แอสไพริน (Aspirin) ยาทัมใจ สรรพคุณ วิธีใช้ ผลข้างเคียง ฯลฯ

แอสไพริน

แอสไพริน / กรดอะซิทิลซาลิไซลิก / อะซิทิลซาลิไซลิก แอซิด (Aspirin / Acetylsalicylic acid) หรือยาที่คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า ทัมใจ, บวดหาย, ประสะบอแรด, ปวดบูราอาซ่าแทป (Asatab), แอสเพนท์-เอ็ม (Aspent-M), แอสพิเลทส์ (Aspilets), เบบี้แอสไพริน (Baby Aspirin), บี-แอสไพริน 81 (B-Aspirin 81) เป็นยาในกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และมีฤทธิ์แบบเดียวกับยาตัวอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกันนี้ โดยนิยมนำมาใช้เป็นยาลดไข้ แก้อาการปวด บรรเทาอาการอักเสบ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดสมองอุดตัน เส้นเลือดหัวใจอุดตัน และเส้นเลือดที่ขาอุดตัน เป็นต้น

ด้วยยาแอสไพรินเป็นยาที่มีข้อควรระวังในการใช้ ข้อห้ามใช้ และมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก การใช้ยานี้จะต้องใช้อย่างระมัดระวังและได้รับคำสั่งจากแพทย์เท่านั้น

ยาแอสไพรินสามารถดูดซึมได้ดีในระบบทางเดินอาหาร (หรือแม้แต่ดูดซึมเข้าทางผิวหนังโดยใช้ในรูปของยาทา) หลังการรับประทานยา ปริมาณยาในกระแสเลือดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 ชั่วโมง และยาจะถูกทำลายที่ตับและถูกขับออกมาทางปัสสาวะ

ตัวอย่างยาแอสไพริน

ยาแอสไพริน (ชื่อสามัญ) มีชื่อทางการค้า เช่น เอ.เอส.เอ แคป (A.S.A Cap), เอ.เอส.เอ.-500 (A.S.A.-500), แอคโทริน (Actorin), อนาสซา (Anassa), อาร์ไพซิน (Arpisine), อาซ่าแทป (Asatab), แอสคอต (Ascot), แอสปาโก 300 (Aspaco 300), แอสเพนท์ (Aspent), แอสเพนท์-เอ็ม (Aspent-M), แอสพิเลทส์ (Aspilets), แอสพิแพค (Aspipac), แอสไพริน บีดี (Aspirin BD), แอสไพริน เอสเอสพี (Aspirin SSP), แอสไพริน 162 มก. (Aspirine 162 mg), แอสรินา (Asrina), บี-แอสไพริน 81 (B-Aspirin 81), เบบี้แอสไพริน (Baby Aspirin), เบเยอร์ แอสไพริน (Bayer Aspirin), บรรเทาปวด-บูรา (Buntaopoad-Bura), คาพาริน 100 (Caparin 100), เอมไพริน (Empirin), เอนทราริน (Entrarin), ไพริน (Pirin), เอส.พี. แท็ป (S.P. Tap), เซเฟริน-5 / เซเฟริน-10 (Seferin-5 / Seferin-10), ทัมใจ (ชื่อเดิม คือ ทันใจ), บวดหาย (ชื่อเดิม คือ ปวดหาย), บรรเทาปวดบูรา, ประสะบอแรด (ชื่อเดิม คือ ประสะนอแรด), เอเอ็นที, ยาแก้เด็กตัวร้อนตราหัวสิงห์, ไวคุลเด็ก ฯลฯ

รูปแบบยาแอสไพริน

อาซ่าแทป
IMAGE SOURCE : www.mims.com
ยา Aspent-M
IMAGE SOURCE : twitter.com (@srithongpattaya), oknation.nationtv.tv/blog/panupharmacy
แอสพิเลทส์
IMAGE SOURCE : www.thaivisa.com (by happynthailand)
ยา B-aspirin 81
IMAGE SOURCE : www.mims.com
ยาทัมใจ
IMAGE SOURCE : khanomthaisunset.com
บวดหาย
IMAGE SOURCE : www.thaiscooter.com (by วราภรณ์)
บรรเทาปวดบูรา
IMAGE SOURCE : buraphaosoth.com
ประสะบอแรด
IMAGE SOURCE : www.thaiscooter.com (by artgermany)

