โมกหลวง สรรพคุณและประโยชน์ของต้นโมกหลวง 30 ข้อ (โมกใหญ่)

โมกหลวง

โมกหลวง ชื่อสามัญ Kurchi[4], Easter tree, Conessi bark, Tellicherry tree[10]

โมกหลวง ชื่อวิทยาศาสตร์ Holarrhena pubescens Wall. ex G.Don[1] (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Echites antidysentericus Roth[6], Holarrhena antidysenterica (Roth) Wall. ex A.DC.[1], Holarrhena antidysenterica Wall.) จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE)[1],[3]

สมุนไพรโมกหลวง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ยางพุด มูกขาว (เลย), พุด (กาญจนบุรี), พุทธรักษา (เพชรบุรี), มูกมันน้อย มูกมันหลวง มูกหลวง โมกเขา โมกทุ่ง (ภาคเหนือ), โมกใหญ่ (ภาคกลาง), หนามเนื้อ (เงี้ยว-ภาคเหนือ), ซอทึ พอแก พ้อแก ส่าตึ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เป็นต้น[1],[2],[8]

ลักษณะของโมกหลวง

ต้นโมกหลวง

โมกใหญ่

รูปโมกหลวง

ใบโมกหลวง

ดอกโมกใหญ่

ดอกโมกหลวง

ฝักโมกหลวง

สรรพคุณของโมกหลวง

  1. เปลือกต้นมีรสขมฝาดเมาร้อน เป็นยาทำให้เจริญอาหาร (เปลือกต้น)[1],[5],[6]
  2. ช่วยบำรุงธาตุทั้งสี่ให้เจริญ ทำให้รู้ปิดธาตุ (เปลือกต้น)[6],[8]
  3. ทำให้ฝันเคลิ้ม (เมล็ด)[8]
  4. กระพี้ช่วยฟอกโลหิต (กระพี้)[7],[8]
  5. เปลือกต้นใช้ปรุงเป็นยาแก้เบาหวาน (เปลือกต้น)[1],[6]
  6. ผลมีรสฝาดขมร้อน เป็นยาแก้สันนิบาต หน้าเพลิง ช่วยแก้วัณโรคของสตรีอันอยู่ในเรือนไฟ (ผล)[8]
  7. เมล็ดมีรสฝาดขม สรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้ท้องเสีย แก้ไข้อันเกิดเพื่ออติสารโรค (เมล็ด)[1],[2],[3],[5],[8] ส่วนเปลือกต้นใช้ปรุงเป็นยาแก้ไข้จับสั่น (เปลือกต้น)[1],[6],[8] ช่วยแก้ไข้อันเป็นเพื่อลม แก้ไข้อันเป็นเพื่อเลือด แก้ไข้อันเป็นเพื่อเสลด (เปลือกต้น)[8] ตำรับยาแก้ไข้พิษ ระบุให้ใช้เปลือกต้นโมกหลวงประมาณ 6-10 กรัม (ครึ่งกำมือ) ผสมกับผลมะตูมแห้ง (อย่างละเท่ากัน) รวมกับเปลือกรากทับทิมครึ่งส่วน นำมาตำให้เป็นผงผสมกับน้ำผึ้งทำเป็นลูกกลอน ใช้รับประทานครั้งละ 1-2 กรัม (ของยาที่ผสมแล้ว) ประมาณ 3-5 เมล็ดพุทรา หรือนำมาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทานวันละ 2 ครั้งเป็นยาแก้ไข้พิษ (เปลือกต้น)[7],[8]
  8. เปลือกต้นแห้งมีสรรพคุณแก้เสมหะเป็นพิษ (เปลือกต้น)[1],[6],[8]
  9. ช่วยรักษาหลอดลมอักเสบ (ใบ)[6]
  10. ช่วยขับลม (เมล็ด)[3],[5],[6]
  1. ช่วยในการขับถ่าย (เมล็ด)[1]
  2. ช่วยแก้โรคลำไส้ (เปลือกต้น)[8]
  3. เมล็ดช่วยแก้ท้องเสีย ท้องเดิน (เมล็ด)[1],[2],[3],[5] ส่วนตำรายาพื้นบ้านอุบลราชธานีจะใช้ส่วนของรากนำมาต้มกับน้ำดื่มแก้ท้องเสีย (ราก)[6]
  4. ช่วยรักษาท้องร่วง (เปลือกต้น, น้ำมันจากเมล็ด)[6]
  5. เมล็ดเป็นยาแก้บิด (เมล็ด)[1],[2],[3],[5] เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด แก้บิดมูกเลือด ส่วนอีกตำรับให้ใช้เปลือกต้นโมกหลวงประมาณ 6-10 กรัม (ครึ่งกำมือ) ผสมกับผลมะตูมแห้ง (อย่างละเท่ากัน) รวมกับเปลือกรากทับทิมครึ่งส่วน นำมาตำให้เป็นผงผสมกับน้ำผึ้งทำเป็นลูกกลอน ใช้รับประทานครั้งละ 1-2 กรัม (ของยาที่ผสมแล้ว) ประมาณ 3-5 เมล็ดพุทรา หรือนำมาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทานวันละ 2 ครั้งเป็นยาแก้บิด (เปลือกต้น)[1],[2],[4],[5],[7] ส่วนตำรายาพื้นบ้านอุบลราชธานีจะใช้ส่วนของรากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด (ราก)[6]
  6. เปลือกต้นแห้งที่ป่นละเอียดแล้ว นำมาใช้ทาตัวแก้โรคท้องมานได้ (เปลือกต้น)[1],[5]
  7. ดอกมีรสฝาดเมา เป็นยาขับพยาธิ ถ่ายพยาธิ (ดอก)[1],[2],[3],[5] ใบช่วยขับพยาธิในท้อง (ใบ)[3],[6] ช่วยขับไส้เดือนในท้อง (ใบ)[7],[8] ส่วนเมล็ดเป็นยาถ่ายพยาธิในลำไส้เล็ก (เมล็ด)[1],[2],[3],[5]
  8. รากมีรสร้อน ช่วยขับโลหิต ขับโลหิตประจำเดือนของสตรี แก้โลหิตอันร้ายให้ตก (ราก)[1],[3],[7],[8] ส่วนผลก็ช่วยขับโลหิตเช่นกัน (ผล)[7],[8]
  9. ช่วยแก้ดีพิการ (เปลือกต้น)[8]
  10. ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย (เปลือกต้น)[8]
  11. เมล็ดเป็นยาฝาดสมาน (เมล็ด)[1],[2],[3],[5] ช่วยสมานท้องลำไส้ (เมล็ด)[8]
  12. ช่วยรักษาแผลพุพอง (ใบ)[6]
  13. ช่วยแก้ไฟลามทุ่ง (เมล็ด)[8]
  14. ใช้รักษาโรคผิวหนัง (เมล็ด)[1],[2],[3],[5] ส่วนเนื้อไม้หรือแก่นมีรสฝาดเมา เป็นยาแก้โรคผิวหนัง แก้กลากเกลื้อน (เนื้อไม้หรือแก่น)[3],[6],[7],[8]
  15. เปลือกหรือใบนำมาต้มผสมกับน้ำอาบรักษาโรคหิด (เปลือกหรือใบ)[6]
  16. ช่วยรักษาฝี (ใบ)[3],[6],[8]
  17. เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาช่วยระงับอาการปวดกล้ามเนื้อ (หากใช้มากเกินไปจะทำให้นอนไม่หลับและมีอาการปั่นป่วนในท้อง[6]) ส่วนใบก็มีสรรพคุณระงับอาการปวดกล้ามเนื้อเช่นกัน (เปลือกต้น, ใบ)[1],[2],[3],[5]
  18. ใบมีรสฝาดเมา ช่วยขับน้ำนมของสตรี (ใบ)[1],[2],[3],[5]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของโมกหลวง

