โรคหอบหืด (Asthma) อาการ, สาเหตุ, การรักษา, วิธีป้องกัน ฯลฯ

โรคหืด

โรคหืด (ภาษาอังกฤษ : Asthma) หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า “โรคหอบหืด” คือ โรคที่เกิดจากการหดตัวหรือตีบแคบของระบบทางเดินหายใจเป็นครั้งคราว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อยเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง แต่ส่วนมากจะไม่มีอันตรายร้ายแรง ยกเว้นในรายที่เป็นมากหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ก็อาจทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นถาวรหรือทำเป็นอันตรายถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

โรคหอบหืดเป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรังชนิดหนึ่ง (ไม่ใช่โรคติดต่อ) ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เช่น ในเด็กทำให้เกิดการพัฒนาช้า เรียนและทำงานได้ไม่เต็มที่ ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันหรือเล่นกีฬาได้อย่างเป็นปกติ ยิ่งเมื่อสภาพอากาศเกิดการแปรปรวนหรือมีมลภาวะเป็นพิษมากเท่าไหร่ ผู้ป่วยยิ่งได้รับผลกระทบในการดำเนินชีวิตมากขึ้นและส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรหมั่นสังเกตตัวเองและเตรียมพร้อมรับมือกับอาการกำเริบที่อาจเกิดขึ้นและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีโอกาสเกิดได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ แต่มีความชุกสูงสุดอยู่ที่ช่วงอายุ 10-12 ปี ในวัยเด็กจะพบในเด็กชายได้มากกว่าเด็กหญิงประมาณ 1.5-2 เท่า ส่วนใหญ่มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่อายุก่อน 5 ปี มีส่วนน้อยที่เกิดอาการขึ้นครั้งแรกในวัยหนุ่มสาวและวัยสูงอายุ

ในบ้านเราโรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อย และคาดว่าจะมีผู้ป่วยไม่น้อยกว่า 3 ล้านคน โดยพบในเด็กมากถึง 10-12% ของเด็กทั้งหมด ส่วนในผู้ใหญ่พบได้ประมาณ 6.9% (เคยมีการสำรวจนักเรียนในกรุงเทพมหานคร พบว่ามีความชุกของโรคนี้อยู่มากถึง 4-13%) และทั่วโลกพบว่าโรคนี้มีแนวโน้มเกิดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษและสารก่อภูมิแพ้ รวมถึงวิถีชีวิตที่ส่งเสริมให้เกิดโรคนี้

ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคหอบหืดเพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งแต่ 66,679 คนในปี พ.ศ.2538 เป็น 102,273 คนในปี พ.ศ.2552 ส่วนผู้เสียชีวิตจาก 806 คนในปี พ.ศ.2540 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 1,697 คนในปี พ.ศ.2546 ด้วยเช่นกัน (องกรณ์อนามัยโลก (WHO) ได้ระบุว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคหอบหืดทั่วโลกสูงมากกว่า 300 ล้านคน)

สาเหตุของโรคหอบหืด

โรคนี้เกิดจากปัจจัยร่วมกันหลายประการ ทั้งทางด้านกรรมพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การติดเชื้อ และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดเลือด ทำให้หลอดลมมีความไวต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้มากกว่าคนปกติจนเป็นเหตุทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม เกิดการบวมของเนื้อเยื่อผนังหลอดลม และมีเสมหะมากในหลอดลม จึงมีผลโดยรวมคือทำให้หลอดลมตีบแคบลงเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นชนิดผันกลับได้ (Revesible) ซึ่งสามารถกลับคืนเป็นปกติได้เองหรือภายหลังจากการใช้ยา

ผู้ป่วยบางรายอาจมีการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่องนานเป็นแรมปี หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โครงสร้างของหลอดลมจะค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงจนในที่สุดมีความผิดปกติ (Airway remodeling) ชนิดไม่ผันกลับ (Irreversible) ทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร

ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผิวหนังจากภูมิแพ้ และมักมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือญาติพี่น้องเป็นหืดหรือโรคภูมิแพ้อื่น ๆ นอกจากนี้ยังพบปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ได้มากขึ้นด้วย ได้แก่ ทารกที่มีมารดาสูบบุหรี่ในขณะตั้งครรภ์, ทารกที่คลอดก่อนกำหนดหรือมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย, การสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณมากตั้งแต่ในช่วงขวบปีแรก, เด็กที่อาศัยในบ้านที่พ่อหรือแม่สูบบุหรี่, การติดเชื้อไวรัสตั้งแต่เล็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัสอาร์เอสวี เป็นต้น

