โรคเบาหวาน (Diabetes) อาการ, สาเหตุ, การรักษา, วิธีป้องกัน ฯลฯ

เบาหวาน

โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus : DM, Diabetes) เป็นโรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการนำน้ำตาลไปใช้ประโยชน์อันเกี่ยวเนื่องกับความบกพร่องของฮอร์โมนอินซูลิน* ทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้เป็นเวลานานจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ เสื่อม ก่อให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา ผู้ที่เป็นเบาหวานมักจะมีประวัติคนในครอบครัว (พ่อแม่หรือญาติพี่น้องสายตรง) เป็นโรคนี้ด้วย และมักจะมีภาวะน้ำหนักตัวเกินร่วมด้วย

เบาหวานเป็นโรคที่พบได้สูงในคนทุกอายุและทั้งสองเพศ และพบได้สูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ในบ้านเราพบคนเป็นโรคเบาหวานประมาณ 4-6% ของประชากรทั่วไป, 7.1% ของคนไทยช่วงอายุ 20-79 ปี และ 9.6% ของคนไทยที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556 มีผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทยประมาณกว่า 3.5 ล้านคน) และทางสหพันธ์เบาหวานนานาชาติมีการคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 415 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2558 เป็น 642 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2583

คนจำนวนมากกว่าครึ่งไม่ทราบว่าตนเป็นโรคเบาหวาน สถิติการพบผู้ป่วยโรคนี้จึงยังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้องมีการรณรงค์กันอย่างต่อเนื่องถึงภัยร้ายของโรคนี้ เพราะโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนลุกลามใหญ่โตจนต้องสูญเสียอวัยวะที่สำคัญของร่างกายได้ ด้วยเหตุนี้ทางสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation : IDF) และองค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้กำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลก เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคนี้

หมายเหตุ : อินซูลิน (Insulin) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากเบตาเซลล์ (Beta cells) ของตับอ่อน (Pancreas) โดยฮอร์โมนอินซูลินนี้จะมีหน้าที่ช่วยนำน้ำตาลหรือกลูโคสในเลือด (ซึ่งได้จากอาหารที่เรารับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต และของหวาน) เข้าสู่ทั่วร่างกาย เพื่อเผาผลาญให้เป็นพลังงานสำหรับการทำหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ

สถิติเบาหวาน
IMAGE SOURCE : www.diabetesdaily.com

สาเหตุของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานมีสาเหตุมาจากการบกพร่องของฮอร์โมนอินซูลิน ผู้ที่เป็นเบาหวานจะพบว่าตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยหรือผลิตไม่ได้เลย หรือผลิตได้ปกติ แต่ประสิทธิภาพของอินซูลินลดลง เช่นที่พบในคนอ้วน ซึ่งเรียกว่า “ภาวะดื้อต่ออินซูลิน” (Insulin resistance) เมื่อขาดอินซูลินหรืออินซูลินทำหน้าที่ไม่ได้ น้ำตาลในเลือดจึงเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ได้น้อยกว่าปกติ จึงทำให้เกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือด และน้ำตาลก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงเรียกโรคนี้ว่า “เบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมาก (มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก) มักจะมีอาการปัสสาวะบ่อยและมาก เพราะน้ำตาลที่ออกมาทางไตจะดึงเอาน้ำออกมาด้วย จึงทำให้มีปัสสาวะออกมามากกว่าปกติ เมื่อผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะมากก็จะทำให้รู้สึกกระหายน้ำจนต้องคอยดื่มน้ำบ่อย ๆ และเนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานจะไม่สามารถนำน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงานได้ ร่างกายจึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันแทน จึงทำให้ร่างกายผอม กล้ามเนื้อฝ่อลีบ ไม่มีไขมัน อ่อนเปลี้ยเพลียแรง นอกจากนี้ การมีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ๆ ยังทำให้อวัยวะตาง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติและนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนได้มากมาย

สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานนั้น สามารถอ่านได้ที่หัวข้อด้านล่าง เกณฑ์การตรวจคัดกรองโรคเบาหวานในผู้ที่ไม่มีอาการแสดง

