านผิวหนังของคนที่เป็นโรคนี้จะทำให้ติดเชื้อได้) เนื่องจากเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ยาก ผู้ติดเชื้อจะต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคเรื้อน (ในระยะติดต่อ) เป็นเวลานาน จึงจะได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย อย่างในประเทศที่มีความชุกของโรคเรื้อนสูง ก็พบว่าการอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกับคนที่เป็นโรคเรื้อนจะทำให้มีโอกาสเป็นโรคได้ประมาณ 10% ส่วนในประเทศที่มีความชุกของโรคบางเบา การอาศัยอยู่ใกล้ชิดกันจะมีโอกาสเป็นโรคได้เพียง 1% เท่านั้น และสำหรับแพทย์ พยาบาล หรือผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อนนั้นไม่พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อน
  2. ติดมาทางน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ โดยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้แล้วไม่ได้รับการรักษา จะตรวจพบว่ามีเชื้ออยู่ในน้ำมูกมากถึงสิบล้านตัว นอกจากนี้ในพื้นที่ที่มีความชุกของโรคสูง ยังตรวจพบเชื้อชนิดนี้อยู่ในจมูกของคนที่ไม่มีอาการของโรคด้วย แต่พบได้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย
  3. ติดเข้าสู่ร่างกายจากทางบาดแผล
  4. ติดเชื้อมาจากดิน เนื่องจากพบโรคนี้ได้มากในเขตชนบท อย่างในประเทศอินเดียเองก็ไม่พบโรคนี้ในเขตเมืองที่เจริญแล้ว อีกทั้งยังพบว่ามีเชื้อโรคอยู่ในดินในพื้นที่ที่มีความชุกของโรคสูง รวมทั้งโรคเรื้อนที่พบในเด็กก็มักจะมีอาการแสดงปรากฏที่บริเวณต้นขาและก้น ซึ่งเป็นบริเวณที่เด็กสัมผัสกับดินบ่อย ๆ
  5. ติดมาจากแมลง เนื่องจากมีหลักฐานพบว่าในบริเวณที่มีคนเป็นโรคนี้ จะพบเชื้อโรคอยู่ในยุงและในตัวเรือด และจากการทดลองในห้องปฏิบัติการก็พบว่า หนูสามารถติดเชื้อมาจากยุงได้

อนึ่ง เมื่อเชื้อโรคเรื้อนเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเข้าไปอาศัยอยู่เซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่เก็บกินเชื้อโรค และแบ่งตัวเพิ่มจำนวนต่อ ๆ ไปได้ และเชื้อโรคจะเข้าไปเกาะเซลล์พี่เลี้ยงเส้นประสาทชนิดชวานน์เซลล์ (Schwann cell) ทำให้เซลล์เหล่านี้ตาย จึงส่งผลให้เส้นประสาทเสียหายตามมามากขึ้น และในขณะเดียวกัน ร่างกายก็จะส่งเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ เข้ามาทำลายและเก็บกินเชื้อโรค เมื่อมีเซลล์เข้ามาที่เส้นประสาทมาก ๆ จึงทำให้เส้นประสาทดูมีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้ง ๆ ที่ได้สูญเสียการทำงานไปแล้ว

ระยะฟักตัวของโรคเรื้อน คือตั้งแต่รับเชื้อจนกระทั่งแสดงอาการจะใช้เวลาประมาณ 3-7 ปี (ต่ำสุดคือ 6 เดือน ถึง 40 ปี)

ผู้ที่ได้รับเชื้อไม่จำเป็นต้องกลายเป็นโรคเรื้อนทุกราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของร่างกายเป็นหลัก ถ้าร่างกายมีภูมิคุ้มกันเป็นปกติก็มักจะหายได้เองหรือมีอาการอย่างอ่อน (ไม่ร้ายแรง) แต่ถ้ามีภูมิคุ้มกันผิดปกติก็อาจเป็นโรคชนิดร้ายแรงได้

เชื้อโรคเรื้อนไม่สามารถก่อให้เกิดโรคในคนได้ง่ายนัก เนื่องจากเชื้อมีความรุนแรงไม่มาก (ผู้ที่รับเชื้อโรคเรื้อน 100 คน จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเพียง 3-5 คนเท่านั้น) ถ้าผู้ได้รับเชื้อมีสุขภาพแข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันที่ดีก็จะไม่เกิดอาการของโรค

