แผลพุพอง อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคแผลพุพอง 7 วิธี

แผลพุพอง

โรคพุพอง โรคแผลพุพอง หรือ โรคแผลติดเชื้อแบคทีเรีย (Impetigo/Ecthyma) เป็นการอักเสบของผิวหนังแบบหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดสแตฟีโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) หรือชนิด สเตรปโตค็อกคัส ไพโอจีนัส (Streptococcus pyogenes) หรือที่เรียกกันในอีกชื่อหนึ่งว่า สเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ (Group A streptococcus) โดยแผลพุพองสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

  1. แผลพุพองชนิดตื้น (Impetigo) เป็นการติดเชื้อของหนังกำพร้าชั้นนอกสุด (Stratum corneum) เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กวัยที่ขาดการรักษาความสะอาดและไม่สนใจดูแลบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถติดต่อกันได้ง่าย แต่ไม่อันตราย และสามารถหายเองได้ภายใน 2 สัปดาห์โดยไม่มีแผลเป็น โดยสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสถูกแผลพุพองโดยตรง หรือจากการสัมผัสของเล่นเด็ก ของใช้ หรือเสื้อผ้าของผู้ที่เป็นโรคแผลพุพองมาก่อน ซึ่งเชื้อจะเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางรอยถลอก และเชื้อจะแพร่กระจายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยการเกาหรือตามเสื้อผ้า
  2. แผลพุพองชนิดลึก (Ecthyma) เป็นการติดเชื้อที่ลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) มักพบได้ในเด็กที่สุขภาพไม่ดี ในเด็กวัยเรียนหรือในผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักรักษาความสะอาด ไว้เล็บยาว ผิวหนังสกปรก ไม่ใส่ใจดูแลบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น รอยขีดข่วน รอยถลอก รอยแผลจากยุงหรือแมลงกัด หรืออาจพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น ผื่นแพ้ ผื่นคัน หิด เหา เริม งูสวัด อีสุกอีใส เป็นต้น

หมายเหตุ : แผลพุพอง (Impetigo) ที่กล่าวถึงในบทความนี้เป็นคนละอาการกับบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (Burns) ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ ความประมาท หรือขาดความระมัดระวัง

อาการของแผลพุพอง

ภาวะแทรกซ้อนของแผลพุพอง

การวินิจฉัยโรคแผลพุพอง

โดยทั่วไปแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากการสอบถามประวัติอาการ ประวัติการเกิดแผล ประวัติการสัมผัสโรค จากการตรวจร่างกาย และจากการตรวจดูรอยโรคเป็นสำคัญ โดยแพทย์อาจส่งเพาะเชื้อจากแผลเพื่อยืนยันถึงชนิดของเชื้อโรคและเพื่อดูประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะต่อเชื้อที่ก่อโรคแผลพุพอง หรืออาจทำการตัดชิ้นเนื้อจากรอยโรคเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยาในกรณีที่แพทย์ไม่แน่ใจในการวินิจฉัยหรือพบในผู้ป่วยที่เป็นแผลมานานและรักษาแล้วยังไม่ดีขึ้น

ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคแผลพุพองแบบตุ่มน้ำใส ต้องวินิจฉัยแยกโรคจากโรคเริม, อีสุกอีใส, โรคบุลลัสเพมฟิกอยด์ (Bullous pemphigoid), โรคเพมฟิกัสวัลการิส (Pemphigus vulgaris), ตุ่มจากความร้อน และตุ่มจากแมลงกัด

วิธีรักษาแผลพุพอง

เมื่อมีบาดแผลที่ไม่หายจากการดูแลตนเองในเบื้องต้นหรือมีอาการแย่ลง เช่น มีหนอง แผลลุกลามขยายใหญ่ขึ้น หรือมีอาการเจ็บหรือปวด หรืออักเสบมากขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกต้อง

รักษาแผลพุพอง
IMAGE SOURCE : www.wikihow.com

วิธีป้องกันแผลพุพอง

การป้องกันโรคแผลพุพองคือการป้องกันไม่ให้แผลติดเชื้อ ซึ่งสามารถทำได้โดย

  1. เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ รอยถลอก หรือรอยขีดข่วน ก็ควรรักษาความสะอาดแผลทันที และอาจทาแผลด้วยยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมจนกว่าแผลจะหาย
  2. ตัดเล็บให้สั้น ไม่แคะ แกะ เกา หรือบีบบริเวณที่เป็นแผล
  3. ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ และล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัสแผล รวมถึงการทำความสะอาดเสื้อผ้าและเครื่องใช้ที่สัมผัสกับแผล
  1. หมั่นรักษาความสะอาดผิวหนังอยู่เสมอด้วยการอาบน้ำฟอกสบู่วันละ 2 ครั้ง
  2. ทำความสะอาดผิวหนังทุกครั้งด้วยสบู่เมื่อสัมผัสกับสิ่งสกปรก
  3. ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีแผลพุพอง และไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกัน
  4. รักษาสุขอนามัยพื้นฐานโดยการปฏิบัติตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ 10 ประการ
  5. เพื่อป้องกันไม่ให้แผลลุกลาม เมื่อเกิดแผลพุพอง แผลเป็นหนอง แผลติดเชื้อ ทางที่ดีที่สุดคือการไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมาใช้เอง
  6. นอกจากการดูแลรักษาบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว การรักษาโรคผิวหนังที่เป็นอยู่ เช่น หิด เหา เริม งูสวัด อีสุกอีใส ก็ควรรักษาอย่างจริงจังด้วย

ลักษณะของโรคแม้จะไม่รักษาก็สามารถหายได้เอง แต่การรักษาจะช่วยลดการแพร่กระจาย ลดระยะเวลาที่เป็น และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังได้ ซึ่งในผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรง แม้ไม่ได้รับการรักษา แผลก็อาจหายไปได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ แต่หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมแผลจะดีขึ้นภายใน 7-10 วัน ส่วนผู้ป่วยที่มีผื่นที่ผิวหนังจากโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ผื่นผิวหนังที่เกิดจากร่างกาย การติดเชื้อพยาธิก็อาจทำให้โรคหายช้ากว่าปกติ เป็นต้น และโรคนี้เมื่อรักษาหายแล้วก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก และโดยทั่วไปถ้าการติดเชื้อไม่ลุกลามลงไปในผิวหนังชั้นลึก ๆ หลังแผลหายแล้วก็มักจะไม่เกิดแผลเป็น

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “แผลพุพอง (Impetigo/Ecthyma)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 988-989.
  2. กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.  “โรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.dms.moph.go.th.  [26 ส.ค. 2016].
  3. หาหมอดอทคอม.  “โรคพุพอง (Impetigo)”.  (พญ.ธนัฐนุช วงศ์ชินศรี).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [28 ส.ค. 2016].
  4. MutualSelfcare.  “โรคพุพอง (Impetigo)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : mutualselfcare.org.  [28 ส.ค. 2016].
  5. Siamhealth.  “แผลพุพองหรือที่เรียกว่า Bullous impetigo”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [28 ส.ค. 2016].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 แผลพุพอง
  • 2 อาการของแผลพุพอง
  • 3 ภาวะแทรกซ้อนของแผลพุพอง
  • 4 การวินิจฉัยโรคแผลพุพอง
  • 5 วิธีรักษาแผลพุพอง
  • 6 วิธีป้องกันแผลพุพอง
  • 7 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
  • 8 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