ระดับน้ำตาลในเลือดจะขึ้นอยู่กับความสมดุลระหว่างปัจจัยหลายประการ โดยปัจจัยที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดก็เช่น การออกแรงกาย ยารักษาเบาหวาน ส่วนปัจจัยที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดก็เช่น อาหารอย่างของหวานหรือน้ำตาล ความเครียด การตั้งครรภ์ การบาดเจ็บ การติดเชื้อ การใช้ยาบางชนิดอย่างยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิด

ชนิดของเบาหวาน

โรคเบาหวานสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด ซึ่งจะมีสาเหตุ ความรุนแรง และการรักษาที่แตกต่างกันไป ได้แก่

  1. เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 diabetes mellitus) ซึ่งแต่เดิมผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะเรียกว่า “เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน” (Insulin-dependent diabetes mellitus : IDDM) เป็นเบาหวานชนิดที่พบได้น้อยประมาณ 5% ของเบาหวานทั้งหมด แต่มีความรุนแรงและอันตรายสูง อาการของโรคจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน เบาหวานชนิดนี้มักพบในเด็กและผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี (จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “โรคเบาหวานในเด็กและวัยรุ่น” หรือ Juvenile diabetes mellitus) แต่ก็อาจพบในผู้สูงอายุได้บ้าง ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินได้น้อยมากหรือผลิตไม่ได้เลย ซึ่งแพทย์เชื่อว่าร่างกายของผู้ป่วยมีการสร้างสารภูมิต้านทานขึ้นมาต่อต้านทำลายตับอ่อนของตนเองจนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ดังที่เรียกว่า “โรคภูมิต้านตนเอง” (Autoimmune) ทั้งนี้เป็นผลมาจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ร่วมกับการติดเชื้อหรือการได้รับสารพิษจากภายนอก ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีรูปร่างผอม มีอาการของโรคชัดเจนและจำเป็นต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเข้าไปทดแทนทุกวันตลอดชีวิต ร่างกายจึงจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลได้ตามปกติ มิเช่นนั้นร่างกายจะหันไปเผาผลาญไขมันแทนจนทำให้ร่างกายผอมลงอย่างรวดเร็ว และถ้าเป็นรุนแรงก็จะมีการคั่งของสารคีโตน (Ketones) ซึ่งเป็นสารที่เป็นพิษต่อระบบประสาท (สารคีโตนนี้เป็นสารที่เกิดจากการเผาผลาญไขมัน) จึงทำให้ผู้ป่วยหมดสติถึงตายได้อย่างรวดเร็ว เรียกว่า “ภาวะคั่งสารคีโตน” (Ketosis)
  2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 diabetes mellitus) ซึ่งแต่เดิมผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะเรียกว่า “เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน” (Non-insulin-dependent diabetes mellitus : NIDDM) เป็นเบาหวานชนิดที่พบได้เป็นส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% ของเบาหวานทั้งหมด เมื่อพูดถึงโรคเบาหวาน จึงมักหมายถึงเบาหวานชนิดนี้ โดยเบาหวานชนิดที่ 2 นี้มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 30-40 ปีขึ้นไป (จึงเรียกอีกชื่อว่า “เบาหวานในผู้ใหญ่” หรือ Adult onset diabetes mellitus) แต่ในปัจจุบันก็มีแนวโน้มจะพบในเด็กและวัยรุ่นได้มากขึ้น เบาหวานชนิดนี้มักมีความรุนแรงน้อย เพราะตับอ่อนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังสามารถผลิตอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย (อาการของโรคจึงมีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลานาน) หรือผลิตได้เพียงพอแต่เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน จึงทำให้มีน้ำตาลคั่งในเลือดกลายเป็นเบาหวานได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีภาวะน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วน สาเหตุอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ อ้วนเกินไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดงชัดเจนและมักไม่เกิดภาวะคั่งสารคีโตน การควบคุมอาหารหรือการใช้ยาเบาหวานชนิดรับประทานมักจะได้ผลในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติได้ (แต่บางครั้งที่ระดับน้ำตาลสูงมาก ๆ ก็อาจต้องใช้อินซูลินฉีดเป็นครั้งคราว) ยกเว้นในรายที่ดื้อต่อยารับประทานที่อาจต้องใช้อินซูลินตลอดไป
  3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes mellitus : GDM) พบได้ประมาณ 2-5% ของเบาหวานทั้งหมด โดยในขณะตั้งครรภ์รกจะสร้างฮอร์โมนหลายชนิดเข้าไปในร่างกายหญิงตั้งครรภ์ (ซึ่งฮอร์โมนบางชนิดจะมีฤทธิ์ต่อต้านฮอร์โมนอินซูลิน) จึงทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน เป็นเหตุให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนกลายเป็นเบาหวาน แต่หลังคลอดบุตรระดับน้ำตาลในเลือดของมารดามักจะกลับเป็นสู่ปกติ (หญิงกลุ่มนี้อาจคลอดทารกตัวโตที่มีน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า 4 กิโลกรัม และมักเป็นเบาหวานซ้ำอีกเมื่อตั้งครรภ์ใหม่ และจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานเรื้อรังตามมาได้ในระยะยาว) อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ เบาหวานขณะตั้งครรภ์
  4. เบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะอื่น ๆ เช่น เบาหวานที่เกิดจากการใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะไทอะไซด์ ฮอร์โมนไทรอยด์ กรดนิโคตินิก), เบาหวานที่พบร่วมกับโรคหรือภาวะผิดปกติทางกรรมพันธุ์ เช่น เบาหวานที่พบร่วมกับโรคติดเชื้อ (เช่น คางทูม หัดเยอรมันโดยกำเนิด โรคติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส) เบาหวานที่พบร่วมกับโรคอื่น ๆ (เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง มะเร็งตับอ่อน กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง โรคคุงชิง เนื้องอกต่อมหมวกไตฟีโอโครโมโซโตมา โรคอะโครเมกาลี)
ชนิดของเบาหวาน
IMAGE SOURCE : www.diabetes-matters.com