สาเหตุกระตุ้นให้อาการหอบหืดกำเริบ

ผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบเมื่อมีสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้น ซึ่งที่พบบ่อยได้แก่

อาการของโรคหอบหืด

ผู้ป่วยมักมีอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือหอบเหนื่อยร่วมกับหายใจมีเสียงดังวี้ดคล้ายเสียงนกหวีด (ในระยะแรกจะได้ยินเสียงนี้ในขณะที่หายใจออก แต่ถ้าเป็นมากขึ้นก็จะได้ยินทั้งในขณะที่หายใจเข้าและหายใจออก) อาจมีอาการไอ ซึ่งมักมีเสมหะใสร่วมด้วย

บางรายอาจมีเพียงอาการแน่นอึดอัดในหน้าอกหรือไอเป็นหลัก โดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจนก็ได้ถ้าหลอดลมไม่ตีบมากนัก อาการไอจะดูคล้ายไข้หวัด จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือหลอดลมอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกเริ่มของโรคนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการไอมากในตอนกลางคืนหรือตอนเช้ามืด ในช่วงอากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน หรือวิ่งเล่นมาก ๆ ในเด็กเล็กอาจไอมากจนอาเจียนออกมาเป็นเสมหะเหนียว ๆ และรู้สึกสบายหลังได้อาเจียน

ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการภูมิแพ้ เช่น คัดจมูก คันคอ เป็นหวัด จาม หรือมีผื่นคันร่วมด้วย หรือเคยมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน

ในช่วงที่ไม่มีอาการกำเริบ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายเช่นคนปกติทั่วไป ในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อยถึงปานกลางมักจะมีอาการเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวและอาการมักกำเริบขึ้นมาทันทีเมื่อมีสาเหตุมากระตุ้น (ผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบากจะลุกขั้นมานั่งฟุบกับโต๊ะหรือพนักเก้าอี้และหอบตัวโยน) ส่วนในรายเป็นที่รุนแรงมักจะมีอาการต่อเนื่องตลอดทั้งวันจนกว่าจะได้ยารักษา จึงจะรู้สึกหายใจโล่งสบายขึ้น

ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคหอบหืดรุนแรง เช่น เคยหอบรุนแรงจนต้องไปรักษาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลบ่อย เคยต้องใส่ท่อหายใจช่วยชีวิต ต้องใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดกินหรือฉีด หรือต้องใช้ยากระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น สูดมากกว่าเดือนละ 1-2 หลอด ถ้าขาดการรักษาหรือได้รับยาไม่เพียงพอในการควบคุมอาการ ผู้ป่วยอาจมีอาการหอบอย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ ถึงเป็นวัน ๆ แม้จะใช้ยารักษาตามปกติที่เคยใช้ก็ไม่ได้ผล เรียกว่า “ภาวะหืดดื้อ” หรือ “ภาวะหืดต่อเนื่อง” (Status asthmaticus) ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและมีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดภาวะเลือดเป็นกรด มีอาการสับสน หมดสติ ในที่สุดก็จะหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น เสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว

โรคหอบหืดอาการ
IMAGE SOURCE : www.availclinical.com

อาการที่เข้าข่ายเป็นโรคหอบหืด

หากผู้ป่วยมีอาการข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้สงสัยว่าเป็นโรคหอบหืด

อาการหอบหืด
IMAGE SOURCE : www.vecteezy.com

ระดับความรุนแรงของโรคหอบหืด

โรคหอบหืดอาจแบ่งตามความรุนแรงของโรคออกเป็น 4 ระดับ โดยอาศัยจากความถี่ของอาหารหอบในตอนกลางวัน ความถี่ของอาการหอบกลางคืน การวัดสมรรถภาพของปอด และการวัดค่าความผันผวนของพีอีเอฟอาร์ (PEFR) ซึ่งการจำแนกความรุนแรงจะช่วยให้แพทย์สามารถให้ยารักษาได้เหมาะกับระดับความรุนแรง

