โปลิโอ (Poliomyelitis) อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคโปลิโอ

โรคโปลิโอ

โปลิโอ (Polio หรือ Poliomyelitis หรือ Infantile paralysis) หรือบางครั้งเรียกว่า “โรคไขสันหลังอักเสบ” เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโปลิโอ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดงของโรค ส่วนในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการนั้นส่วนใหญ่จะมีอาการเพียงเล็กน้อยอย่างไม่จำเพาะและจะหายได้เองเป็นปกติภายในเวลาไม่กี่วัน แต่จะมีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยที่จะมีอาการของกล้ามเนื้ออ่อนแรงและเมื่อผ่านไปหลาย ๆ ปีหลังการรักษา ผู้ป่วยที่เคยมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงนี้อาจจะเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงซ้ำขึ้นมาอีก รวมทั้งอาจเกิดกล้ามเนื้อฝ่อลีบและเกิดความพิการของข้อตามมาได้ ในปัจจุบันโรคนี้ยังไม่มียารักษา แต่จะมีวัคซีนที่ใช้ป้องกันไม่ให้เป็นโรคได้

ในปี พ.ศ.2531 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้ทุกประเทศร่วมมือช่วยกันกวาดล้างโรคโปลิโอให้หมดไป จนเป็นผลทำให้อัตราการป่วยทั่วโลกลดลงมากถึง 99% โดยลดลงจาก 350,000 ราย ในปี พ.ศ.2531 (จาก 125 ประเทศทั่วโลก) เหลือเพียง 820 ราย ใน 11 ประเทศ เมื่อปี พ.ศ.2550 ซึ่งประเทศที่ยังพบโรคได้มากอยู่ คือ อินเดีย (ประมาณ 400 กว่าราย), ปากีสถาน ไนจีเรีย และอัฟกานิสถาน ส่วนในประเทศไทยเรานั้น องค์การอนามัยโลกได้ประกาศรับรองให้เป็นประเทศที่ปลอดโรคโปลิโอแล้วเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2557 โดยไทยเป็น 1 ใน 11 ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ได้รับประกาศนียบัตรรับรองในครั้งนี้ ทั้งนี้ ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคโปลิโอรายสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.2540 ที่จังหวัดเลย แต่อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขก็ยังคงทุกมาตรการในการควบคุมโรคนี้อย่างต่อเนื่องตลอดไป

สาเหตุของโรคโปลิโอ

เชื้อที่เป็นสาเหตุ : โรคโปลิโอเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งอยู่ในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) เช่นเดียวกับไวรัสที่ก่อโรคมือเท้าปาก โดยเชื้อไวรัสโปลิโอจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิดย่อย คือ ชนิดย่อย 1, 2 และ 3 และแต่ละชนิดย่อยจะแบ่งย่อยได้อีก 2 สายพันธุ์ คือ

เชื้อไวรัสโปลิโอ (Poriovirus)

  1. สายพันธุ์รุนแรงก่อโรค (Wild strain) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ระหว่างการเฝ้าระวังและกวาดล้าง โดยปัจจุบันยังพบสายพันธุ์รุนแรงนี้ใน 2 ประเทศ คือ อัฟกานิสถานและปากีสถาน
  2. สายพันธุ์วัคซีน (Vaccine strain หรือ Sabin strain) เป็นการทำให้เชื้อไวรัสโปลิโอทั้ง 3 ชนิดย่อยอ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้ แล้วนำมาใช้เป็นวัคซีนชนิดหยด หรือที่เรียกกันว่า OPV (Oral polio vaccine) เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย แต่อย่างไรก็ตาม ไวรัสโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนอาจมีการเปลี่ยนแปลงในระดับโมเลกุลจนสามารถทำให้เกิดสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ และก่อให้เกิดโรคโปลิโอได้ ซึ่งการเกิดนี้มักจะเกิดในชุมชนที่มีระดับความครอบคลุมของวัคซีนโปลิโอค่อนข้างต่ำเป็นระยะเวลานาน ส่วนในประเทศไทยเองก็ไม่พบสายพันธุ์รุนแรงก่อโรคมามากกว่า 10 ปีแล้ว อีกทั้งความครอบคลุมของการให้วัคซีนก็อยู่ในระดับสูง คือ มากกว่า 90% จึงทำให้ยังไม่พบสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์แต่อย่างใด