อาการของโรคเบาหวาน

อาการเบาหวาน
IMAGE SOURCE : www.diabetocracy.com

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

ภาวะแทรกซ้อนมักเกิดกับผู้ป่วยเบาหวานที่ปล่อยปละละเลย ขาดการรักษา หรือดูแลรักษาไม่ถูกต้อง โดยภาวะแทรกซ้อนนี้จะมีทั้งแบบเฉียบพลัน (เช่น หมดสติ ติดเชื้อรุนแรง) และแบบเรื้อรัง (มักเกิดในกล่มผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้เป็นเวลานาน ซึ่งบางคนอาจใช้เวล 5-10 ปีขึ้นไป ทำให้หลอดเลือดแดงทั้งเล็กและใหญ่แข็งและตีบตัน ส่งผลให้อวัยวะหลายส่วน เช่น ระบบประสาท สมอง หัวใจ ตา ไต เท้า ขาดเลือดไปเลี้ยงจนเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะเหล่านี้เสื่อมสมรรถภาพ พิการหรือสูญเสียหน้าที่ไป)

ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีจะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ (เพราะเม็ดเลือดขาวทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคได้น้อยลง) นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวานยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะอื่น ๆ เป็นเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้อีกหลายอย่าง ซึ่งในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญหรือพบได้บ่อย ได้แก่

