โรคมือเท้าปาก อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคมือเท้าปาก 8 วิธี

โรคมือเท้าปาก

มือเท้าปาก (Hand Foot and Mouth disease – HFMD*) เป็นโรคไข้ออกผื่นชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในเด็ก ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งติดต่อได้ง่าย มักมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ ในบ้านเรามีรายงานระบุว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคมือเท้าปากมากขึ้นทุกปี ส่วนใหญ่จะพบได้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี จึงมักพบการระบาดได้ในโรงเรียนอนุบาลและสถานรับเลี้ยงเด็ก สำหรับผู้ใหญ่ก็อาจพบว่าเป็นโรคนี้ได้บ้าง แต่จะเป็นการติดเชื้อโดยที่ไม่แสดงอาการ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้อยู่

หมายเหตุ : โรคนี้เป็นโรคคนละชนิดกับโรคปากเปื่อยเท้าเปื่อยที่พบได้ในสัตว์กีบคู่ (เช่น โค กระบือ หมู แพะ แกะ) ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่ติดต่อมาสู่คน (หรือจากคนไปสู่สัตว์) ยกเว้นในกรณีที่คนไปสัมผัสคลุกคลีอยู่กับสัตว์ที่ป่วยหรือผู้ที่ปฏิบัติงานในห้องทดลองเกี่ยวกับโรคในสัตว์เหล่านี้ ที่อาจมีรายงานการติดเชื้อได้บ้าง[2]

โรคมือเท้าปากเป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปีในแถบร้อนชื้น โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี แต่อาจพบได้ในเด็กที่มีอายุมากกว่านี้ก็ได้ ซึ่งจากรายงานสถานการณ์โรคมือเท้าปากในประเทศไทย พ.ศ.2557 ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยสะสมด้วยโรคมือเท้าปาก ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2557 มีจำนวนทั้งสิ้น 64,317 ราย และมีรายงานการเสียชีวิตเพียง 2 ราย โดยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2547-2556) มีแนวโน้มการเกิดโรคนี้สูงขึ้นทุกปี ซึ่งในแต่ละปีจะมีรายงานผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม หลังจากนั้นจะมีจำนวนลดลง และเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นฤดูกาลระบาดของโรคนี้อยู่แล้ว (ช่วงฤดูฝนถึงฤดูหนาว)[3] ส่วนสถิติในด้านอื่น ๆ ที่เป็นข้อมูลเมื่อปี พ.ศ.2555 พบว่า[2]

สาเหตุของโรคมือเท้าปาก

โรคมือเท้าปากเกิดจากการติดเชื้อกลุ่มไวรัสเอนเทอโร (Enterovirus) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ (มากกว่า 100 สายพันธุ์) ได้แก่ ค็อกแซคกีเอและบี (Coxsackie A, B), ไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 (Enterovirus 71 – EV71), ไวรัสเอ็คโคไวรัส (Echovirus) สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือการระบาดจากการติดเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 16 (Coxsackievirus A 16) ซึ่งอาการมักจะไม่รุนแรง และผู้ป่วยมักจะหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนสาเหตุที่พบได้น้อยและมีอาการรุนแรง คือ การติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ (นอกจากนี้ในบางครั้งยังอาจเกิดการระบาดได้จากเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 5, 7, 9, 10 และเชื้อไวรัสค็อกแซคกีบีชนิด 2 และ 5 และอาจเกิดเชื้อไวรัสเอ็คโคไวรัสได้บ้าง)

การติดต่อ : โรคมือเท้าปากสามารถติดต่อได้โดยตรงจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากจมูก ลำคอ ละอองน้ำมูกน้ำลาย หรือน้ำเหลืองจากตุ่มน้ำที่ผิวหนัง รวมถึงอุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อโดยทางอ้อมจากการสัมผัสสิ่งของหรือของเล่น สัมผัสพื้นผิวที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ ดูดเลียนิ้วมือ รวมถึงจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ มือของผู้เลี้ยงดูที่ไม่สะอาด เป็นต้น โดยสถานที่ที่มักพบการระบาดของโรค ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลและสถานรับเลี้ยงเด็ก