ทั้งนี้ แต่ละชนิดย่อยสามารถทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ แต่ชนิดย่อยที่ทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่พบบ่อยที่สุดคือชนิด 1 รองลงมาคือชนิด 3 ส่วนชนิด 2 นั้น พบได้ไม่บ่อย และเมื่อติดเชื้อย่อยชนิดหนึ่งแล้วร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดกับเชื้อชนิดย่อยนั้น ๆ (แม้จะมีอาการหรือไม่มีอาการก็ตาม) แต่จะไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อชนิดย่อยอื่น ๆ ดังนั้น ตามทฤษฎีแล้วจึงมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ถึง 3 ครั้ง (จากเชื้อทั้ง 3 ชนิดย่อย) แต่ก็ยังพบได้น้อย

กลุ่มเสี่ยง : การติดเชื้อไวรัสโปลิโอมักพบได้ในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสติดเชื้อนี้ได้เท่ากัน คนทั่วไปมีโอกาสติดเชื้อโปลิโอได้ง่าย แต่มีน้อยรายที่จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง (อัตราการติดเชื้อและมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะเพิ่มมากขึ้นในกรณีที่ผู้ติดเชื้อมีอายุมากขึ้น) และเนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้จะเจริญเติบโตอยู่ในลำไส้ เชื้อจึงถูกขับออกจากร่างกายมากับอุจจาระและแพร่ไปสู่ผู้อื่นผ่านการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ป่วย ซึ่งเกิดจากการขับถ่ายที่ไม่ถูกสุขลักษณะและไม่ล้างก่อนกินอาหาร โรคนี้จึงมักพบในประเทศที่ด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนาที่ขาดการดูแลเรื่องสุขอนามัยที่ดี

การติดต่อ : เชื้อไวรัสโปลิโอมีแหล่งรังโรคอยู่ในลำไส้ของคน เชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ในลำไส้ของคนที่ไม่มีภูมิต้านทานและอยู่ภายในลำไส้ประมาณ 1-2 เดือน เมื่อถูกขับถ่ายออกมาภายนอกจะไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ และเชื้อจะอยู่ภายนอกร่างกายในสิ่งแวดล้อมได้ไม่นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อน (อายุครึ่งชีวิตของเชื้อไวรัสโปลิโอ (Half life) คือ ประมาณ 48 ชั่วโมง) เชื้อสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ง่ายมาก หากผู้ที่ได้รับเชื้อยังไม่มีภูมิคุ้มกันก็จะมีการติดเชื้อเกือบทุกราย โดยการติดเชื้อจะติดต่อได้จากการกลืนหรือสูดเอาเชื้อเข้าไปในร่างกาย (เชื้อจะออกมากับสารคัดหลั่งบริเวณลำคอในขณะที่ผู้ป่วยไอหรือจาม และออกมากับอุจจาระแล้วเข้าสู่ร่างกายผู้อื่นทางปาก แล้วแพร่สู่ผู้อื่นผ่านการกลืนเชื้อที่ติดอยู่ที่คอจากลมหายใจหรือจากการกลืนเข้าไปพร้อมกับน้ำ นม หรืออาหารที่มีเชื้อโรคนี้ปนเปื้อนอยู่ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า สามารถติดต่อทางแมลง ขยะ หรือน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระ) ในพื้นที่ที่มีอนามัยส่วนบุคคลและการสุขาภิบาลไม่ดี จะพบโรคโปลิโอได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และจะเป็นการติดต่อทางอุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเข้าสู่อีกคนหนึ่งโดยผ่านทางปาก (Fecal-oral route) ส่วนในประเทศที่มีระดับสุขาภิบาลและการอนามัยส่วนบุคคลที่ดี การติดต่อส่วนใหญ่จะเป็นการติดต่อทางน้ำลาย (Oral-oral route) โดยเชื้อที่เพิ่มจำนวนในลำคอหรือทางเดินอาหารส่วนบน และถูกขับออกมาพร้อมกับสารคัดหลั่งบริเวณลำคอออกมาทางปาก

ระยะฟักตัวของโรคโปลิโอ (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการ) : ประมาณ 7-14 วัน แต่อาจนานถึง 35 วัน หรือสั้นเพียง 3-4 วันก็ได้ และสามารถแพร่เชื้อทางเสมหะได้ตั้งแต่ประมาณ 7 วันก่อนมีอาการไปจนถึง 14 วันหลังป่วย ส่วนเชื้อที่ออกมากับอุจจาระจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือน หรืออาจนานถึง 4 เดือน