ประโยชน์ของโมกหลวง

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  “โมกหลวง (Mok Luang)”.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 249.
  2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง.  “โมกหลวง”.  (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ).  หน้า 128.
  3. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ.  “โมกหลวง”.  (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ).  หน้า 166.
  4. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “โมกหลวง Kurchi”.  หน้า 120.
  5. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  “โมกใหญ่”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 652-653.
  6. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “โมกหลวง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com.  [20 พ.ค. 2014].
  7. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  “โมกหลวง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/.  [20 พ.ค. 2014].
  8. สมุนไพรไทย, มหาวิทยาลัยนเรศวร.  “สมุนไพรไทยโมกหลวง”.  (วชิราภรณ์ ทัพผา).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: student.nu.ac.th/46313433/Thaiherb/.  [20 พ.ค. 2014].
  9. หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4.  “โมกหลวง”.
  10. ไทยเกษตรศาสตร์.  “ข้อมูลของโมกหลวง”.  อ้างอิงใน: ศาสตราจารย์พเยาว์  เหมือนวงษ์ญาติ.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com.  [20 พ.ค. 2014].
  11. โครงการสำรวจสวนร่มเกล้ากัลปพฤกษ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.  “โมกใหญ่”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: orip.kku.ac.th/garden/.  [20 พ.ค. 2014].
  12. ย่อยข่าวงานวิจัย, หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “ฤทธิ์ของสารสกัดเมล็ดโมกหลวงในการต้านการทำงานของเอนไซม์ alpha-glucosidase และลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารในหนูแรทที่มีระดับน้ำตาลในเลือดปกติ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th.  [20 พ.ค. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Dinesh Valke, Warren McCleland)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โมกหลวง
  • 2 ลักษณะของโมกหลวง
  • 3 สรรพคุณของโมกหลวง
  • 4 ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของโมกหลวง
  • 5 ประโยชน์ของโมกหลวง
  • 6 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