ชนิดของโรคเรื้อน

โรคเรื้อนสามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิด ขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแรงของภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยแต่ละคนที่ตอบสนองต่อเชื้อ ได้แก่

นอกจากนี้ยังมีอาการที่ก้ำกึ่งระหว่างชนิดดังกล่าว ซึ่งแบ่งออกได้เป็นอีก 2 กลุ่ม เรียงตามลำดับความรุนแรงจากน้อยไปหามาก คือ

อาการของโรคเรื้อน

อนึ่ง ผู้ป่วยแต่ละรายอาจเริ่มต้นด้วยอาการชนิดใดชนิดหนึ่งระหว่างชนิดทูเบอร์คูลอยด์กับชนิดก้ำกึ่งก็ได้ แต่เมื่อภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเปลี่ยนไป โรคจะเปลี่ยนจากชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งได้ ยกเว้นในผู้ป่วยที่เริ่มจากชนิดเลโพรมาตัส อาการจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นชนิดที่มีความรุนแรงน้อยกว่า

อาการทั้งหมดที่กล่าวมานี้เกิดจากการที่เชื้อเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อต่าง ๆ โดยตรง แต่ยังมีอาการบางอย่างที่เกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายที่พยายามจะกำจัดเชื้อนี้ออกไปนั่นคือ ภาวะโรคเห่อ หรือ อาการเห่อ (Leprosy Reaction) ซึ่งเป็นการอักเสบที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันในผู้ป่วยโรคเรื้อน อาการแสดงที่พบได้ชัดเจนคือ บวมแดง ร้อน แต่ถ้าอาการอักเสบเกิดที่เส้นประสาทจะมีการสูญเสียหน้าที่ของเส้นประสาทนั้น ๆ และบางครั้งอาจมีอาการปวดร่วมด้วย

สาเหตุที่ผู้ป่วยโรคเรื้อนไม่ยอมมารับการรักษา อาจเกิดจากปัจจัยต่อไปนี้หรือทั้งสองปัจจัยร่วมกัน คือ

ด้วยความเชื่อความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับโรคเรื้อนที่ได้รับการบอกเล่าต่อ ๆ กันมา จึงทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ได้รับความทุกข์ทรมานจากการถูกรังเกียจจากคนรอบข้าง ทั้ง ๆ ที่โรคนี้ไม่ใช่โรคที่ติดต่อกันได้ง่าย ๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยโรคเรื้อนท้อถอย หมดกำลังใจที่จะไปรับการรักษา และผู้ป่วยต้องหลบซ่อนตัวไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นโรคเรื้อนเพราะกลัวถูกรังเกียจ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเรื้อน

ผู้ป่วยโรคเรื้อน ถ้าไม่ได้รับการรักษาและปล่อยให้โรคดำเนินไปเรื่อย ๆ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนและมีความพิการต่าง ๆ เกิดขึ้นดังต่อไปนี้

การวินิจฉัยโรคเรื้อน

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเรื้อนได้จากอาการ และอาการแสดงทางคลินิกต่าง ๆ (ตรวจพบรอยโรคผิวหนังที่มีลักษณะเฉพาะของโรคเรื้อน รอยโรคมีอาการชา และพบว่ามีเส้นประสาทโต) ร่วมกับขูดหรือกรีดผิวหนัง (Slit skin smear) ใส่บนแผ่นกระจกใส แล้วนำไปทำการย้อมด้วยสีทนกรดหรือแอซิดฟาสต์ (Acid fast stain) เช่นเดียวกับการตรวจเชื้อวัณโรค ถ้าพบว่าเป็นชนิดเลโพรมาตัสและชนิดก้ำกึ่ง มักจะพบเชื้อโรคเรื้อน แต่ถ้าเป็นโรคเรื้อนชนิดทูเบอร์คูลอยด์ อาจจะตรวจไม่พบเชื้อ