สรรพคุณของยาแอสไพริน

  1. ใช้เป็นยาลดไข้ แก้อาการตัวร้อน (Fever) ที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรคไข้เลือดออก อีสุกอีใส หรือไข้หวัดใหญ่[1],[2],[4]
  2. ใช้เป็นยาแก้อาการปวดทุกชนิด (Pain) เช่น ปวดศีรษะ ปวดตา ปวดหู ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดประจำเดือน ปวดแผล เป็นต้น[1],[2]
  3. ใช้เป็นยาบรรเทาอาการเจ็บปวดบวมจากภาวะการอักเสบของข้อ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis), โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในเด็ก (Juvenile rheumatoid arthritis), โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis), โรคข้อสันหลังอักเสบยึดติด (Ankylosing spondylitis), ข้ออักเสบจากโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นต้น[2],[4]
  1. ใช้รักษาโรคไข้รูมาติก (Rheumatic fever)[2]
  2. ใช้รักษาโรคคาวาซากิในเด็ก (Kawasaki disease)[2]
  3. ด้วยยาแอสไพรินมีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือด จึงมีการนำมาใช้เพื่อลดภาวะการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองและหัวใจ (โรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจ) โดยใช้ในช่วงแรกของการเกิดการอุดตันของหลอดเลือด และการใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดการอุดตันของหลอดเลือด เช่น ใช้ป้องกันโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (Thrombosis stroke), ใช้รักษาและป้องกันโรคสมองขาดเลือด (Ischemic stroke), ใช้รักษาและป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Angina pectoris), ใช้รักษาและป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)[1],[2],[6]
  4. ยานี้อาจมีประโยชน์ในการใช้ป้องกันโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ และป้องกันโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องรอการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมอีกสักระยะหนึ่งจนกว่าจะแน่ใจก่อน[7]
  5. ยานี้อาจใช้เพื่อรักษาโรคหรืออาการอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวมาได้ หากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร[4]

กลไกการออกฤทธิ์ของยาแอสไพริน

ยาแอสไพรินจะมีกลไกการออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งเอนไซม์ในร่างกายที่ทำให้เกิดสารอักเสบที่มีชื่อว่าไซโคลออกซีเจเนส (Cyclooxygenase) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ค็อกซ์ (COX) นอกจากนี้ เอนไซม์ค็อกซ์ (COX enzyme) ยังไปกระตุ้นการสร้างสารที่ทำให้เกิดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดที่มีชื่อว่า ทร็อมบ็อกเซน-เอทู (Thromboxane-A2) ดังนั้น ผลที่ได้จากการใช้ยาแอสไพริน นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบแล้ว ยังทำให้เกล็ดเลือดเกาะกลุ่มกันได้ยากมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งขนาดยาที่สูงของแอสไพริน (ครั้งละ 375-650 มิลลิกรัม) จะได้ผลดีในการบรรเทาอาการปวดและอักเสบ ส่วนขนาดยาที่ต่ำของแอสไพริน (วันละ 75-150 มิลลิกรัม) จะได้ผลดีในแง่ฤทธิ์การต้านเกล็ดเลือด

ก่อนใช้ยาแอสไพริน

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมถึงยาแอสไพริน สิ่งที่ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบมีดังนี้