กลไกการเกิดโรคโปลิโอ : เมื่อเชื้อไวรัสโปลิโอเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่ไม่มีภูมิต้านทาน เชื้อไวรัสจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในบริเวณคอหอยและลำไส้ ในอีก 2-3 วันต่อมาก็จะกระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอที่ทอนซิลและที่ลำไส้ และเข้าสู่กระแสเลือดทำให้ผู้ป่วยมีอาการ (ไข้) เกิดขึ้น ส่วนน้อยของเชื้อไวรัสจะผ่านจากกระแสเลือดเข้าสู่ไขสันหลังและสมองโดยตรง หรือบางส่วนอาจผ่านไปไขสันหลังโดยทางเส้นประสาท และเมื่อเชื้อไวรัสเข้าไปยังไขสันหลังแล้ว เชื้อก็จะเข้าไปทำลายเซลล์ประสาทสั่งการ (Motor neuron) ที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อต่าง ๆ ทั้งกล้ามเนื้อเรียบ (เป็นกล้ามเนื้อของอวัยวะภายในที่ทำงานได้เองโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับของสมอง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อของลำไส้) และกล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อแขน ขา) ทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้เกิดอาการอ่อนแรงหรือเกิดอัมพาตในที่สุด

อาการของโรคโปลิโอ

สามารถแบ่งผู้ป่วยตามอาการออกได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

  1. กลุ่มที่ไม่มีอาการใด ๆ ซึ่งผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% จะอยู่ในกลุ่มนี้ แต่ยังคงแพร่เชื้อให้ผู้อื่นทางอุจจาระได้อยู่
  2. กลุ่มที่มีอาการเพียงเล็กน้อย (Abortive poliomyelitis) เป็นกลุ่มที่พบได้ประมาณ 4-8% หรือ 5-10% (แล้วแต่แหล่งอ้างอิง) ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีอาการที่ไม่จำเพาะ (มักมีอาการคล้ายไข้หวัด) ได้แก่ มีไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ เจ็บคอ คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดท้อง ท้องเดิน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง เมื่อยล้า เป็นต้น โดยจะมีอาการอยู่ประมาณ 3-5 วัน  แล้วจะหายเป็นปกติ (ทำให้วินิจฉัยแยกจากโรคติดเชื้อไวรัสอื่นไม่ได้)
  3. กลุ่มที่มีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Nonparalytic poliomyelitis) เป็นกลุ่มที่พบได้น้อยเพียง 1% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด โดยผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีอาการเช่นเดียวกับที่เกิดจากเชื้อไวรัสอื่น ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับผู้ป่วยกลุ่มที่มีอาการเพียงเล็กน้อย (Abortive poliomyelitis) แต่จะตรวจพบอาการคอแข็งอย่างชัดเจน มีอาการปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อ เมื่อตรวจน้ำไขสันหลังก็จะพบความผิดปกติแบบการติดเชื้อไวรัส มีเซลล์ขึ้นไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นลิมโฟไซต์ มีระดับน้ำตาลและโปรตีนปกติหรือเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย และผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะหายเป็นปกติได้เช่นกัน
  4. กลุ่มที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Paralytic poliomyelitis) เป็นกลุ่มที่พบได้น้อยมาก (ประมาณ 1-2% ของผู้ป่วยในกลุ่มที่มีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ) โดยผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนกับผู้ป่วยกลุ่มที่มีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Nonparalytic poliomyelitis) แต่หลังจากนั้นเป็นเวลาหลายวันผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการปวดกล้ามเนื้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายอย่างรุนแรง แล้วตามมาด้วยอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปหรืออาจเกิดขึ้นแบบฉับพลันทันที ในผู้ป่วยบางรายอาการของ Nonparalytic poliomyelitis จะหายสนิทก่อน หลังจากนั้นประมาณ 1-2 วัน อาการไข้ก็จะกลับมาอีก และตามด้วยอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทั้งนี้ กล้ามเนื้อที่เกิดอาการอ่อนแรงจะเป็นแบบข้างขวาและซ้ายไม่สมมาตรกัน โดยกล้ามเนื้อที่พบเกิดอาการได้บ่อยที่สุดจะเป็นกล้ามเนื้อที่ขามากกว่าที่แขน และมักจะเป็นกล้ามเนื้อต้นขาหรือต้นแขนมากกว่าส่วนปลาย แต่ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อส่วนใดของร่างกายก็สามารถเกิดอาการขึ้นได้ทั้งนั้น เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถทำลายเซลล์ประสาทที่มีหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อเหล่านั้นได้ในหลาย ๆ ตำแหน่ง เช่น
    • อาจทำให้กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจอ่อนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบาก
    • อาจทำให้กล้ามเนื้อของลำไส้ใหญ่อ่อนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการท้องผูก
    • อาจทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะอ่อนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะไม่ออก
    • เชื้อไวรัสอาจไปทำลายเซลล์ประสาทสั่งการบริเวณก้านสมอง (ควบคุมเกี่ยวกับการพูด การหายใจ การกลืนอาหาร และการไหลเวียนของเลือด) ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการกลืนลำบาก พูดไม่ชัด
    • ในรายที่เป็นรุนแรงอาจทำให้เกิดอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับระบบไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการของระบบการไหลเวียนของเลือดล้มเหลว เช่น เกิดภาวะช็อก
รูปโรคโปลิโอ
IMAGE SOURCE : www.wikimedia.org (by CDC, USAID)
คนเป็นโปลิโอ
IMAGE SOURCE : www.who.int, vrachfree.ru
โปลิโอผู้ใหญ่
IMAGE SOURCE : www.getwellstaywellathome.com, www.rotarygbi.org, www.nigeriagalleria.com