ระยะฟักตัวของโรค : เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-7 วัน ผู้ป่วยจึงจะแสดงอาการ

การเป็นซ้ำ : โรคนี้สามารถเป็นซ้ำได้อีก ถ้าเชื้อไวรัสที่ได้รับมาเป็นคนละสายพันธุ์กับที่เคยเกิด เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นของผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์หนึ่ง ๆ อาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ ได้ แม้จะจัดอยู่ในกลุ่มย่อยของไวรัสเอนเทอโรเช่นเดียวกันก็ตาม

อาการของโรคมือเท้าปาก

การวินิจฉัยโรคมือเท้าปาก

โรคนี้แพทย์มักจะวินิจฉัยได้จากลักษณะอาการที่แสดงและการตรวจร่างกายของผู้ป่วย* ดังนี้

อาการโรคมือเท้าปาก

อาการมือเท้าปาก

มือเท้าปากเปื่อย

โรคมือเท้าปากเปื่อย

สาเหตุโรคมือเท้าปาก

หมายเหตุ : โรคนี้ต้องแยกออกจากโรคที่มีอาการคล้ายกัน เช่น โรคไข้รูมาติก (เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดไข้ออกผื่น), เฮอร์แปงไจน่า (เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดผื่นตามผิวหนังและตุ่มน้ำในปาก), เริม, อีสุกอีใส, แผลร้อนใน, แผลพุพอง ฯลฯ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคมือเท้าปาก

หมายเหตุ : อาการแทรกซ้อนจะไม่สัมพันธ์กับจำนวนแผลในปากหรือตุ่มที่พบตามฝ่ามือหรือฝ่าเท้า เพราะในรายที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงอาจมีแผลเพียงไม่กี่จุดในลำคอ หรืออาจมีตุ่มขึ้นเพียงไม่กี่ตุ่มตามฝ่ามือหรือฝ่าเท้าก็ได้ พ่อแม่หรือผู้ปกครองจึงควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก แม้ว่าผื่นและแผลในปากจะหายไปแล้วก็ตาม โดยสัญญาณเตือนของภาวะแทรกซ้อนที่พ่อแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที มีดังนี้

วิธีรักษาโรคมือเท้าปาก

เนื่องจากการรักษาโรคมือเท้าปากในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโดยเฉพาะหรือมียาที่สามารถทำลายเชื้อไวรัสนี้ได้ และยังไม่มีวัคซีนที่จะได้ผลในการป้องกันเชื้อไวรัสในกลุ่มนี้ ดังนั้นการรักษาโดยทั่วไปจึงเป็นการรักษาไปตามแต่อาการของผู้ป่วย ในกรณีที่ป่วยเพลียมากหรือมีอาการหนักมาก แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลและให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ร่วมกับให้ยาลดไข้ แก้ปวด และ/หรือหยอดยาชาในปากเพื่อช่วยลดอาการเจ็บแผลในปาก รวมถึงการเฝ้าสังเกตอาการของภาวะแทรกซ้อนทางสมองและหัวใจ แต่สำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่อาการไม่รุนแรง ก็ไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

วิธีป้องกันโรคมือเท้าปาก

เนื่องจากโรคนี้สามารถติดต่อกันได้โดยการรับเชื้อไวรัสจากทางเดินอาหาร น้ำมูก น้ำลาย และจากการหายใจเอาเชื้อที่แพร่จากผู้ป่วยเข้าไป (ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคนี้) ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้