ข้อห้าม/ข้อควรระวังในการใช้ยาแอสไพริน

วิธีใช้ยาแอสไพริน

  1. สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis), โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis), โรคข้อสันหลังอักเสบยึดติด (Ankylosing spondylitis) และข้ออักเสบจากโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานยาวันละ 3,000 มิลลิกรัม โดยแบ่งให้วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน[2]
  1. สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในเด็ก (Juvenile rheumatoid arthritis) ในเด็กอายุ 12 ขึ้นไป หรือมีน้ำหนักตัวมากกว่า 25 กิโลกรัม เริ่มแรกให้รับประทานยาวันละ 2,400-3,600 มิลลิกรัม โดยแบ่งให้วันละ 4 ครั้ง แล้วตามด้วย Maintenance dose ในขนาดวันละ 3,600-5,400 มิลลิกรัม ส่วนในเด็กอายุ 2-11 ปี หรือมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าหรือเท่ากับ 25 กิโลกรัม ให้รับประทานยาวันละ 60-90 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยแบ่งให้วันละ 4 ครั้ง แล้วตามด้วย Maintenance dose ในขนาดวันละ 80-100 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (สูงสุดไม่เกินวันละ 5,400 มิลลิกรัม) โดยแบ่งให้วันละ 4 ครั้ง[2]
  2. สำหรับลดไข้ (Fever) และแก้อาการปวด (Pain) ในผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ให้รับประทานยาครั้งละ 325-650 มิลลิกรัม และซ้ำได้ทุก 4 ชั่วโมงเมื่อมีอาการ ส่วนในเด็กอายุ 2-11 ปี ให้รับประทานยาครั้งละ 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการ (ทั้งหมดนี้สูงสุดไม่เกินวันละ 4,000 มิลลิกรัม) และให้หยุดใช้ยาเมื่ออาการทุเลาแล้ว[2]
    • บางข้อมูลระบุว่า ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้เป็นยาลดไข้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12-19 ปี แต่แนะนำให้ใช้ยาพาราเซตามอลแทน[1],[7]
    • บางการศึกษาระบุว่า ควรเริ่มต้นด้วยขนาดยา 600-650 มิลลิกรัมขึ้นไปในการใช้เพื่อแก้อาการปวดปานกลางถึงรุนแรง และขนาด 500-1,000 มิลลิกรัมในการใช้เพื่อลดไข้[6]
    • ในปัจจุบันแพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อแก้ปวดลดไข้แทนยาแอสไพริน ด้วยเหตุผลว่า ยาแอสไพรินมีผลข้างเคียงทำให้เกิดโรคกระเพาะได้ง่าย เพราะมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร ในขณะที่ยาพาราเซตามอลก็มีสรรพคุณในการแก้ปวดลดไข้ได้ดีพอ ๆ กัน และไม่ทำให้เป็นโรคกระเพาะแทรกซ้อน นอกจากนี้ยาแอสไพรินก็ยังทำให้เกิดอาการแพ้ยา เป็นลมพิษ ผื่นคัน หรือหอบหืดได้ด้วย ในขณะที่ยาพาราเซตามอลมีโอกาสแพ้ได้น้อยกว่ากันมาก[7]
  3. สำหรับไข้รูมาติก (Rheumatic fever) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานยาวันละ 80 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ถึงวันละ 6,500 มิลลิกรัม โดยแบ่งให้วันละ 4 ครั้ง ส่วนในเด็กให้รับประทานยาวันละ 90-130 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ถึงวันละ 6,500 มิลลิกรัม โดยแบ่งให้วันละ 4 ครั้งเช่นกัน[2]
  4. สำหรับโรคคาวาซากิในเด็ก (Kawasaki disease) การรักษาในช่วงเฉียบพลัน เริ่มแรกให้รับประทานยาวันละ 80-100 มิลลิกรัม โดยแบ่งให้วันละ 4 ครั้ง (จนกว่าไข้จะลดลงอย่างน้อย 48 ชั่วโมง) แล้วตามด้วยการรักษาในช่วงไม่เฉียบพลันและต่อเนื่อง (Maintenance dose) ให้รับประทานยาวันละ 3,000-5,000 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หลังไข้ลดลงนานประมาณ 6-8 สัปดาห์[2]
  5. สำหรับรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานยาวันละ 160-162.5 มิลลิกรัม ติดต่อกันเป็นเวลา 30 วัน[2]
  6. สำหรับรักษาโรคสมองขาดเลือด (Ischemic stroke) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานยาวันละ 50-325 มิลลิกรัม[2]
  7. สำหรับรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Angina pectoris) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานยาวันละ 75-325 มิลลิกรัม[2]
  8. สำหรับป้องกันโรคสมองขาดเลือด (Ischemic stroke), ป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Angina pectoris), ป้องกันโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (Thrombosis stroke) และป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานยาครั้งละ 75-325 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้าเป็นประจำทุกวันตลอดไป (ในกรณีที่ไม่มียาแอสไพรินขนาด 75 มิลลิกรัม ให้ใช้ยาแอสไพรินขนาด 81 มิลลิกรัม 1 เม็ด แทนก็ได้)[1],[2],[7]
  9. บางข้อมูลระบุว่าการใช้ยาแอสไพรินเพื่อรักษาภาวะหลอดเลือดอุดตัน (ทั้งหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจ) ถ้าผู้ป่วยไม่เคยรับประทานยาแอสไพรินมาก่อน ในวันแรกที่มีอาการแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยเคี้ยวยาแอสไพรินในขนาด 300-325 มิลลิกรัม เพื่อให้ระดับยาในเลือดมากพอและเกิดการยับยั้งการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือดอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการเกิดการอุดตันของหลอดเลือดซ้ำอีก หลังจากนั้นแพทย์จะให้ลดขนาดยาลงเหลือวันละ 75 หรือ 81 มิลลิกรัม และรับประทานยาไปตามปกติหลังอาหารทันทีและกลืนยาทั้งหมด โดยผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาแอสไพรินในขนาดต่ำนี้อย่างต่อเนื่องไปตลอดเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของภาวะหลอดเลือดอุดตัน[6]