นอกจากนี้ แพทย์อาจผ่าตัดชิ้นเนื้อของผิวหนังและเส้นประสาทที่บวมโตไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์หรือที่เรียกว่า การตรวจชิ้นเนื้อ (Biospy) หรืออาจทดสอบทางผิวหนังที่เรียกว่า การทดสอบเลโพรมิน (Lepromin test) ซึ่งจะให้ผลบวกในผู้ป่วยชนิดทูเบอร์คูลอยด์ และให้ผลลบในผู้ป่วยชนิดเลโพรมาตัส ทั้งนี้การที่ต้องแยกผู้ป่วยให้ชัดเจนก็เพราะว่าชนิดของยาและระยะเวลาที่ใช้รักษาแตกต่างกัน

วิธีรักษาโรคเรื้อน

หากสงสัยว่าเป็นโรคเรื้อน เช่น พบผื่นเป็นวงด่างขาว มีอาการชาที่ผื่น (ซึ่งเข็มแทงไม่เจ็บ) หรือแม้ว่าจะไม่มีผื่นปรากฏให้เห็น แต่มีความรู้สึกรับสัมผัสที่ผิวหนังลดลงจากการสัมผัสความร้อนความเย็น, หรือมีผื่นหรือตุ่มขึ้นที่ใบหน้า ใบหูสองข้าง หรือส่วนอื่น ๆ ซึ่งเป็นแบบเรื้อรังหรือใช้ยาทาเป็นเดือน ๆ แล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป ถ้าพบว่าเป็นโรคเรื้อน แพทย์จะให้ยารักษาโรคเรื้อน ซึ่งมีให้เลือกใช้อยู่ 3 ชนิด ได้แก่ แดปโซน (Dapsone) หรือดีดีเอส (DDS – Diaminodiphenyl sulfone), ไรแฟมพิซิน (Rifampicin) และโคลฟาซิมีน (Clofazimine) ซึ่งมีชื่อทางการค้า เช่น แลมพรีน (Lamprene) โดยแพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับชนิดและความรุนแรงของโรคเรื้อน ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้