  1. เมื่อเกิดการระบาดของโรคนี้ ไม่ควรนำบุตรหลานเข้าไปในพื้นที่แออัด หรือเข้าไปคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก
  2. ฝึกให้เด็กมีสุขนิสัยที่ดี ไม่นำนิ้วมือหรือของเล่นเข้าปาก ส่วนผู้เลี้ยงเด็กควรล้างทำความสะอาดมือก่อนหยิบจับอาหารให้เด็กรับประทาน และให้เด็กรับประทานแต่อาหารที่สุก สะอาด ปรุงใหม่ ๆ ไม่มีแมลงวันตอม และให้ดื่มน้ำสะอาด
  3. ผู้เลี้ยงดูเด็กและเด็กควรล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำกับสบู่ (ทั้งหน้ามือ หลังมือ เล็บ ซอกนิ้วมือ รอบนิ้วมือ และข้อมือทั้งสองข้าง) หลังจากถ่ายอุจจาระเสร็จ หลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อม หลังจากเช็ดน้ำมูกหรือน้ำลายให้เด็ก ก่อนการเตรียมอาหาร และก่อนรับประทานอาหาร
  4. รีบซักผ้าอ้อมหรือเสื้อผ้าที่เปื้อนอุจจาระให้สะอาดโดยเร็วและทิ้งน้ำลงในโถส้วมเท่านั้น (ห้ามทิ้งลงท่อระบายน้ำ)
  5. หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ขวดนม แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อน จาน ชาม เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว รวมทั้งของเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ ในโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็กควรเน้นให้บุคลากรและเด็กดูแลตนเองในเบื้องต้น ตลอดจนแยกสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของเด็กแต่ละคนออกจากกัน อย่าให้ปะปนกัน เพราะของเล่นต่าง ๆ อาจปนเปื้อนน้ำลาย น้ำมูก หรือสิ่งขับถ่ายของเด็กได้ และควรหมั่นทำความสะอาดด้วยสบู่หรือผงซักฟอก แล้วล้างน้ำให้สะอาดก่อนที่จะนำไปผึ่งแดดให้แห้ง
  6. สำหรับการทำความสะอาดพื้นเพื่อฆ่าเชื้อโรคนั้น ควรทำความสะอาดโดยใช้สบู่หรือผงซักฟอกปกติก่อน 1 รอบ แล้วตามด้วยน้ำยาฟอกขาว คลอรอกซ์ หรือไฮเตอร์ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยเช็ดออกด้วยน้ำสะอาด เพื่อป้องกันสารเคมีตกค้าง
  7. เมื่อพบว่าบุตรหลานเป็นโรคมือเท้าปาก ควรแยกให้อยู่แต่ในบ้าน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยไปคลุกคลีกับผู้อื่นประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าตุ่มแผลต่าง ๆ จะหายดี เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกด้วย ไม่ควรให้เด็กไปโรงเรียน สถานเลี้ยงเด็ก หรือที่ชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงการติดต่อไปยังเด็กอื่น
  8. ในช่วงที่มีการระบาดของโรค ในโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็ก ควรมีการสอบถามถึงประวัติอาการของเด็กที่หน้าโรงเรียนเกี่ยวกับอาการเป็นไข้และตุ่มน้ำที่ปาก มือ และเท้า หากสงสัยว่าเด็กคนไหนเป็นโรคมือเท้าปาก ควรให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองมารับพาเด็กกลับบ้านและไปพบแพทย์ทันที อย่าให้เด็กอยู่ในโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็ก และควรให้ความรู้เกี่ยวกับโรคดังกล่าวและวิธีป้องกันให้ทราบโดยทั่วกันแก่ครูพี่เลี้ยง พ่อแม่หรือผู้ปกครอง
  9. หากพบว่ามีเด็กในห้องเรียนเดียวเป็นโรคมือเท้าปากตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จำเป็นต้องปิดห้องเรียนหรือโรงเรียนเป็นเวลาอย่างน้อย 5 วัน
  10. ในกรณีที่มีการติดเชื้อชนิดรุนแรง (ไวรัสเอนเทอโรชนิด 71) โดยเฉพาะมีการเสียชีวิต โรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็กอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการป้องกันที่เข้มข้นมากขึ้น ดังนี้