อนึ่ง ผู้ป่วยไม่ว่าจะมีอาการอยู่ในกลุ่มใด เมื่อหายจากโรคแล้วจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดย่อยที่ทำให้เกิดโรคไปตลอดชีวิต แต่ยังคงมีโอกาสติดเชื้อชนิดย่อย ๆ อื่นของเชื้อโปลิโอได้อีก

ภาวะแทรกซ้อนของโรคโปลิโอ

การวินิจฉัยโรคโปลิโอ

วิธีรักษาโรคโปลิโอ

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่จำเพาะต่อเชื้อโปลิโอ ซึ่งการรักษาหลักของโรคนี้เท่าที่ทำได้ก็คือ การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ ได้แก่

  1. ในช่วง 2 สัปดาห์แรกต้องให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด (เพื่อลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ) ยานอนหลับ และให้ผู้ป่วยนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบตามกล้ามเนื้อเพื่อช่วยลดอาการเจ็บ และภายหลังจาก 2 สัปดาห์ไปแล้วจึงค่อยประเมินความสูญเสียและจึงเริ่มทำกายภาพบำบัดเพื่อให้กล้ามเนื้อส่วนที่เหลือทำงานชดเชยส่วนที่เสียไปได้
  2. หากกล้ามเนื้อแขนขาหรือลำตัวของผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรงจนไม่สามารถขยับได้ ก็ให้จับพลิกตัวยกแขนขาบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ
  3. การใส่สายปัสสาวะ หากผู้ป่วยมีปัสสาวะมาก
  4. การให้ยาระบาย/ยาแก้ท้องผูกหรือสวนทวารหนัก หากผู้ป่วยอุจจาระไม่ออกหรือมีอาการท้องผูกมาก
  5. การใช้เครื่องช่วยหายใจ หากผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบากหรือระบบการหายใจล้มเหลว
  6. การให้สารน้ำและยากระตุ้นหลอดเลือด หากระบบการไหลเวียนเลือดของผู้ป่วยล้มเหลว
  7. สำหรับผู้ป่วยกลุ่มอาการหลังเกิดโรคโปลิโอ (Post-polio syndrome – PPS) การรักษาหลักจะเน้นไปที่การทำกายภาพบำบัด ได้แก่ การใส่อุปกรณ์ช่วยยึดลำตัว อุปกรณ์ช่วยในการเดิน อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันข้อบิดผิดรูปหรืออาจใช้การผ่าตัดช่วย การฝึกพูดและฝึกกลืนในผู้ป่วยที่มีปัญหา การออกกำลังกายที่เน้นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อภายใต้คำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด (การออกกำลังกายที่ผิดวิธีหรือการออกกำลังกายที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้ามากเกินไป จะส่งผลเสียมากกว่าเกิดผลดี) การใช้เครื่องช่วยหายใจในขณะหลับหากผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องการหยุดหายใจในขณะหลับ รวมทั้งการดูแลทางด้านอารมณ์และจิตใจของผู้ป่วยร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่า ยาบางอย่างอาจช่วยลดอาการของผู้ป่วยที่เกิดกลุ่มอาการหลังเกิดโรคโปลิโอได้ เช่น ยาที่เป็นสารเพิ่มภูมิต้านทาน (Antibody หรือสาร Immunoglobulin), ยาไพริโดสติกมีน (Pyridostigmine) ซึ่งเป็นยากระตุ้นการทำงานของประสาทอัตโนมัติ และยาลาโมไตรจีน (Lamotrigine) ซึ่งเป็นยาที่ใช้ควบคุมการชักในโรคลมชัก แต่ยังคงต้องรอการรับรองจากสถาบันการแพทย์ก่อนว่ายาเหล่านี้สามารถนำมาใช้แล้วได้ประโยชน์จริง ๆ ต่อไป