คำแนะนำในการใช้ยาแอสไพริน

การเก็บรักษายาแอสไพริน

เมื่อลืมรับประทานยาแอสไพริน

หากลืมรับประทานยาแอสไพริน ให้รับประทานยาในทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับมื้อต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปได้เลย โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่าหรือมากกว่าปกติ

ผลข้างเคียงของยาแอสไพริน

ยาแอสไพรินเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดี แต่ก็มีรายละเอียดการใช้ยาในขนาดของยาที่ใช้ วิธีการรับประทานยา และข้อควรระวังในการใช้ยาที่แตกต่างกันไป หากผู้ใช้ยานี้มีความเข้าใจเกี่ยวกับยาและใช้ยาอย่างถูกต้องก็จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีในการรักษาและช่วยลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาลงได้

ยาแอสไพรินรักษาสิว

สาเหตุของการเกิดสิวส่วนใหญ่แล้วจะมีอยู่ด้วยกัน 2-3 อย่าง คือ การติดเชื้อ (โดยเฉพาะเชื้อ P.acne) รูขุมขนอุดตัน และฮอร์โมน ซึ่งถ้าไปรักษาสิวตามคลินิกความงาม เราก็มักจะได้ยา 3-4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มยาฆ่าเชื้อ เช่น ยาทาคลินดามัยซิน (Clindamycin) ยารับประทานดอกซีไซคลิน (Doxycycline) เป็นต้น, กลุ่มยาผลัดเซลล์ผิวหนัง เช่น เรตินเอ (Retin A) เพื่อเร่งให้เซลล์เก่าถูกผลัดออกและให้เซลล์ใหม่ขึ้นมาแทน, กลุ่มยาผลัดเซลล์ผิวเก่า (แก้รูขุมขนอุดตัน โดยป้องกันเซลล์ที่ตายไปอุดตันรูขุมขน) เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) เอเอชเอ (AHA) บีเอชเอ (BHA) เป็นต้น และกลุ่มยาฮอร์โมน เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด

สำหรับยาแอสไพรินนั้นก็เป็นกรดซาลิซิลิก (Salicylic acid) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มยาผลัดเซลล์ผิวเก่าจำพวกบีเอชเอ (BHA) นั่นเอง ยานี้จึงสามารถนำมาใช้รักษาสิวที่เกิดจากการอุดตันได้ และด้วยตัวยาแอสไพรินนั้นมีคุณสมบัติลดการอักเสบด้วย การนำมาใช้พอกหรือมาส์กหน้าจึงไม่ค่อยรู้สึกว่ากัดหรือระคายเคืองมากนักเหมือนกับเอเอชเอ (AHA) โดยสูตรที่นิยมนำมาใช้พอกหน้ารักษาสิวนั้นจะมีสิ่งที่ต้องเตรียมและวิธีการดังนี้