ตารางการจำแนกระดับความรุนแรงของโรคหอบหืด

ระดับความรุนแรง อาหารหอบกลางวัน อาการหอบกลางคืน ค่า PEFR ความผันผวนของค่า PEFR
1.ระดับเป็น ๆ หาย ๆ หรือมีอาการนาน ๆ ครั้ง (Intermittent asthma) นาน ๆ ครั้ง น้อยกว่า 2 ครั้ง/เดือน มากกว่า 80% น้อยกว่า 20%
2.ระดับรุนแรงน้อย (Mild persistent asthma) มากกว่า 1 ครั้ง/สัปดาห์ มากกว่า 2 ครั้ง/เดือน มากกว่า 80% 20-30%
3.ระดับรุนแรงปานกลาง (Moderate persistent asthma) เกือบทุกวัน มากกว่า 1 ครั้งสัปดาห์ 60-80% มากกว่า 30%
4.ระดับรุนแรงมาก (Severe persistent asthma) ตลอดเวลา บ่อย ๆ น้อยกว่า 60% มากกว่า 30%

หมายเหตุ : ค่า PEFR หรือ Peak Expiratory Flow Rate คือ อัตราการไหลของลมหายใจออกสูงสุด หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มที่ (มีหน่วยเป็นลิตร/นาที)

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหอบหืด

โดยทั่วไปโรคหอบหืดจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่ในรายที่มีอาการรุนแรงและเป็นเรื้อรังอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้

การวินิจฉัยโรคหอบหืด

การวินิจฉัยโรคหอบหืดนั้นแพทย์สามารถทำได้โดยการซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยในเบื้องต้นแพทย์จะถามถึงประวัติการเป็นหอบหืดของคนในครอบครัว รวมทั้งประวัติของการเกิดอาการและสัญญาณของหอดหืดอย่างละเอียด เช่น มีอาการไอ หอบ หายใจมีเสียงวี้ดเป็น ๆ หาย ๆ หรือมีอาการไออย่างเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างในตอนกลางคืน และอาจมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจเอกซเรย์ปอดเพื่อดูว่าไม่มีโรคอื่นที่มีอาการคล้าย ๆ กัน (เพราะการตรวจเอกซเรย์ปอดในผู้ป่วยโรคหอบหืดจะไม่พบความผิดปกติ)

ส่วนวิธีการตรวจที่สามารถยืนยันได้ผู้ป่วยเป็นโรคหอบหืดจริงหรือไม่ คือ “การตรวจสมรรถภาพปอด” ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีและผู้ป่วยควรได้รับการตรวจทุกคน เพราะนอกจากจะช่วยวินิจโรคได้แล้ว ยังช่วยให้รู้ถึงระดับความรุนแรงของโรค ใช้ติดตามดูผลการรักษาว่าดีขึ้นมากน้อยเพียงใด และสมรรถภาพปอดกลับมาเป็นปกติหรือยัง เป็นต้น