วิธีป้องกันโรคโปลิโอ

  1. โรคโปลิโอสามารถป้องกันได้โดยการใช้วัคซีนโปลิโอ ซึ่งวัคซีนโปลิโอที่มีใช้ในประเทศไทยจะมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ
    • วัคซีนโปลิโอแบบหยด (OPV – Oral poliovirus vaccine) เป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่เตรียมจากเชื้อโปลิโอที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลง (เป็นการเลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะที่บริเวณเยื่อบุลำคอและลำไส้อย่างรวดเร็วและอยู่ได้นาน แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน) ถ้าเคยรับประทานวัคซีนแบบนี้มาแล้วและในอนาคตเกิดได้รับเชื้อโปลิโอ ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เชื้อเจริญเติบโตในลำไส้ได้ การใช้วัคซีนแบบรับประทานนี้จึงเหมาะสำหรับการใช้ป้องกันการแพร่กระจายของโรคโปลิโอ โดยเฉพาะในประเทศที่ยังมีการระบาดของโรคหรือยังมีการรายงานว่ายังมีโรคเกิดขึ้นอยู่ และการดูแลเรื่องสุขอนามัยยังไม่ดีพอ อีกทั้งวัคซีนรูปแบบนี้ยังมีราคาถูกกว่าแบบฉีดและสะดวกในการให้กับเด็กมากกว่า แต่จะมีผลข้างเคียงที่น่ากลัวคือ อาจเป็นตัวทำให้เกิดโรคโปลิเองขึ้นมาเองได้ ซึ่งเรียกว่า Vaccine-associated paralytic poliomyelitis (VAPP) โดยจะทำให้เกิดอาการเหมือนผู้ป่วยกลุ่มที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Paralytic poliomyelitis) แต่โอกาสที่วัคซีนจะทำให้เป็นโรคโปลิโอได้นั้นก็มีน้อยมาก ๆ คือ ประมาณ 1 ใน 2,500,000 คนที่ได้รับวัคซีน แต่ถ้าผู้รับวัคซีนมีภูมิคุ้มกันต้านทานบกพร่องก็จะมีโอกาสเกิดได้มากกว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติประมาณ 2,000 เท่า
      วัคซีนโปลิโอแบบหยด (OPV)
      IMAGE SOURCE : sphweb.bumc.bu.edu, www.un.org
    • วัคซีนโปลิโอแบบฉีด (IPV – Inactivated polio vaccine) เป็นวัคซีนเชื้อตาย (ภูมิคุ้มกันไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังฉีด จึงไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่ต้องการให้มีภูมิคุ้มกันเร่งด่วน) ถ้าเคยฉีดมาแล้วและในอนาคตเกิดได้รับเชื้อโปลิโอ เชื้อจะลงสู่ลำไส้และเจริญเติบโต แต่จะไม่สามารถลุกลามจากลำไส้เข้าสู่ร่างกายได้ จึงไม่ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ของโรคโปลิโอ แต่ผู้ติดเชื้อยังคงสามารถขับถ่ายเชื้อที่อยู่ในลำไส้แพร่ไปสู่ผู้อื่นได้ต่อไป การใช้วัคซีนแบบฉีดนี้จึงไม่เหมาะกับประเทศที่ยังมีการระบาดของโรคโปลิโอ แต่จะเหมาะกับประเทศที่ปลอดโรคนี้มานานและมีการดูแลเรื่องสุขอนามัยได้ดี
      วัคซีนโปลิโอแบบฉีด (IPV)
      IMAGE SOURCE : makambaonline.com, newsatjama.jama.com
  2. สำหรับการให้วัคซีนโปลิโอแบบฉีด (IPV) ให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทั้งหมด 4 ครั้ง โดยให้เมื่ออายุ 2 เดือน, 4 เดือน, 6-12 เดือน และครั้งสุดท้ายให้เมื่ออายุ 4-6 ปี ส่วนการให้วัคซีนแบบหยด (OPV) ให้รับทั้งหมด 5 ครั้ง (ให้ด้วยการหยดใส่ปากครั้งละประมาณ 2-3 หยด) โดยให้เมื่ออายุ 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน, 18 เดือน และครั้งสุดท้ายให้เมื่ออายุ 4-6 ปี
    • สำหรับวัคซีนแบบหยด ในกรณีที่เด็กไม่ได้รับวัคซีนตามกำหนด ให้เริ่มให้ทันทีที่มีโอกาส โดยให้จำนวน 3 ครั้ง ห่างกัน 6-8 สัปดาห์ และครั้งที่ 4 ต่อจากครั้งที่ 3 ในอีก 6-12 เดือน และหากครั้งที่ 4 ให้ก่อนอายุ 4 ปี ควรให้อีกเมื่ออายุ 4-6 ปี
    • ในเด็กอายุ 6-18 ปี หากยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ควรให้วัคซีนเพียง 3 ครั้ง (ทั้งแบบฉีดและแบบหยด) โดยให้ครั้งที่สองห่างจากครั้งแรก 1-2 เดือน และครั้งที่ 3 ให้ห่างจากครั้งที่ 2 ประมาณ 12 เดือน (ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า ให้ครั้งที่ 2 ตอน 2 เดือน และครั้งที่ 3 ตอน 12 เดือน) ส่วนในผู้ใหญ่ที่มีอายุเกิน 18 ปี อาจไม่มีความจำเป็นต้องรับวัคซีน เพราะโอกาสติดเชื้อมีน้อย ยกเว้นในรายที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยโรคโปลิโอ ผู้ที่ต้องทำงานในห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสโปลิโอ ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรคโปลิโอหรือประเทศที่ยังมีผู้ป่วยเป็นโรคโปลิโออยู่มาก หรือเป็นผู้ป่วยต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศที่ยังมีโรคโปลิโออยู่ โดยให้วัคซีน 3 ครั้งเช่นกัน และไม่จำเป็นต้องให้วัคซีนกระตุ้นอีก