  1. ให้เตรียมยาแอสไพรินขนาด 500 มิลลิกรัม 4-5 เม็ด, น้ำอุ่น 1-2 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติ (ส่วนนี้จะใส่หรือไม่ก็ได้)
  2. ให้ผสมยาแอสไพรินกับน้ำอุ่นให้พอมีเนื้อข้น ๆ (ถ้าอยากได้มาส์กเนื้อหนากว่านี้ให้เติมน้ำผึ้งลงไป 1-2 หยด หรือถ้าอยากได้มาส์กหน้าที่ช่วยเยียวยาผิวหน้าให้ดีขึ้นก็ให้เติมโยเกิร์ตลงไปเล็กน้อย)
  3. จากนั้นให้ทาส่วนผสมลงไปบนใบหน้าบาง ๆ ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 5 นาที แล้วให้ถูส่วนผสมที่ทาลงไปนั้นออกจากใบหน้าโดยใช้นิ้วถูเบา ๆ เป็นวงกลม เพื่อเป็นการช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า และให้ล้างออกเป็นอันเสร็จ (โดยทั่วไปแนะนำให้ทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง สำหรับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย ควรลองทาบริเวณท้องแขนก่อนทาลงบนใบหน้า)

อย่างไรก็ตาม แม้ยาแอสไพรินจะใช้รักษาสิวที่เกิดจากการอุดตันได้จริง (ในการใช้ช่วงแรกอาจได้ผลดี แต่หลังจากพอใช้ไปเรื่อย ๆ จนเซลล์ผิวเก่าถูกผลัดออกไปหมดแล้วจะรู้สึกไม่ต่างจากเดิมมากนัก) แต่ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือทายาทิ้งไว้นานเกินไป หรือผสมผิดสูตรจนยาเข้มข้นเกินไป ตัวยาอาจจะกัดหน้าและอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นรอยด่างขาว (Vitiligo) ได้ ซึ่งปัญหานี้จะไม่ค่อยพบกับเครื่องสำอางหรือยารักษาสิวสำเร็จรูป เพราะว่าส่วนผสมจะค่อนข้างแน่นอนและมีความเข้มข้นไม่สูงมากนัก

หมายเหตุ : มาส์กแอสไพรินนอกจากจะช่วยลดการเกิดสิวอุดตันได้แล้ว ยังช่วยกระชับรูขุมขน ลดการอักเสบของสิวอักเสบ ช่วยทำให้ความมันบนใบหน้าลดลง และช่วยทำให้หน้าขาวใสขึ้นได้ด้วย

แอสไพรินพอกหน้า
IMAGE SOURCE : thatyesicat.wordpress.com
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 1.  “แอสไพริน (Aspirin/Salicylate)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 225-226.
  2. Drugs.com.  “Aspirin”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.drugs.com.  [04 พ.ย. 2016].
  3. หาหมอดอทคอม.  “ยาแอสไพริน (Aspirin)”.  (ภก.อภัย ราษฎรวิจิตร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [04 พ.ย. 2016].
  4. ยากับคุณ (Ya & You), มูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา (วพย.).  “ASPIRIN”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.yaandyou.net.  [04 พ.ย. 2016].
  5. Siamhealth.  “Aspirin”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [04 พ.ย. 2016].
  6. ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “แอสไพริน (aspirin)”.  (ภญ.วิภารักษ์ บุญมาก).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th.  [05 พ.ย. 2016].
  7. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 238 คอลัมน์ : พูดจาภาษายา.  “แอสไพริน : เป็นมากกว่ายาแก้ปวดลดไข้”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [05 พ.ย. 2016].
  8. acne.org.  “Aspirin Mask reviews”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.acne.org.  [05 พ.ย. 2016].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 แอสไพริน
  • 2 ตัวอย่างยาแอสไพริน
  • 3 รูปแบบยาแอสไพริน
  • 4 สรรพคุณของยาแอสไพริน
  • 5 กลไกการออกฤทธิ์ของยาแอสไพริน
  • 6 ก่อนใช้ยาแอสไพริน
  • 7 ข้อห้าม/ข้อควรระวังในการใช้ยาแอสไพริน
  • 8 วิธีใช้ยาแอสไพริน
  • 9 คำแนะนำในการใช้ยาแอสไพริน
  • 10 การเก็บรักษายาแอสไพริน
  • 11 เมื่อลืมรับประทานยาแอสไพริน
  • 12 ผลข้างเคียงของยาแอสไพริน
  • 13 ยาแอสไพรินรักษาสิว
  • 14 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