  1. เครื่องตรวจสมรรถภาพปอดสไปโรเมทรีย์ (Spirometry) เป็นการตรวจวัดปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้าและออกจากปอด สามารถบอกได้ว่าผู้ป่วยมีหลอดลมตีบแคบมากน้อยเพียงใด โดยการให้ผู้ป่วยเป่าลมแรง ๆ เข้าไปในเครื่อง แล้วเครื่องจัดวัดปริมาตรและความเร็วลมที่เป่าออกมา ถ้าหลอดลมตีบแคบ ความเร็วลมที่เป่าออกมาจะลดลง (ถ้าพบว่าหลอดลมตีบแคบแล้วให้ผู้ป่วยสูดยาขยายหลอดลม เมื่อตรวจซ้ำอีกครั้งแล้วได้ค่าความเร็วที่ดีขึ้นมากกว่าเดิม 12% ก็สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคหอบหืด)
  2. เครื่องวัดความเร็วสูงสุดของลมหรือพีคโฟลว์มิเตอร์ (Peak Flow Meter) เป็นเครื่องมือที่ผู้ป่วยสามารถใช้เองได้ที่บ้านและมีราคาไม่แพงมากนัก (ประมาณ 800 บาท) ซึ่งจะช่วยผู้ป่วยในการประเมินความรุนแรงของโรคหอบหืดได้ ส่วนวิธีการใช้แค่สูดลมให้เต็มปอดแล้วเป่าออกให้แรงที่สุด ซึ่งค่าที่วัดได้จะเป็นค่าความเร็วสูงสุดที่เป่าลมออกได้ (PEFR) ถ้าหลอดลมตีบแคบค่าที่เป่าได้จะต่ำ ถ้าหลอดลมไม่ตีบแคบค่าที่เป่าได้จะสูง และเมื่อสูดยาขยายหลอดลมแล้วค่านี้ดีขึ้นมากกว่า 20% ก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคหอบหืดได้
  3. การวัดความผันผวนของค่า PEFR โดยใช้เครื่องพีคโฟลว์มิเตอร์ดังกล่าว ซึ่งวิธีการตรวจก็คือ ให้ผู้ป่วยวัดค่า PEFR เช้าและเย็นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วจดบันทึกมามอบให้แพทย์ แล้วแพทย์จะมาคำนวณหาค่าความผัน ซึ่งในคนปกติหลอดลมจะไม่ค่อยหดขยายมากนัก ดังนั้นค่าความผันผวนจะน้อยกว่า 20% แต่กับผู้ป่วยโรคหอบหืดแล้วหลอดลมจะหดขยายอยู่เรื่อย ๆ ทำให้ค่าความผันผวนมีมากกว่า 20% ดังนั้น ถ้าวัดค่าได้มากกว่า 20% ก็จะถือว่าเป็นโรคหอบหืดได้
  4. การวัดความไวของหลอดลมต่อสิ่งกระตุ้น (Bronchial Provocation Test) จะใช้เมื่อทดสอบด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ เพราะบางครั้งผู้ป่วยอาจไม่มีอาการหอบและการตรวจสมรรถภาพปอดก็อาจอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งในกรณีนี้แพทย์จะวินิจฉัยได้จากการวัดความไวของหลอดลมต่อสิ่งกระตุ้น (เพราะผู้ป่วยโรคหอบหืดจะมีหลอดลมที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าคนปกติ) โดยการให้ผู้ป่วยเป่าลมในการตรวจสมรรถภาพปอดแล้วให้สูดสารกระตุ้น เช่น สารเมธาโคลีน (Methacholine) หลังจากนั้นจึงวัดค่าการเป่าลมซ้ำแล้วค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นของสารกระตุ้นไปเรื่อย ๆ แล้วนำค่าที่ได้มาแปลผลก็จะทำให้ทราบว่าเป็นโรคหอบหืดหรือไม่
  5. การใช้เครื่องตรวจวัดความอิ่มตัวออกซิเจนของฮีโมโกลบินในชีพจร (Pulse Oximetry) เพื่อใช้วัดประเมินภาวะการขาดออกซิเจนได้อย่างรวดเร็ว
เครื่องตรวจสมรรถภาพปอด
IMAGE SOURCE : www.healthline.com

สิ่งที่ตรวจพบในผู้ป่วยโรคหอบหืด

การรักษาโรคหอบหืด

เมื่อมีอาการต้องสงสัยดังกล่าวก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เมื่อไปพบแพทย์สิ่งที่แพทย์จะให้การดูแลรักษาก็คือ

1. เมื่อมีอาการหอบหืดกำเริบฉับพลัน ให้สูดยากระตุ้นเบต้า 2 ทันที แต่ถ้าไม่มียาชนิดสูดแพทย์จะฉีดยากระตุ้นเบต้า 2 เข้าใต้ผิวหนังแทน ถ้าอาการของผู้ป่วยยังไม่ทุเลาแพทย์จะให้ยาสูดหรือยาฉีดดังกล่าวซ้ำได้อีก 1-2 ครั้ง ทุก 20 นาที เพราะสิ่งสำคัญอย่างแรกคือการรักษาและควบคุมโรคให้ทันและเร็วที่สุดเมื่อมีอาการ หากผู้ป่วยรู้สึกหายดีแล้ว แพทย์จะทำการประเมินอาการ สาเหตุกระตุ้น และประวัติการรักษาของผู้ป่วยรายนั้นอย่างละเอียด โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ

ตารางขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยโรคหอบหืดในผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 5 ปี*

การรักษา ขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4 ขั้นที่ 5
ให้ยาควบคุมโรค ไม่จำเป็นต้องใช้ ใช้ยาสูดสเตียรอยด์ในขนาดต่ำ หรือ ยาต้านลิวโคทรีนชนิดกิน ใช้ยาสูดสเตียรอยด์ในขนาดต่ำร่วมกับยาสูดกระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์นาน หรือ ใช้ยาสูดสเตียรอยด์ในขนาดต่ำร่วมกับยาต้านลิวโคทรีนชนิดกิน หรือ ใช้ยาสูดสเตียรอยด์ขนาดต่ำร่วมกับยากินทีโอฟิลลีนชนิดออกฤทธิ์นาน หรือ ใช้ยาสูดสเตียรอยด์ในขนาดสูง ให้ยาสูดสเตียรอยด์ขนาดปานกลางถึงสูงร่วมกับยาสูดกระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์นาน แต่ถ้าไม่ได้ผล แพทย์อาจเพิ่มยาขนานใดขนานหนึ่งหรือมากกว่า คือ ยาต้านลิวโคทรีนชนิดกิน, ยากินทีโอฟิลลีนชนิดออกฤทธิ์นาน ให้ยาแบบเดียวกับขั้นที่ 4 แต่เพิ่มยาขนานใดขนานหนึ่งหรือมากกว่า คือ ยากินสเตียรอยด์ในขนาดต่ำ, การฉีดยาต้านไอจีอี