    • สำหรับเด็กที่ไม่มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันบกพร่อง แต่มีความประสงค์จะใช้วัคซีนแบบฉีด (IPV) เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโปลิโอ ให้ฉีดวัคซีน IPV 2 ครั้งแรกเมื่ออายุ 2 และ 4 เดือน และให้วัคซีนแบบหยดอีก 2 ครั้ง เมื่ออายุ 6-18 เดือน และ 4-6 ปี
    • ในกรณีที่เคยได้รับวัคซีนรูปแบบรับประทานมาก่อนแล้วต้องการเปลี่ยนมารับวัคซีนแบบฉีดก็สามารถรับต่อไปได้เลยโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ (แต่ต้องได้รับทั้งหมดอย่างน้อย 4 ครั้ง) หรือในทางกลับกัน ถ้าเคยได้รับวัคซีนแบบฉีดมาก่อนแล้วจะเปลี่ยนมารับวัคซีนแบบรับประทานก็สามารถทำได้เช่นกัน (ในปัจจุบันวัคซีนโปลิโอแบบฉีดจะมีอยู่ในรูปแบบของวัคซีนรวมกับวัคซีนป้องกันโรคอื่น ๆ ด้วย)
    • หลังได้รับวัคซีนโปลิโอแบบหยด หากเด็กมีอาการไข้ อาเจียน คอแข็ง ไม่ค่อยดูดนม ไม่ค่อยขยับแขนขา หายใจมีเสียงดัง หายใจลำบาก ควรรีบพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมงหรือฉุกเฉิน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และควรนำใบหลักฐานการได้รับวัคซีนโปลิโอไปด้วย
    • หลังได้รับวัคซีนโปลิโอแบบหยด หากมีบุคคลใดในบ้านมีอาการของโรคโปลิโอเกิดขึ้นดังที่กล่าวมาในหัวข้อที่แล้ว ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเช่นกัน
      โปลิโอวัคซีน
      IMAGE SOURCE : www.urnurse.net
  3. ผู้ที่จะรับวัคซีนโปลิโอ หากมีคนในบ้านเจ็บป่วย หรือมีบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง หรือมีเด็กทารกที่ยังได้รับวัคซีนโปลิโอไม่ครบ ควรได้รับวัคซีนรูปแบบฉีด ไม่ควรรับวัคซีนรูปแบบรับประทาน เนื่องจากวัคซีนรูปแบบรับประทานนี้เป็นเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อกินเข้าไปแล้วเชื้อจะอยู่ในลำไส้และอาจแพร่ไปสู่บุคคลดังกล่าวที่ไวต่อการติดเชื้อได้
  4. ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคโปลิโอแล้ว ไม่ว่าจะมีอาการอยู่ในกลุ่มใด ถ้าแพทย์ให้กลับไปอยู่บ้านจะต้องระมัดระวังการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลในบ้านด้วย เพราะผู้ป่วยจะสามารถขับเชื้อออกมาทางอุจจาระได้นานประมาณ 1-4 เดือนหลังการติดเชื้อ และถ้าหากผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่องด้วยก็จะสามารถแพร่เชื้อได้นานถึง 1 ปี โดยผู้ป่วยควรดูแลเรื่องการขับถ่าย โดยการถ่ายให้ถูกสุขลักษณะ การล้างมือทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำและก่อนหยิบจับอาหารเข้าปาก การล้างผักผลไม้ให้สะอาดและปอกเปลือกผลไม้ก่อนกิน การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ และหากมีบุคคลใดในบ้านที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโปลิโอมาก่อน ก็ควรให้ไปพบแพทย์เพื่อรับวัคซีนให้ครบ
  5. นอกจากการรับวัคซีนป้องกันโรคแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ คือ การรักษาสุขอนามัยให้ดี ด้วยการล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนการรับประทานอาหาร การดื่มน้ำที่สะอาด รวมทั้งการถ่ายอุจจาระลงส้วมที่ถูกสุขลักษณะ และล้างมือหลังจากถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
  6. สำหรับหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ควรส่งเสริมให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับอันตรายและวิธีการติดต่อของโรคโปลิโอ รวมทั้งประโยชน์ของการได้รับวัคซีนป้องโปลิโอในเด็ก และส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักรักษาอนามัยส่วนบุคคล ตลอดทั้งการรับประทานอาหารที่สุกและสะอาด