  1. ประเภทที่ตรวจไม่พบเชื้อหรือมีเชื้อน้อยมากจนตรวจไม่พบ (Paucibacillary leprocy – PB) ได้แก่ โรคเรื้อนไม่ทราบชนิด โรคเรื้อนชนิดทูเบอร์คูลอยด์ และโรคเรื้อนชนิดก้ำกึ่งทูเบอร์คูลอยด์ แพทย์จะให้รับประทานยาแดปโซน (Dapsone) ในขนาด 100 มิลลิกรัม (สำหรับเด็กให้ใช้ในขนาด 1-2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) วันละ 1 ครั้ง ทุกวัน ร่วมกับยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin) ในขนาด 600 มิลลิกรัม (สำหรับเด็กให้ใช้ในขนาด 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) เดือนละ 1 ครั้ง นาน 6 เดือน ถ้าครบ 6 เดือนแล้วยังตรวจพบว่ามีอาการกำเริบ ต้องใช้ต่อไปอีก 6 เดือน หลังจากนั้นผู้ป่วยควรตรวจร่างกายและตรวจเชื้ออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 3 ปี
  2. ประเภทเชื้อมาก (Multbacillary leprocy – MB) ได้แก่ โรคเรื้อนชนิดก้ำกึ่ง โรคเรื้อนชนิดก้ำกึ่งเลโพรมาตัส และโรคเรื้อนชนิดเลโพรมาตัส แพทย์จะให้รับประทานยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin) ในขนาด 600 มิลลิกรัม (สำหรับเด็กให้ใช้ในขนาด 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) ร่วมกับยาโคลฟาซิมีน (Clofazimine) ในขนาด 300 มิลลิกรัม (สำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ให้ใช้ในขนาด 100 มิลลิกรัม ส่วนเด็กอายุ 6-14 ปี ให้ใช้ในขนาด 150-200 มิลลิกรัม และตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป ให้ใช้ในขนาด 300 มิลลิกรัม) เดือนละ 1 ครั้ง และให้รับประทานยาแดปโซน (Dapsone) ในขนาด 100 มิลลิกรัม (สำหรับเด็กให้ใช้ในขนาด 1-2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) ร่วมกับยาโคลฟาซิมีน (Clofazimine) ในขนาด 50 มิลลิกรัม (สำหรับเด็กให้ใช้ในขนาด 1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) วันละ 1 ครั้ง ทุกวัน เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อและอาการไม่กำเริบ หลังจากนั้นผู้ป่วยควรตรวจร่างกายและตรวจเชื้ออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 5 ปี
  3. การรักษาความผิดปกติที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ถึงแม้รักษาให้พ้นระยะติดต่อ (เชื้อในร่างกายหมดไป) แต่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เช่น มือเท้าผิดรูปร่าง จมูกโหว่ หรือพิการ มักจะเป็นไปอย่างถาวร ซึ่งในกรณีนี้แพทย์อาจแก้ไขให้ด้วยการทำศัลยกรรมตกแต่งหรือวิธีการทางกายภาพบำบัดต่าง ๆ ส่วนผู้ป่วยที่เกิดฝีขึ้นที่เส้นประสาท ก็ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเอาหนองออกเท่านั้น
  4. การรักษาภาวะโรคเห่อในโรคเรื้อน (Leprosy reaction) หลักสำคัญที่สุดคือต้องหยุดกระบวนการอักเสบที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาท เพื่อป้องกันมิให้เกิดความพิการ โดยยาที่ใช้ในการรักษาภาวะโรคเห่อในโรคเรื้อนคือ ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone) ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะเส้นประสาทอักเสบร่วมด้วย สามารถใช้ได้ในภาวะเส้นประสาทอักเสบ, ภาวะโรคเห่อชนิดผื่นแดง และภาวะโรคเห่อชนิดตุ่มอักเสบอย่างรุนแรง โดยอาจเริ่มด้วยยาขนาด 40 มิลลิกรัมต่อวัน ถ้าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นให้ลดยาทุก 2 สัปดาห์ จนหยุดการรักษาในเวลา 12 สัปดาห์ ส่วนการรักษาโรคเห่อชนิดตุ่มอักเสบอย่างรุนแรง นอกจากการใช้เพรดนิโซโลนแล้ว ควรเพิ่มขนาดของยาโคลฟาซิมีน (Clofazimine) ให้สูงขึ้นด้วย โดยในสัปดาห์ที่ 1-8 ให้ใช้ยาโคลฟาซิมีนในขนาด 200 มิลลิกรัม/วัน และสัปดาห์ที่ 9-12 ให้ลดขนาดลงเหลือ 100 มิลลิกรัม/วัน
  5. คำแนะนำในการดูแลตัวเองของผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อน
    • ผู้ป่วยต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งเป็นประจำ อย่าหยุดยาเองจนกว่าแพทย์จะบอกให้เลิก เพราะการหยุดยาโดยไม่จำเป็นอาจทำให้เชื้อดื้อยาได้ ซึ่งแม้จะพบได้น้อยก็ตาม แต่ก็อาจเป็นปัญหาใหญ่ได้ เพราะยาที่ใช้รักษาโรคเรื้อนไม่ได้มีความหลากหลายเท่ายารักษาโรคติดเชื้ออื่น ๆ
    • ยาแดปโซน (Dapsone) หรือ ดีดีเอส (DDS – Diaminodiphenyl sulfone) อาจทำให้เกิดอาการแพ้เป็นผื่นคัน ตับอักเสบ หรือเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Agranulocytosis) ส่วนในผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องเอนไซม์จี-6-พีดี อาจทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการเห่อ (Lepra reaction) ทำให้ผู้ป่วยมีผื่นตุ่มขึ้น มีไข้ ปวดตามข้อตามกระดูก และปวดประสาท ถ้าใช้ยาแล้วสงสัยว่ามีผลข้างเคียงจากยา ควรหยุดใช้ยานี้แล้วรีบกลับไปพบแพทย์ที่ให้การรักษาโดยเร็ว
    • ผู้ป่วยควรนอนแยกต่างหากจากผู้อื่น และอย่าใช้เสื้อผ้าและของใช้ร่วมกับผู้อื่น สำหรับการรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกันก็ควรใช้ช้อนกลางเสมอ ส่วนผู้ป่วยที่ต้องนอนในโรงพยาบาลนั้น ไม่จำเป็นต้องแยกห้องกับผู้ป่วยอื่น ๆ แต่อย่างใด เพราะอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าการสัมผัสผ่านผิวหนังของผู้ป่วยแทบจะไม่ทำให้ติดเชื้อโรคเรื้อนได้ เพราะการติดเชื้อส่วนใหญ่คือจะต้องอยู่ใกล้ชิดหรือคลุกคลีกับผู้ป่วยเป็นเวลานานพอสมควร
    • ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง และมีภูมิต้านทานโรคที่ดี
    • ถ้ามีอาการชาของมือและเท้า ควรระวังอย่าให้ถูกความร้อน เช่น น้ำร้อน เตาไฟ บุหรี่ ฯลฯ และของมีคม ผู้ป่วยควรใช้ผ้าพันมือเวลาทำงานและสวมรองเท้าเสมอเวลาออกนอกบ้าน แต่ถ้ามีบาดแผลเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว อย่าปล่อยให้ลุกลามจนพิการ