ให้ยาบรรเทาอาการ ทั้งขั้นที่ 1-5 แพทย์จะให้สูดยากระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้นเมื่อมีอาการ (อาจใช้ยาอื่นแทนได้ เช่น ยากินกระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น, ยากินทีโอฟิลลีนชนิดออกฤทธิ์สั้น, ยาสูดไอพราโทรเพียมโบรไมด์ เป็นต้น) แต่ไม่แนะนำให้ยากระตุ้นเบต้า 2 เป็นประจำ ยกเว้นในกรณีที่มีการใช้ยาสเตียรอยด์สูดเป็นประจำ

ให้สุขศึกษา ทั้งขั้นที่ 1-5 แพทย์จะอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงธรรมชาติของโรคนี้ และให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้นต่าง ๆ

หมายเหตุ : สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 ปี แพทย์จะเริ่มการรักษาในขั้นที่ 2 นี้ด้วยการให้ยาสูดสเตียรอยด์ในขนาดต่ำ

ตารางการแบ่งระดับของการควบคุมโรคหลังได้รับการดูแลรักษาแล้ว

ลักษณะ กลุ่มควบคุมได้ (มีครบทุกข้อ) กลุ่มควบคุมได้บางส่วน (มีข้อใดข้อหนึ่งในสัปดาห์ใดสัปดาห์หนุ่ง) กลุ่มควบคุมไม่ได้ (มี 3 ข้อขึ้นไปตามในสัปดาห์ใดสัปดาห์หนึ่ง)
การทำกิจกรรม ทำได้ปกติ ทำได้น้อยลง ทำได้น้อยลง
อาการตอนกลางวัน ไม่มี หรือ น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 ครั้ง/สัปดาห์ มากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์ มากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์
อาการตอนกลางคืน ไม่มี มี มี
การให้ยาบรรเทาอาการ ไม่มี หรือน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 ครั้ง/สัปดาห์ มากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์ มากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์
สมรรถภาพปอด (ค่า PEFR)* ปกติ มากกว่า 80% ของค่ามาตรฐาน มากกว่า 80% ของค่ามาตรฐาน
อาการกำเริบรุนแรง ไม่มี 1 ครั้งขึ้นไป 1ครั้งในสัปดาห์ใดสัปดาห์หนึ่ง

หมายเหตุ : ในเด็กอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 ปี ไม่ต้องใช้ค่า PEFR เพราะยังไม่สามารถตรวจสมรรถภาพปอดได้

2. ถ้าผู้ป่วยมีอาการกำเริบและมีลักษณะตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ ควรรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว ซึ่งแพทย์มักจะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล (ส่วนในรายที่มีสาเหตุไม่ชัดเจน อาจต้องมีการตรวจพิเศษต่าง ๆ เพิ่มเติม)

3.ในผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคหอบหืดกำเริบรุนแรงหรือภาวะหืดต่อเนื่อง แพทย์จะมีแนวทางในการรักษาดังนี้ (เมื่อควบคุมอาการได้แล้ว แพทย์จะนัดติดตามดูอาการภายใน 2-4 สัปดาห์)

4. ผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดทุกราย แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาระยะยาวเพื่อควบคุมอาการให้น้อยลง ป้องกันอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ฟื้นฟูสมรรถภาพของปอดให้กลับคืนสู่ปกติ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ป้องกันการเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร โดยจะมีแนวทางในการดูแลรักษาดังนี้