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรคโปลิโอ

วัคซีนโปลิโอ (bOPV)
IMAGE SOURCE : hamodia.com
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “โปลิโอ (Poliomyelitis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 571-572.
  2. หาหมอดอทคอม.  “โปลิโอ (Poliomyelitis)”.  (พญ.สลิล ศิริอุดมภาส).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [27 พ.ย. 2016].
  3. สำนักโรคติดต่อทั่วไป, กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.  “โรคโปลิโอ (Poliomyelitis)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : thaigcd.ddc.moph.go.th.  [28 พ.ย. 2016].
  4. ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ.  “โรคโปลิโอ (Polio)”.  (นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhealth.com.  [28 พ.ย. 2016].
  5. การควบคุมและป้องกันโรค, สถานบนการพลศึกษาวิทยาเขตสุพรรณบุรี.  “โรคโปลิโอ (Poliomyeitis)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.ipesp.ac.th.  [28 พ.ย. 2016].
  6. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.  “โรคโปลิโอและการเกิดโรคจากวัคซีนกลายพันธุ์”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.dmsc.moph.go.th.  [28 พ.ย. 2016].
  7. MutualSelfcare.  “โรคโปลิโอ (Poliomyelitis)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : mutualselfcare.org.  [28 พ.ย. 2016].
  8. urnurse.net.  “วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ (OPV และ IPV)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.urnurse.net.  [28 พ.ย. 2016].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคโปลิโอ
  • 2 สาเหตุของโรคโปลิโอ
  • 3 อาการของโรคโปลิโอ
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของโรคโปลิโอ
  • 5 การวินิจฉัยโรคโปลิโอ
  • 6 วิธีรักษาโรคโปลิโอ
  • 7 วิธีป้องกันโรคโปลิโอ
  • 8 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรคโปลิโอ
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