  1. ภาวะหมดสติจากเบาหวาน เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและรุนแรง หากผู้ป่วยไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยอาจเกิจาก
    • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย ซึ่งมักพบในผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานหรือฉีดยาอย่างสม่ำเสมอ หรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ค่อนข้างดีอยู่เดิม แต่มักเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้ป่วยใช้ยาเบาหวานมากเกินขนาด อดอาหาร หรือรับประทานอาหารน้อยเกินไป หรือรับประทานอาหารผิดเวลานานเกินไป ดื่มแอลกอฮอล์มาก หรือมีการออกแรงกายหนักและนานเกินไป โดยในระยะแรกผู้ป่วยจะรู้สึกหิว ใจสั่น มือสั่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ มึนงง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ กระสับกระส่าย หงุดหงิด เหงื่อออก ตัวเย็น ตาพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน ถ้าผู้ป่วยรีบกินน้ำตาลหรือน้ำหวานอาการต่าง ๆ จะทุเลาลงได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่หากไม่ทำการแก้ไขดังกล่าว ก็จะมีอาการขากรรไกรแข็ง ชักเกร็ง ไม่ค่อยรู้สึกตัวหรือหมดสติ ตรวจปัสสาวะไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ และตรวจพบน้ำตาลในเลือดต่ำ
    • ภาวะคีโตแอซิโดซิส (Ketoacidosis) พบได้เฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ขาดการฉีดอินซูลินเป็นเวลานาน หรือพบในภาวะติดเชื้อหรือได้รับบาดเจ็บซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการอินซูลินมากขึ้น ร่างกายจึงเผาผลาญไขมันแทนน้ำตาลทำให้เกิดการคั่งของสารคีโตนในเลือดจนเกิดภาวะเลือดเป็นกรด (Diabetic ketoacidosis) ผู้ป่วยจึงมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำอย่างมาก หายใจหอบลึก ลมหายใจมีกลิ่นหอมจากสารคีโตน กระวนกระวาย มีไข้ มีภาวะขาดน้ำรุนแรง (หนังเหี่ยว ตาโบ๋ ความดันต่ำ ชีพจรเบาเร็ว) อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย ผู้ป่วยจะซึมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดสติ
    • ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรง (Nonketotic hyperglycemic hyperosmolar coma : NKHHC) มักพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เป็นโรคโดยไม่รู้ตัวหรือขาดการรักษา หรือมีภาวะติดเชื้อรุนแรง (เช่น ปอดอักเสบ กรวยไตอักเสบ โลหิตเป็นพิษ) หรือมีการใช้ยาบางชนิดร่วมด้วย (เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาสเตียรอยด์) ผู้ป่วยจึงมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก ๆ (เกิน 600 มก./ดล. ขึ้นไป) จึงทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง ซึม เพ้อ ชัก หมดสติ โดยก่อนหน้าที่จะหมดสติเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย
  2. ภาวะแทรกซ้อนของระบบประสาท ได้แก่ ระบบประสาทเสื่อม (Neuropathy) ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่มาเลี้ยงระบบประสาทเกิดการแข็งและตีบ ถ้าเกิดกับประสาทส่วนปลายที่เลี้ยงแขนขา ในระยะแรกอาจมีอาการปลายมือปลายเท้าแสบร้อนหรือเจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง ซึ่งมักเป็นมากตอนกลางคืนจนบางรายอาจนอนไม่หลับ อาการจะทุเลาหรือหายได้เมื่อคุมเบาหวานได้ดี ถ้าปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงต่อไปนาน ๆ จะเกิดอาการชาปลายมือปลายเท้า ซึ่งจะค่อย ๆ ลุกลามสูงขึ้นเรื่อย ๆ และอาการชาเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่หายไปแม้ต่อมาจะควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้นก็ตาม จนในที่สุดก็จะไม่มีความรู้สึก จึงทำให้เกิดบาดแผลที่เท้าได้ง่ายเมื่อเหยียบถูกของมีคมหรือของร้อน ๆ เมื่อเกิดบาดแผลก็จะมีโอกาสติดเชื้ออักเสบเนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำ และเนื่องจากมีภาวะขาดเลือดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบ จึงทำให้แผลหายได้ยาก บางครั้งอาจลุกลามรุนแรงหรือเป็นเนื้อเน่าตาย (Gangrene) และจำเป็นต้องตัดอวัยวะบริเวณนั้นทิ้ง เช่น นิ้วเท้าหรือข้อเท้าทิ้ง ทำให้เกิดความพิการได้ (ผู้ป่วยเบาหวานจึงต้องหมั่นดูแลเท้าอย่าให้เกิดบาดแผล)
    • นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีความเสื่อมของระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic neuropathy) ซึ่งควบคุมอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย จึงทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะจากภาวะความดันตกในท่ายืน ปวดท้อง ท้องเสีย หรือท้องผูกเรื้อรังจากโรคลำไส้แปรปรวน อาการอาหารไม่ย่อยหรือแสบลิ้นปี่จากโรคกรดไหลย้อน องคชาตไม่แข็งตัว กระเพาะปัสสาวะหย่อนสมรรถภาพ (ทำให้ถ่ายปัสสาวะออกไม่หมด เกิดกระเพาะอักเสบเรื้อรัง) ต่อมเหงื่อไม่ทำงาน (ทำให้ผิวหนังแห้ง)
    • บางรายอาจมีประสาทเลี้ยงกล้ามเนื้อตาเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อตาเป็นอัมพาต เกิดอาการตาเหล่ หนังตาตก หลับตาไม่สนิท รูม่านตาขยาย มองเห็นภาพซ้อน แต่อาการเหล่านี้มักหายไปได้เองภายใน 6-12 สัปดาห์
  3. ภาวะแทรกซ้อนของตา ที่สำคัญ คือ จอประสาทตาเสื่อม หรือ ภาวะเบาหวานขึ้นตา (Retinopathy) ซึ่งในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่รู้สึกผิดปกติ จนกระทั่งเป็นมากแล้วจะเกิดอาการตามัว ตาบอดได้ ดังนั้นจึงควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็กตาปีละ 1 ครั้ง (ผู้ป่วยเบาหวานตั้งครรภ์ควรตรวจตั้งแต่อายุครรภ์ 3 เดือนแรก และตรวจเป็นระยะจนกระทั่งหลังคลอด 1 ปี เนื่องจากการตั้งครรภ์อาจทำให้จอประสาทตาเสื่อมได้มากขึ้น) ถ้าพบตั้งแต่ระยะแรกเริ่มจะได้ให้การรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้ตาบอดได้ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยเบาหวานอาจเป็นต้อกระจกก่อนวัย หรือต้อหินเรื้อรัง เลือดออกในวุ้นลูกตา จอตาลอก ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาก็อาจทำให้ตาบอดได้
  4. ภาวะแทรกซ้อนของไต ที่สำคัญ คือ ไตเสื่อม (Nephropathy) หรือไตวายเรื้อรัง (Chronic renal failure) ซึ่งเกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่มาเลี้ยงไต จึงทำให้ไตเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยในระยะแรก ๆ จะพบว่ามีสารไข่ขาวหลุดออกมาในปัสสาวะจำนวนน้อย ซึ่งในระยะนี้ยังมีทางบำบัดเพื่อป้องกันภาวะไตเสื่อมได้ ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสารไข่ขาวในปัสสาวะอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากปล่อยปละละเลยจนไตเสื่อมถึงที่สุดก็จะกลายเป็นไตวายเรื้อรัง ซึ่งในที่สุดอาจต้องทำการฟอกไตหรือผ่าตัดปลูกถ่ายไต
  5. ภาวะหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ (Atherosclerosis) ทำให้หลอดเลือดตีบตันจนขาดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ ได้แก่ หัวใจ สมอง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย (เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ) ก็จะยิ่งมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้มากขึ้น ผู้ป่วยเบาหวานจึงต้องควบคุมเบาหวานและปัจจัยเสี่ยงไปพร้อม ๆ กัน รวมทั้งต้องรับประทานยาแอสไพรินเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ เลือดยังอาจขาดเลือดไปเลี้ยงขาและเท้าด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อน่องขณะเดินมาก ๆ ถ้าเกิดเป็นแผลที่เท้า แผลจะหายได้ยาก หรือนิ้วเท้าเป็นเนื้อตายเน่า และอาจพบเป็นตะคริวตอนกลางคืนได้บ่อย
  6. การติดเชื้อ ผู้ป่วยเบาหวานจะเป็นโรคติดเชื้อได้ง่ายเนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำ โดยอาจเป็นการติดเชื้อซ้ำซาก (เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ โรคเชื้อราแคนดิดา กลาก) เป็นการติดเชื้อเรื้อรัง (เช่น วัณโรคปอด) หรืออาจเป็นการติดเชื้อรุนแรง (เช่นหูชั้นนอกอักเสบรุนแรง ปอดอักเสบ กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน เท้าเป็นแผลติดเชื้อซึ่งอาจลุกลามจนเท้าเน่า)
  7. ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น การอักเสบของเนื้อเยื่อรอบฟัน (มีโอกาสมากที่จะเป็นโรคปริทันต์หรือโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของการสูยเสียฟัน), นิ่วน้ำดี, ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจพิการซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้, ภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง, ภาวะไขมันสะสมในตับซึ่งอาจทำให้กลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ, เส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น รวมทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อนได้มากขึ้นอีกด้วย
  8. ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ควาดมันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ มีโอกาสแท้งบุตรมากขึ้นหรือทารกในครรภ์อาจเสียชีวิตได้ ทารกอาจมีน้ำหนักตัวมากทำให้คลอดลำบาก และมีโอกาสเกิดอันตรายในระหว่างการคลอดได้สูง)

การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเบาหวานได้จากประวัติอาการ ประวัติการเจ็บป่วยต่าง ๆ ประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว การตรวจร่างกาย และที่สำคัญมากที่สุดคือ การตรวจเลือดเพื่อดูปริมาณน้ำตาลในเลือด นอกจากนั้นอาจมีการตรวจอื่น ๆ ประกอบไปด้วยตามความเหมาะสม เช่น การตรวจปัสสาวะเพื่อดูน้ำตาลในปัสสาวะ (ซึ่งจะไม่พบในคนปกติ), การตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไต (เพราะเบาหวานมักส่งผลต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง), การตรวจสุขภาพตาโดยจักษุแพทย์ (เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานต่อจอตา)

สำหรับคนทั่วไปที่ใช่หญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการของโรคเบาหวาน (เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย) หรือไม่มีอาการ แต่ตรวจพบน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติหรือตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ หรือเป็นผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน (เช่น อ้วน มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ดังนี้

นอกจากนี้ แพทย์ยังสามารถวินิจฉัยโรคเบาหวานได้จากการตรวจพบระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม หรือฮีโมโกลบินเอวันซี (Hemoglobin A1C : HbA1C) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 6.5% จากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน (ค่าปกติจะต่ำกว่า 5% แต่ถ้ามีค่าอยู่ที่ 5.7-6.4% จะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน)

หมายเหตุการทดสอบความทนต่อน้ำตาล (OGTT) เป็นวิธีทดสอบโดยการให้ผู้ป่วยอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แล้วทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อน 1 ครั้ง จากนั้นจะให้ผู้ป่วยดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม และทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มน้ำตาลไปแล้ว 2 ชั่วโมง (ค่าปกติจะต่ำกว่า 140 มก./ดล. แต่ถ้ามีค่า 140-199 มก./ดล. จะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน และถ้ามีค่าตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไปจะถือว่าเป็นเบาหวาน) แต่วิธีนี้จะใช้เฉพาะในรายที่ตรวจพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารสูงผิดปกติ (IFG) และหญิงหลังคลอดที่เคยตรวจพบว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (GDM)

สรุปเกณฑ์การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน (สำหรับหญิงที่ไม่ได้ตั้งครภ์)*

  1. กรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้มีอาการของโรคเบาหวาน แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นหวานได้ตามข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้
    • ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 126 มก./ดล. จากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน หรือ
    • ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1C) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 6.5% จากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน หรือ
    • ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 2 ชั่วโมงจากการทดสอบทดสอบความทนต่อน้ำตาล (OGTT) โดยการดื่มกลูโคส 75 กรัม มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 200 มก./ดล. จากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน
  2. กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของโรคเบาหวานชัดเจน เช่น กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานได้ก็ต่อเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่มตรวจ (Random plasma glucose) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 200 มก./ดล. จากการตรวจเพียงครั้งเดียวในช่วงเวลาใดก็ได้

หมายเหตุ : สำหรับหญิงตั้งครรภ์นั้น สามารถใช้เกณฑ์ข้อที่ 1 (เฉพาะ FPG) และข้อที่ 2 ในการวินิจฉัยได้เช่นกัน ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดจากการทดสอบความทนต่อน้ำตาล (OGTT) โดยการดื่มกลูโคส 100 กรัม จะใช้เกณฑ์ดังนี้ (ต้องมีค่าน้ำตาลสูงตามเกณฑ์ด้านล่างตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป)

สิ่งที่ตรวจในผู้ป่วยเบาหวาน

ในรายที่เป็นระยะแรกเริ่มหรือเป็นไม่มาก แพทย์มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติตามร่างกาย ส่วนในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจพบอาการชาตามปลายมือปลายเท้า แผลเรื้อรัง ต้อกระจก หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ โดยในผู้ป่วยเบาหวานทุกรายนั้นแพทย์จะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ และระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร 8 ชั่วโมง (FPG) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 126 มก./ดล.

การรักษาโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาติดต่อกันเป็นเวลานานหรือตลอดชีวิต หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างจริงจังจนสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ก็จะมีชีวิตได้เหมือนเช่นคนปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยรับการรักษาไม่จริงจังหรือปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำ นอกจากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายแล้ว การปล่อยให้มีระดับเบตาเซลล์ของตับอ่อนถูกทำลายไปอย่างต่อเนื่อง ยังทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยลงจนส่งผลให้เป็นเบาหวานรุนแรงมากขึ้นและดื้อต่อการรักษามากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในท้ายที่สุดผู้ป่วยก็อาจจะต้องพึ่งยาฉีดอินซูลินไปตลอดชีวิต

การป้องกันโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานแต่ละชนิดสามารถป้องกันได้แตกต่างกัน ซึ่งโรคเบาหวานประเภทที่ 1 อาจหาทางป้องกันได้ยากหรือแทบไม่สามารถป้องกันมิให้เกิดโรคได้ (เพราะสาเหตุการเกิดมาจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้) ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตให้เหมาะสม (หลักสำคัญในการป้องกันเบาหวานทุกชนิด คือ คอยระวังระดับน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ) ซึ่งสามารถทำได้ตามคำแนะนำต่อไปนี้

อาหารของผู้ป่วยเบาหวาน
IMAGE SOURCE : www.youtube.com (by Orange Health)

เกณฑ์การตรวจคัดกรองโรคเบาหวานในผู้ที่ไม่มีอาการแสดง

  1. ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกิน (ดัชนีมวลกายมากกว่า 25 กก./ม.2) ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ควรตรวจคัดกรองเบาหวานเมื่ออายุต่ำกว่า 45 ปี หรือควรตรวจคัดกรองให้ถี่ขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์
    • ขาดการออกกำลังกาย (เพราะการออกกำลังกายจะช่วยควบคุมน้ำหนักและช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ไวต่อการนำน้ำตาลไปใช้หรือช่วยเผาผลาญน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นนั่นเอง)
    • มีคนในครอบครัวสายตรง (พ่อแม่พี่น้องท้องเดียวกัน) เป็นโรคเบาหวาน
    • เป็นชนชาติหรือเชื้อชาติกลุ่มเสี่ยงต่อเบาหวาน (เพราะพบว่าคนบางเชื้อชาติจะเป็นเบาหวานได้สูงกว่า เช่น คนเอเชียและคนผิวดำ)
    • มีความดันโลหิตสูง (มากกว่าหรือเท่ากับ 130/80 มม.ปรอทขึ้นไป)
    • มีไขมันเอชดีแอล (HDL) น้อยกว่า 35 มก./ดล. และ/หรือไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 250 มก./ดล.
    • มีโรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง, ผิวหนังเป็นปื้นหนาสีน้ำตาลหรือดำคล้ายกำมะหยี่ (Acanthosis nigricans) ฯลฯ
    • เคยตรวจพบว่ามี “ภาวะเบาหวานแฝง” (ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมงมีค่า 100-125 มก./ดล. หรือระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 75 กรัมไปแล้ว 2 ชั่วโมง มีค่า 140-199 มก./ดล.)
    • เคยมีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (GDM) หรือคลอดบุตรน้ำหนักมากกว่า 4 กิโลกรัม
    • เคยมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดแข็งและตีบ (Vacular disease)
  2. หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวก็ควรเริ่มตรวจคัดกรองเบาหวานเมื่ออายุได้ 45 ปี (เพราะอายุยิ่งมาก โอกาสเป็นหวานก็ยิ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากการเสื่อมถอยของเซลล์ตับอ่อนหรือขาดการออกกำลังกายจากสุขภาพที่เสื่อมถอย)
  3. หากผลตรวจเลือดเป็นปกติก็ให้ตรวจซ้ำทุก 3 ปี (ความถี่ของการตรวจจะขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลที่เจาะและความเสี่ยง)
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “เบาหวาน (Diabetes mellitus/DM)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 777-791.
  2. หาหมอดอทคอม.  “เบาหวาน (Diabetes mellitus)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [22 พ.ย. 2017].
  3. พบแพทย์.  “โรคเบาหวาน”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pobpad.com.  [25 พ.ย. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 เบาหวาน
  • 2 สาเหตุของโรคเบาหวาน
  • 3 ชนิดของเบาหวาน
  • 4 อาการของโรคเบาหวาน
  • 5 ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
  • 6 การวินิจฉัยโรคเบาหวาน
  • 7 การรักษาโรคเบาหวาน
  • 8 การป้องกันโรคเบาหวาน
  • 9 เกณฑ์การตรวจคัดกรองโรคเบาหวานในผู้ที่ไม่มีอาการแสดง
  • 10 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