คำแนะนำและข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด

  1. ผู้ป่วยและญาติต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหอบหืดและยารักษาเพื่อให้เกิดความร่วมมือกับแพทย์ในการรักษา โดยสิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยต้องเข้าใจก็คือ โรคนี้เป็นโรคที่มีการอักเสบของหลอดลมและทำให้หลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้น เมื่อมีสิ่งกระตุ้นหลอดลมจึงตีบแคบ ดังนั้นการรักษาโรคนี้จึงไม่ใช่การรักษาหลอดลมตีบแคบ แต่เป็นการรักษาหลอดลมที่อักเสบซึ่งต้องใช้เวลานานในการรักษา
  2. ติดตามการรักษากับแพทย์เป็นประจำ อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และตรวจสมรรถภาพปอดเป็นระยะ ๆ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนและเพื่อให้สามารถควบคุมอาการของโรคให้เป็นปกติ
  3. สังเกตอาการหรือสัญญาณเบื้องต้นก่อนที่อาการหอบจะกำเริบให้เป็น เช่น การไอ หายใจมีเสียง
  4. เรียนรู้วิธีการใช้ยาให้ถูกต้องและใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ ห้ามลดละยาตามอำเภอใจ หรือเลิกไปพบแพทย์ แม้จะรู้สึกสบายดีก็ตาม
  5. ทุกครั้งที่สูดยาสเตียรอยด์ ควรบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้ยาตกค้างที่คอหอย เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเชื้อราในช่องปาก
  6. ควรพกยาบรรเทาอาการติดตัวไว้เสมอ หากมีอาการกำเริบให้รีบสูดยา 2-4 หน (Puff) ทันที ถ้าอาการยังไม่ทุเลาลงอาจสูดซ้ำได้ทุก 20 นาที อีก 1-2 ครั้ง ถ้ายังไม่ทุเลาอีกควรไปพบแพทย์โดยเร็ว อย่าปล่อยให้หอบนานเพราะอาจเป็นอันตรายได้
  7. ห้ามซื้อยาชุดหรือยาลูกกลอนมาใช้เอง เพราะยาเหล่านี้มักมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ แม้ว่าอาจจะใช้แล้วได้ผล แต่ก็ต้องใช้เป็นประจำ ซึ่งจะทำให้มีผลข้างเคียงร้ายแรงตามมาได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยใช้ยาเหล่านี้มานานก็ห้ามหยุดยาในทันที เพราะอาจจะทำให้มีอาการหอบกำเริบรุนแรงหรือเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติได้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อหาทางค่อย ๆ ปรับลดขนาดยาลง
  8. ดื่มน้ำอุ่นให้มาก ๆ อย่าขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ไอมีเสมหะเหนียวหรือมีอาการหอบเหนื่อย
  9. ฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ เป็นประจำ โดยการเป่าลมออกทางปากเพื่อให้ลมในปอดออกมาให้มากที่สุด เพราะจะช่วยทำให้รู้สึกปลอดโปร่งสดชื่นและช่วยให้อาการดีขึ้นได้
  10. ถ้าผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วน ควรลดน้ำหนัก เพราะอาจช่วยให้อาการทุเลาลงได้
  11. ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหอบหืดและสามารถหยุดยาได้แล้ว ผู้ป่วยมักจะเข้าใจว่าโรคหอบหืดที่เป็นอยู่นั้นหายแล้ว แต่แพทย์จะไม่เรียกว่าหาย แต่จะเรียกว่า “โรคหอบหืดอยู่ในภาวะสงบ” ซึ่งอาจจะสงบไปนานเท่าไหร่ก็ได้ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเอง
  12. ผู้ป่วยที่มีอาการหอบเหนื่อยรุนแรง ห้ามใช้ยานอนหลับ และควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาละลายเสมหะ (Mucolytic drugs) เพราะอาจทำให้อาการเลวลงได้
  13. ผู้ป่วยที่มีอาการมาก จำเป็นต้องได้รับยาอย่างเพียงพอ หากขาดยาก็อาจทำให้มีอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลันจนถึงขั้นกลายเป็นภาวะหืดดื้อและเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์มาก่อน
  14. โดยทั่วไปถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาขั้นที่ 3 แล้ว แต่ยังไม่สามารถควบคุมอาการได้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวโรคหอบหืดเพื่อปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสมต่อไป
  15. ผู้ป่วยโรคหอบหืดอาจมีอาการกำเริบรุนแรงได้ในขณะตั้งครรภ์ หรือเข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาล จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยาให้สามารถควบคุมอาการได้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายตามมา
  16. ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาแล้วยังไม่สามารถควบคุมอาการได้ อาจเกิดจากการสัมผัสสาเหตุกระตุ้น, การใช้ยาไม่ครบขนาด, การสูดยาไม่ถูกวิธี, การที่ไม่ได้รักษาโรคที่พบร่วมด้วย (เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้), ผู้ป่วยสูบบุหรี่, การมีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุและมีประวัติการสูบบุหรี่จัดมานาน), การวินิจฉัยที่ผิด, การดื้อต่อสเตียรอยด์ หรือเป็นโรคหอบหืดที่รุนแรง ซึ่งควรค้นหาสาเหตุและแก้ไขไปตามสาเหตุที่ตรวจพบ
  17. ผู้ป่วยบางรายอาจมีเพียงอาการไอโดยไม่มีอาการหอบเหนื่อยหรือหายใจมีเสียงวี้ดได้ จึงทำให้แพทย์วินิจฉัยผิดและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ถ้าพบว่ามีอาการไอบ่อยในตอนกลางคืนหรือเช้ามืด ในช่วงอากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน หรือในขณะที่วิ่งเล่นมาก ๆ อาจเป็นโรคหอบหืดระยะแรกเริ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนในครอบครัวมีประวัติโรคหอบหืดหรือโรคภูมิแพ้อยู่ก่อน แนะนำให้ไปตรวจเพิ่มเติมที่ตรวจที่โรงพยาบาล
  18. ถ้ามีอาการเริ่มเป็นตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อโตขึ้นหรือย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว อาการอาจทุเลาจนสามารถหยุดการใช้ยาสูดบรรเทาอาการได้ แต่บางรายเมื่อมีอายุมากขึ้นก็อาจมีอาการกำเริบได้อีก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจจะมีอาการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่มีอาการหอบเหนื่อยแล้วก็ได้ หากขาดการใช้ยาควบคุมโรคก็อาจทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจผิดปกติและอุดกั้นในระยะยาวได้ ดังนั้น ถึงแม้จะมีอาการทุเลาแล้วก็ต้องติดตามการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่องต่อไป

