เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) อาการ, สาเหตุ, การรักษา ฯลฯ

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (ภาษาอังกฤษ : Meningitis) คือ โรคที่เยื่อหุ้มสมองเกิดการติดเชื้อ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา แล้วทำให้บริเวณดังกล่าวอักเสบบวม ส่งผลให้เกิดอาการอื่น ๆ ตามมา เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ คอแข็ง ฯลฯ โรคนี้จัดเป็นโรคร้ายแรงชนิดหนึ่ง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจทำให้เสียชีวิตหรือพิการได้

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเป็นโรคที่พบได้เรื่อย ๆ แต่ไม่ถึงกับบ่อยมาก สามารถพบได้ในคนทุกวัยตั้งแต่เด็กอ่อนไปจนถึงผู้สูงอายุ ส่วนโอกาสในการเกิดโรคในผู้ชายและผู้หญิงมีเท่ากัน ในประเทศตะวันตกพบโรคนี้จากการติดเชื้อไวรัสประมาณ 10.9 คนต่อประชากร 100,000 คน และจากการติดเชื้อแบคทีเรียประมาณ 3 คนต่อประชากร 100,000 คน แต่โอกาสพบโรคจะสูงขึ้นกว่านี้มากในประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา

หมายเหตุ : เยื่อหุ้มสมอง (Meninges) คือ เนื้อเยื่อบาง ๆ (แต่แข็งแรง) ที่ห่อหุ้มเนื้อสมองทุกส่วนไว้เพื่อทำหน้าที่ปกป้องสมอง

สาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งเชื้อที่พบได้บ่อยที่สุด คือ จากเชื้อไวรัส รองลงมาคือจากเชื้อแบคทีเรีย และที่พบได้บ้างคือ จากเชื้อรา ส่วนสาเหตุอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้จะพบได้น้อยมาก (บางครั้งแพทย์อาจตรวจไม่พบเชื้อเลยก็ได้) ซึ่งเชื้อจะเข้าสู่เยื่อหุ้มสมองผ่านทางกระแสเลือดซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุด นอกจากนั้นที่พบได้น้อยกว่ามากคือ เชื้อลุกลามจากเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่อยู่ใกล้เคียงกับเยื่อหุ้มสมองที่มีการอักเสบติดเชื้อ แล้วลุกลามเข้าเยื่อหุ้มสมองร่วมด้วย (เช่น จากหูชั้นกลางอักเสบ หรือไซนัสอักเสบ) และจากเยื่อหุ้มสมองได้รับเชื้อโดยตรงจากอุบัติเหตุทางสมองที่ก่อให้เกิดบาดแผล (เช่น กะโหลกศีรษะแตก)

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้โดยผ่านการสัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วย การไอ จาม หายใจรดกัน เสมหะ น้ำมูกอุจจาระ ปัสสาวะ และตุ่มแผลที่มีเชื้อโรคเจือปนอยู่ เช่น ถ้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรียก็ติดต่อกันผ่านการไอ จาม หรือหายใจรดกัน ถ้าเกิดจากเชื้อไวรัสก็มักติดต่อกันผ่านทางเสมหะและน้ำมูก (แต่คนที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่จะไม่เกิดโรค) เป็นต้น

เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
IMAGE SOURCE : www.voicesofmeningitis.org

โรคนี้สามารถแบ่งออกได้หลายชนิดตามสาเหตุที่เกิด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีความรุนแรงของโรคแตกต่างกันไป เช่น

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

อาการของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

อาการที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ คือ มีไข้ ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนมาก และคอแข็ง (ก้มคอไม่ลงและคอแอ่นไปข้างหลัง)

ผู้ป่วยส่วนมากที่มาพบแพทย์จะบ่นว่ามีอาการปวดทั่วศีรษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเคลื่อนไหวของศีรษะ (เช่น ตอนก้มศีรษะลง) ซึ่งมักจะมีอาการปวดติดต่อกันหลายวัน และอาจรู้สึกปวดมากจนศีรษะแทบจะระเบิด กินยาแก้ปวดอาการก็ไม่ทุเลาลงส่วนอาการไข้นั้น ผู้ป่วยอาจมีไข้สูงอยู่ตลอดเวลาหรือมีไข้ต่ำ ๆ ก็ได้ ซึ่งก็แล้วแต่สาเหตุที่เกิด หรือถ้ามีสาเหตุมาจากพยาธิก็อาจมีเพียงไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้เลยก็ได้

หากไม่ได้รับการรักษา ต่อมาผู้ป่วยจะมีอาการกลัวแสง (ตาสู้แสงไม่ได้) กระสับกระส่าย สับสน มึมงง ไม่ค่อยรู้ตัว ซึมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดสติ นอกจากนี้ยังอาจมีอาการมองเห็นภาพซ้อน กลืนลำบาก แขนขาเป็นอัมพาตหรือชักติด ๆ กันนาน ๆ