วิธีป้องกันโรคเรื้อน

  1. เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคเรื้อนและยังไม่มียาที่จะใช้ป้องกันการเกิดโรคได้ ดังนั้นประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วยโรคเรื้อน ควรหมั่นสำรวจดูอาการทางผิวหนังของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ถ้ามีผื่นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นโรคเรื้อนในระยะเริ่มแรก ซึ่งมักจะเป็นวงด่างขาวจาง ๆ ตรงตำแหน่งที่มีผื่น ไม่มีเหงื่อออกและขนร่วง ควรรีบมาปรึกษาแพทย์
  2. อย่าอยู่ใกล้ชิดหรือคลุกคลีกับผู้ป่วยในระยะติดต่อ (มีอาการผื่น ตุ่ม กระจายตามตัว) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีเด็กอยู่ในบ้านเดียวกับผู้ป่วย ควรแยกเด็กออกต่างหาก อย่าให้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยจนพ้นระยะติดต่อ (ตรวจไม่พบเชื้อบนผิวหนังของผู้ป่วยแล้ว)
  3. ทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกับผู้ป่วยควรไปตรวจสุขภาพร่างกายปีละ 1 ครั้ง เพื่อเฝ้าระวังการเกิดโรค
  4. อย่าใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว และของใช้ร่วมกับผู้ป่วย สำหรับการรับประทานร่วมโต๊ะกันควรใช้ช้อนกลางด้วยเสมอ
  5. ในเด็กแรกคลอดที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค จะมีภูมิคุ้มกันป้องกันโรคเรื้อนได้ แต่อาจป้องกันไม่ได้ 100% ส่วนในผู้ใหญ่การฉีดวัคซีนวัณโรคจะไม่ได้ช่วยป้องกันโรคนี้ได้
  6. ไม่แนะนำให้รับประทานยาป้องกันเหมือนในวัณโรคที่คนอาศัยอยู่บ้านเดียวกับผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาป้องกัน

คำแนะนำเกี่ยวกับโรคเรื้อน

หากทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเรื้อนอย่างถ่องแท้แล้ว จะเห็นได้ว่าโรคนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ไม่ได้ติดต่อกันได้ง่าย ๆ เราสามารถพูดคุยหรือรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วยทั้งที่กำลังรักษาและหายจากโรคแล้วได้ตามปกติ และเราควรเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสังคมอย่างเป็นปกติเช่นเราทุกคน

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “โรคเรื้อน (Leprosy)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 997-1000.
  2. หาหมอดอทคอม.  “โรคเรื้อน (Leprosy)”.  (พญ.สลิล ศิริอุดมภาส).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [18 มิ.ย. 2016].
  3. ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “โรคเรื้อน”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [18 มิ.ย. 2016].
  4. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 345 คอลัมน์ : เรื่องน่ารู้.  “โรคเรื้อน ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [18 มิ.ย. 2016].
  5. กลุ่มสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.  “โรคเรื้อน”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : odpc2.ddc.moph.go.th.  [19 มิ.ย. 2016].

ภาพประกอบ : diseasespictures.com, itg.author-e.eu, web.stanford.edu, www.actasdermo.org, english.aifo.it, dermaamin.com, www.doctorshangout.com, www.researchgate.net

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคเรื้อน
  • 2 สาเหตุของโรคเรื้อน
  • 3 ชนิดของโรคเรื้อน
  • 4 อาการของโรคเรื้อน
  • 5 ภาวะแทรกซ้อนของโรคเรื้อน
  • 6 การวินิจฉัยโรคเรื้อน
  • 7 วิธีรักษาโรคเรื้อน
  • 8 วิธีป้องกันโรคเรื้อน
  • 9 คำแนะนำเกี่ยวกับโรคเรื้อน
  • 10 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