โรคหอบหืดแม้จะเป็นโรคเรื้อรัง แต่หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและเพียงพอ ก็มักจะควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้จนสามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติสุขเหมือนเช่นคนทั่วไป ส่วนผลการรักษาส่วนใหญ่นั้นก็มักควบคุมอาการได้ดี และในปัจจุบันก็พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะมีอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำลงมาก

การป้องกันโรคหอบหืด

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันโรคหอบหืด เพราะโรคนี้มีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ในเด็กที่พ่อแม่เป็นโรคหอบหืดลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคหอบหืดได้เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยที่ป้องกันไม่ได้ แต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดก็สามารถสังเกตอาการของตนเอง ควบคุมไม่ให้มีอาการหอบหืดกำเริบ และใช้ชีวิตอย่างปกติได้ โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคืองต่าง ๆ ทั้งในบ้าน ที่ทำงาน และสิ่งแวดล้อม โดยควรสังเกตว่าตัวเองมักมีอาการกำเริบในเวลาใด สถานที่ใด และหลังจากสัมผัสถูกอะไร เช่น
    • กำจัดไรฝุ่นในบ้าน โดยการหลีกเลี่ยงการใช้หมอน ผ้าห่ม ที่นอน เฟอร์นิเจอร์ และของเล่นที่ทำให้ด้วยนุ่นหรือเป็นขน ๆ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรห่อหุ้มด้วยวัสดุกันไรฝุ่น ส่วนปลอกหมอน ผ้าห่ม และผ้าปูที่นอน ควรซักด้วยน้ำอุ่น (มากกว่า 55 องศาเซลเซียส) อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง นอกจากนี้ก็ไม่ควรปูพรมตามพื้นห้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในห้องนอน ถ้าปูพรมก็ควรใช้เสื่อน้ำมันปูทับให้ทั่วและให้ขอบชิดผนังห้องทุกด้าน
    • หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว หนู นก กระต่าย แต่ถ้าเลี้ยงสัตว์ก็ควรให้อยู่นอกบ้าน อย่านำเข้ามาในบ้านและห้องนอน และควรจับอาบน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การสูดควันบุหรี่ และควันต่าง ๆ รวมถึงห้ามบุคคลในบ้านสูบบุหรี่ ห้ามใช้ฟืนในการหุงต้มและผิงไฟ
    • หลีกเลี่ยงการดมสเปรย์ น้ำหอม กลิ่นสี กาว สารเคมี น้ำยาฆ่าเชื้อ เป็นต้น
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อรา โดยการทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องครัว อย่าให้มีน้ำขัง ใช้พัดลมดูดอากาศ และทำให้อากาศถ่ายเทได้ดี
    • หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่อับชื้น (เช่น ห้องใต้ดิน) และหุ่มไม้ รวมถึงไม่ปลูกต้นไม้ภายในบ้าน และไม่ใช้วอลเปเปอร์และพรมในห้องน้ำ
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่นและสารเคมีในโรงงานหรือที่ทำงาน โดยจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย รวมถึงใช้อุปกรณ์ป้องกันเสมอ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้และทำให้หอบบ่อยก็ควรย้ายสถานที่ทำงานหรือเปลี่ยนงานที่ไม่ต้องสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น
    • กำจัดแมลงสาบในบ้านโดยใช้กับดัก ถ้าใช้ยาฉีดพ่นผู้ป่วยก็ไม่ควรอยู่ในบ้าน เพราะยาฉีดพ่นอาจกระตุ้นให้อาการหอบกำเริบได้ และควรเก็บเศษอาหารไว้ในถุงหรือถังขยะที่มิดชิด อย่าให้แมลงสาบตอม