    • ปิดโรงเรียนทั้งโรงเรียนเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อทำความสะอาดห้องเรียนและของเล่นต่าง ๆ เพื่อรอจนกว่าจะไม่มีเด็กคนอื่น ๆ มีอาการป่วยด้วยโรคนี้ (การปิดโรงเรียนอาจได้ผลไม่ดีนัก เพราะเมื่อมีการเปิดเรียน ถ้ายังมีเด็กที่มีเชื้อไวรัสอยู่ก็อาจนำเชื้อกลับมาแพร่กระจายให้เด็กคนอื่น ๆ ได้อีก อีกทั้งเด็กบางคนเมื่อปิดเรียนไปแล้ว แต่อาจไปทำกิจกรรมร่วมกับเด็กคนอื่น ๆ ในสถานที่อื่น ๆ จึงอาจทำให้ได้รับเชื้อได้เช่นกัน บางโรงเรียนจึงใช้นโยบายปิดสลับกันไปทีละห้อง ซึ่งก็อาจจะได้ผลในการชะลอการแพร่ระบาดของเชื้อไม่ให้กระจายไปเร็วกว่านี้ แม้อาจจะยังไม่สามารถหยุดยั้งการเกิดโรคได้ดีนักก็ตาม)
    • ต้องมีการคัดแยกเด็กที่ป่วยออกตั้งแต่เดินเข้ามาที่หน้าประตูโรงเรียน โดยมีครูคอยยืนดูว่าในลำคอเด็กคนไหนมีแผลในปากหรือไม่ ถ้ามีก็จะรีบส่งตัวกลับบ้านไม่ให้เข้าเรียน แต่ก็เป็นวิธีที่ช่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะเด็กหลายคนอาจมีเชื้อในลำคอและเริ่มแพร่เชื้อได้ก่อนที่ครูจะเห็นแผลในลำคอได้อย่างชัดเจน (สิ่งสำคัญที่สุดคือ พ่อแม่หรือผู้ปกครองจะต้องหมั่นสังเกตอาการ หากลูกมีอาการป่วยที่ผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที)
    • หมั่นล้างมือให้สะอาด เช็ดถูทำความสะอาดห้องเรียน และของเล่นต่าง ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญที่ควรปฏิบัติ แต่ก็ช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ในระดับหนึ่งเช่นเดียวกัน
  11. หากเด็กหรือผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน
    • เมื่อผู้ป่วยมีอาการไข้สูงซึ่งต้องหาสาเหตุของไข้ เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้อง
    • เมื่อมีแผลที่ริมฝีปาก มือ เท้า และ/หรือร่วมกับมีอาการเบื่ออาหาร กินไม่ได้ มีไข้สูง
    • มีอาการซึมหรือหงุดหงิด ไม่สบาย เหนื่อย หายใจเร็ว
    • มีอาการเขียวคล้ำที่ตัว มือ เท้า หรือชัก ซึ่งแสดงถึงอาการที่เป็นรุนแรง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-foot-and-mouth-disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1121-1123.
  2. หาหมอดอทคอม.  “โรคมือ เท้า ปาก (Hand-Foot-and-Mouth Disease)”.  (พญ.อรุณี เจตศรีสุภาพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [10 มี.ค. 2016].
  3. สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค.  “สถานการณ์โรค มือ เท้า ปาก”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.boe.moph.go.th.  [10 มี.ค. 2016].
  4. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์.  “โรคมือปากเท้าเปื่อย…สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้เพื่อลูกรัก”.  (นพ.ประสงค์ พฤกษานานนท์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bumrungrad.com.  [10 มี.ค. 2016].

ภาพประกอบ : www.nhsdirect.wales.nhs.uk, www.blogcdn.com, wikipedia.org (by Ngufra, MidgleyDJ), www.natural-health-news.com, babycenter.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคมือเท้าปาก
  • 2 สาเหตุของโรคมือเท้าปาก
  • 3 อาการของโรคมือเท้าปาก
  • 4 การวินิจฉัยโรคมือเท้าปาก
  • 5 ภาวะแทรกซ้อนของโรคมือเท้าปาก
  • 6 วิธีรักษาโรคมือเท้าปาก
  • 7 วิธีป้องกันโรคมือเท้าปาก
  • 8 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