on
แคลเซียม
แคลเซียม
แคลเซียม (Calcium) เป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน จำเป็นต่อการทำงานของหัวใจ กล้ามเนื้อ และระบบประสาท หากร่างกายไม่ได้รับแคลเซียมเพียงพอ แคลเซียมในกระดูกจะถูกดึงมาใช้แทน ส่งผลให้กระดูกเปราะบางและอ่อนแอลง เกิดเป็นโรคกระดูกพรุนได้
แคลเซียมเสริมจำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์ แม่ที่ต้องให้นมลูก เด็ก วัยรุ่น และหญิงใกล้หมดประจำเดือนเพื่อป้องกันการขาดแคลเซียม นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารในแต่ละวันไม่เพียงพอเป็นเวลานานหลายปีหรือเป็นโรคกระดูกพรุนและโรคกระดูกอื่น ๆ ก็สามารถรักษาได้ด้วยการให้รับประทานแคลเซียมเสริม

เกี่ยวกับแคลเซียม
| กลุ่มยา | แร่ธาตุ |
| ประเภทยา |
ยาตามใบสั่งแพทย์ ยาหาซื้อได้เอง |
| สรรพคุณ | ใช้ทดแทนการขาดแคลเซียม และรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่มีภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง |
| กลุ่มผู้ป่วย |
เด็กและผู้ใหญ่ |
| รูปแบบของยา | ยาเม็ด ยาน้ำเชื่อม ยาฉีด |
คำเตือนการใช้แคลเซียม
- แม้แคลเซียมจะจำเป็นต่อคนท้องและแม่ที่ต้องให้นมลูก แต่การรับประทานอาหารเสริมมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อแม่และเด็กได้
- ไม่ควรใช้แคลเซียมแบบฉีดกับเด็กเพราะอาจเกิดการระคายเคืองจากเข็มฉีดยา
- ผู้ป่วยโรคต่าง ๆ ต่อไปนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำการรับประทานที่ปลอดภัยและถูกต้อง
- ผู้ที่ท้องเสียหรือมีปัญหาเกี่ยวกับท้องและลำไส้ อาจต้องรับประทานแคลเซียมมากเป็นพิเศษหรือเจาะจงปริมาณที่แน่ชัด
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ การให้แคลเซียมแบบฉีดทำให้หัวใจเต้นผิดปกติได้
- ผู้ป่วยที่มีแคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia) และแคลเซียมในปัสสาวะสูง (Hypercalciuria) การได้รับแคลเซียมเพิ่มจะทำให้อาการแย่ลง
- ผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงผิดปกติ แคลเซียมฟอสเฟตอาจทำให้ระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูงขึ้นและเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงตามมา
-
ผู้เป็นโรคไตหรือโรคนิ่ว การได้รับแคลเซียมสูงเพิ่มโอกาสเกิดโรคนิ่วในไต
ปริมาณการใช้แคลเซียม
ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวันเพื่อป้องกันการขาดแคลเซียม
- เด็กอายุไม่เกิน 3 ปี: 400-800 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 4-6 ปี: 800 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 7-10: 800 มิลลิกรัม/วัน
- วัยรุ่นและผู้ใหญ่: 800-1,200 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: 1,200 มิลลิกรัม/วัน
แพทย์จะสั่งจ่ายยาตามความรุนแรงในการขาดแคลเซียมของผู้ป่วย ซึ่งแคลเซียมแต่ละชนิดและแต่ละปริมาณประกอบด้วยสารแคลเซียมในปริมาณต่างกันไป ดังนี้
| ชนิดของแคลเซียม | ปริมาณเม็ดยา (มิลลิกรัม) | ปริมาณแคลเซียมในยา (มิลลิกรัม) |
| แคลเซียมซิเตรท | 950 | 200 |
| แคลเซียมคาร์บอเนต
| 625 650 750 835 1,250 1,500 | 250 260 300 334 500 600 |
| แคลเซียมกลูโคเนต | 500 650 1,000 | 45 58 90 |
| แคลเซียมแลคเตท | 325 650 | 42 84 |
การใช้แคลเซียม
- รับประทานตามปริมาณกำกับ ไม่ให้มากหรือบ่อยครั้งเกินไป เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อผลข้างเคียง
- ควรรับประทานแคลเซียมเสริมกับน้ำหรือน้ำผลไม้หนึ่งแก้วเต็ม แต่หากใช้แคลเซียมคาร์บอร์เนตเป็นยาลดการดูดซึมฟอสเฟตในการล้างไตก็ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ
- ควรรับประทาน 1-1.5 ชั่วโมงหลังอาหารเพื่อให้การดูดซึมดีที่สุด หรือตามคำแนะนำของแพทย์ แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะไร้กรดเกลือในกระเพาะควรรับประทานพร้อมมื้ออาหาร เพื่อให้กระเพาะสามารถดูดซึมแคลเซียมได้
- การรับประทานแคลเซียมแบบเคี้ยวได้ ควรเคี้ยวเม็ดยาให้ละเอียดก่อนกลืน
- แคลเซียมแบบน้ำเชื่อม ควรรับประทานก่อนมื้ออาหาร จะทำให้ดูดซึมได้เร็วขึ้น และสามารถผสมกับน้ำหรือน้ำผลไม้สำหรับเด็กอ่อนหรือเด็กเล็ก
- ไม่ควรรับประทานแคลเซียมเสริมร่วมกับยาอื่นใน 1-2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ยาอื่นออกฤทธิ์ไม่เต็มที่
- ไม่ควรรับประทานยาหรืออาหารเสริมอื่น ๆ ที่มีปริมาณแคลเซียม ฟอสเฟต แมกนีเซียม หรือวิตามินดีสูง หากแพทย์ไม่ได้สั่งหรืออนุญาต
- สำหรับผู้ที่กำลังรักษาภาวะแคลเซียมต่ำ ไม่ควรรับประทานแคลเซียมเสริมหลังรับประทานอาหารไฟเบอร์สูง เช่น รำข้าว ขนมปังหรือธัญพืชภายใน 1-2 ชั่วโมง อย่าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินหรือสูบบารากุขณะใช้ยา
- ในกรณีที่ลืมรับประทานแคลเซียม ให้รับประทานทันที หรือข้ามไปครั้งต่อไปได้เลย อย่าเพิ่มปริมาณทดแทน
ผลข้างเคียงจากการใช้แคลเซียม
- ผู้ที่รับประทานแคลเซียมบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องผูก
- การรับประทานอย่างต่อเนื่องในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดโรคนิ่วในไตตามมา
- แคลเซียมแบบฉีดอาจมีผลข้างเคียงต่อไปนี้ และหากมีอาการควรบอกแพทย์ทันที
- เวียนศีรษะ
- ร้อนวูบวาบตามใบหน้าหรือผิวหนัง
- หัวใจเต้นผิดปกติ
- ผิวหนังเป็นผื่น แดง เจ็บ หรือไหม้หลังฉีดแคลเซียม
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เหงื่อออก
- มีอาการชาคล้ายเข็มทิ่ม
- ปัสสาวะยากหรือเจ็บเมื่อปัสสาวะ
- ง่วงซึม