    • ควรใช้เครื่องปรับอากาศ และล้างไส้กรองเดือนละ 1 ครั้ง
    • ในช่วงที่มีละอองเกสรมากหรือตัดหญ้า ผู้ป่วยควรหลบเข้ามาอยู่ในบ้าน และปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด แต่ถ้าผู้ป่วยจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ก็ควรกินยาแก้แพ้ก่อนออกนอกบ้าน และหลังจากกลับเข้าบ้านก็ควรอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที และอย่าตากเสื้อผ้าในที่กลางแจ้ง
  2. ออกกำลังกายเป็นประจำ ผู้ป่วยโรคหอบหืดสามารถออกกำลังกายได้ โดยควรเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายหรือเป็นชนิดกีฬาที่เหมาะสม เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน แอโรคบิค ว่ายน้ำ ฯลฯ แต่ต้องระวังอย่าให้หักโหมหรือเหนื่อยมากจนเกินไป หลีกเลี่ยงการออกกำลังในที่ที่มีอากาศแห้งและเย็น และควรเตรียมยาขยายหลอดลมชนิดสูดไว้ให้พร้อมเสมอ ถ้าเคยมีอาการหอบหืดจากการออกกำลังกายก็ควรใช้ยาสูดก่อนออกกำลังกายประมาณ 15-20 นาที และถ้ามีอาการกำเริบระหว่างออกกำลังกายก็ควรหยุดพัก แล้วใช้ยาสูดจนกว่าอาการจะทุเลาแล้วจึงค่อยเริ่มออกกำลังกายใหม่
  3. หาทางป้องกันหรือผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การทำงานอดิเรกที่ชอบ (เช่น เล่นดนตรี ฟังเพลง วาดภาพ ปลูกต้นไหม้) การออกกำลังกาย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกโยคะ รำมวยจีน) การสวดมนต์ ไหว้พระ ฝึกสมาธิ เจริญสติ ฯลฯ
  4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  5. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารที่ช่วยลดการอักเสบและการตีบตันบริเวณทางเดินหายใจ เช่น ผักผลไม้สด เมล็ดธัญพืช เนื้อปลา และดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ
  6. ระมัดระวังและป้องกันตัวเองไม่ให้เป็นไข้หวัดและโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ รวมถึงควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันปอดบวมด้วย เพื่อป้องกันการเกิดโรคเหล่านี้ที่จะเป็นตัวกระตุ้นอาการหอบหืด
  7. หลีกเลี่ยงการใช้ต้านอักเสบที่ไม่สเตียรอยด์ ยาลดความดันโลหิตสูงกลุ่มปิดกั้นเบต้า และยาแอสไพริน ที่สำคัญเมื่อไปพบแพทย์ท่านอื่นก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่าเป็นโรคหอบหืดอยู่ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการใช้ยาเหล่านี้
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “หืด (Asthma)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 452-460.
  2. หาหมอดอทคอม.  “โรคหืด (Asthma)”.  (รศ.นพ.วัชรา บุญสวัสดิ์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [06 ธ.ค. 2017].
  3. พบแพทย์.  “โรคหืด”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pobpad.com.  [07 ธ.ค. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคหืด
  • 2 สาเหตุของโรคหอบหืด
  • 3 สาเหตุกระตุ้นให้อาการหอบหืดกำเริบ
  • 4 อาการของโรคหอบหืด
  • 5 อาการที่เข้าข่ายเป็นโรคหอบหืด
  • 6 ระดับความรุนแรงของโรคหอบหืด
  • 7 ภาวะแทรกซ้อนของโรคหอบหืด
  • 8 การวินิจฉัยโรคหอบหืด
  • 9 การรักษาโรคหอบหืด
  • 10 คำแนะนำและข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด
  • 11 การป้องกันโรคหอบหืด
  • 12 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