ในเด็กเล็กแรกเกิดจนกระทั่งอายุไม่เกิน 1 เดือน อาการที่พบได้บ่อย คือ มักมีไข้สูง (อาจมีไข้ต่ำได้) กระสับกระส่าย ร้องไห้ตลอดเวลา ร้องไห้เสียงแหลม กินนมได้น้อยลงมากหรือไม่ยอมดูดนม อาจมีอาเจียน ชัก ตัวและลำคอแข็ง (สามารถยกศีรษะให้ลุกนั่งได้เลยเพราะคอแข็งทื่อ) และบริเวณกระหม่อมโป่งนูนจากการเพิ่มขึ้นของความดันในสมอง

ส่วนในผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ อาการที่พบได้บ่อย ๆ คือ ไม่ค่อยมีไข้ อาจมีเพียงอาการสับสน มึนงง และง่วงซึม

อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
IMAGE SOURCE : onthewight.com

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจัดเป็นโรคร้ายแรงชนิดหนึ่ง เพราะเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้ (ยิ่งได้รับรักษาล่าช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นเท่านั้น) ทั้งนี้ความรุนแรงจากการติดเชื้อแบคทีเรียจะสูงกว่าการติดเชื้อไวรัสมาก เพราะประมาณ 25-30% ของผู้ติดเชื้อแบคทีเรียมักจะเสียชีวิต แต่ไม่ค่อยพบการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัส ดังนั้น ถ้ามีไข้ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง อาเจียนมาก หรือมีอาการคอแข็งซึ่งชวนให้สงสัยว่าเป็นโรคนี้ ควรรีบไปพบแพทย์/โรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมงหรือเป็นการฉุกเฉิน (ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการชัก ซึม หรือหมดสติร่วมด้วย) เพื่อการตรวจวินิจโรคและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หลังจากนั้นก็ให้ดูแลตนเองตามที่แพทย์หรือพยาบาลแนะนำ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ภาวะแทรกซ้อนมักพบในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือได้รับการรักษาล่าช้าไป ซึ่งมักจะพบได้ในผู้ป่วยที่โรคมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย (โดยเฉพาะเชื้อวัณโรคและเชื้อเมนิงโกคอกคัสที่ทำให้เกิดโรคไข้กาฬหลังแอ่น) เชื้อรา และพยาธิ

โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบได้จากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ คือ มีผลต่อการหายใจ หยุดหายใจ และทำให้เสียชีวิตได้ นอกจากนี้ยังมีภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวตลอดชีวิต เช่น อาการชัก, ตาบอด, ตาแหล่, หูหนวก, ปากเบี้ยว, มีปัญหาในการพูด (พูดไม่ชัดหรือพูดไม่ได้), มีปัญหาทางด้านสมอง ความคิด ความจำ สมาธิ การเรียนรู้ การเคลื่อนไหว การประสานงาน ความสมดุลของร่างกาย และพฤติกรรม (เช่น มีอารมณ์แปรปรวน สมองพิการ ปัญญาอ่อน โดยเฉพาะเมื่อเป็นเด็กเล็กเมื่อโตขึ้นสติปัญญามักด้อยกว่าเกณฑ์), มีปัญหาเรื่องการนอน (เช่น นอนไม่หลับ), มีปัญหาเกี่ยวกับไต, มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อต่อ (เช่น ข้ออักเสบ), เป็นอัมพฤกษ์/อัมพาต, สูญเสียแขนขา (จากการตัดแขนขาเพื่อป้องกันการติดเชื้อไปสู่ร่างกาย), ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ, ฝีสมอง เป็นต้น

การวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

แพทย์มักวินิจฉัยโรคนี้ได้จากการประวัติอาการต่าง ๆ ประวัติการติดเชื้อหรืออุบัติเหตุ การตรวจร่างกายดูอาการของการติดเชื้อรอบ ๆ ศีรษะ ใบหู ลำคอ และผิวหนังตามแนวกระดูกสันหลัง รวมถึงการตรวจดูอาการทางระบบประสาทต่าง ๆ เช่น อาการคอแข็ง หรือระดับสติสัมปชัญญะ แต่การตรวจที่สำคัญ คือ การเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) ซึ่งเป็นวิธีที่แน่นอนและแม่นยำในการวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เพราะช่วยให้พบความผิดปกติต่าง ๆ ของน้ำไขสันหลัง เช่น ความดันน้ำไขสันหลังสูงกว่าปกติ น้ำไขสันหลังขุ่น (ถ้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดเป็นหนอง) มีการเปลี่ยนแปลงชองระดับน้ำตาลและโปรตีน มีการเปลี่ยนแปลงของชนิดและปริมาณของเม็ดเลือดขาว ตรวจพบเชื้อก่อโรคจากการนำน้ำไขสันหลังไปตรวจย้อมสีหรือเพาะเชื้อ เป็นต้น ซึ่งความผิดปกติของน้ำไขสันหลังนี้จะมีลักษณะจำเพาะตามสาเหตุของโรค จึงนำมาใช้ในการแยกแยะสาเหตุได้อย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ยังอาจมีการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติมตามอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ เพื่อค้นหาสาเหตุและประเมินความรุนแรงของโรค เช่น การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ การตรวจอุจจาระ การถ่ายภาพสมองที่อาจมีอาการบวมด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การถ่ายภาพรังสีบริเวณปอดหรือไซนัสเพื่อตรวจดูการติดเชื้อในบริเวณอื่นที่อาจเกี่ยวเนื่องกับเนื่อหุ้มสมองอักเสบ การทดสอบทางน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัส เป็นต้น

การแยกโรค

การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าผู้ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล แล้วให้การรักษาไปตามอาการและให้ยารักษาเฉพาะตามสาเหตุ ได้แก่

ในส่วนของผลการรักษานั้น ถ้าอาการของผู้ป่วยไม่รุนแรงและได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ มักจะดีขึ้นภายในไม่กี่วัน และหายเป็นปกติภายใน 1-3 สัปดาห์ แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น หมดสติ ความดันโลหิตต่ำ หรือได้รับการรักษาที่ล่าช้าเกินไป หรือพบโรคนี้ในทารกแรกเกิดหรือในผู้สูงอายุ ก็อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตหรือเกิดความพิการทางสมองตามมาได้ และบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคลมชัก ซึ่งจำเป็นต้องให้ยากันชักรักษาอย่างต่อเนื่อง

การป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เนื่องจากโรคนี้สามารถแพร่กระจายได้ทางการไอ จาม และการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน ดังนั้น การป้องกันที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันการติดเชื้อโดยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (ตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ) นอกจากนั้นคือ

  1. หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนกินอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและการติดเชื้อ
  2. หลีกเลี่ยงการดื่มหรือกินอาหารจากภาชนะเดียวกันกับผู้อื่น
  3. ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพทุกวัน และพักผ่อนให้เพียงพอ
  4. หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และรู้จักการใช้หน้ากากอนามัย
  5. รักษาหรือควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ดี เช่น ถ้าเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบ (หูน้ำหนวก) หรือไซนัสอักเสบ ควรรีบรักษาให้หายขาด อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรังจนเข้าสมอง
  6. ป้องกันไม่ให้เป็นโรคพยาธิตัวจี๊ดและพยาธิหอยโข่ง โดยการไม่กินกุ้ง ปลา หรือหอยโข่งแบบดิบ ๆ
  7. ผู้ที่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยด้วยโรคไข้กาฬหลังแอ่น แพทย์จะแนะนำให้กินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่น ยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin)
  8. หากมีการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นการติดเชื้อชนิดที่ร้ายแรง แพทย์จะแนะนำให้กินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการเกิดโรค
  1. ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคหรือเชื้อที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (แต่เชื้อส่วนใหญ่จะยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันได้) ซึ่งได้แก่
    • การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) แก่เด็กทุกคน ซึ่งในบ้านเราจะแนะนำให้ฉีดเข็มแรกเมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 12 เดือน และให้ฉีดเข็มที่ 2 เมื่ออายุได้ประมาณ 4-6 ปี และไม่จำเป็นต้องฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีก ซึ่งจะทำให้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคไปตลอดชีวิต
    • การฉีดวัคซีนอีสุกอีใส (Varicella vaccine) ซึ่งเป็นวัคซีนเสริม โดยจะแนะนำให้ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 12-18 เดือน และอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี (แต่ในกรณีที่ผู้รับวัคซีนมีอายุมากกว่า 13 ปี ให้ฉีด 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน) หรืออีกทางเลือกหนึ่งจะฉีดเป็นวัคซีนรวม 4 โรค (MMRV) เลยก็ได้ครับ ซึ่งตัวนี้จะไปแทนวัคซีน MMR ที่เคย
    • การฉีดวัคซีน IPD (Pneumococcal vaccine) เพื่อป้องกันการติดเชื้อนิวโมคอกคัส (Pneumococcus) ที่เป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือด รวมถึงเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยวัคซีนนี้จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ PVC13 ที่ครอบคลุมการติดเชื้อ 13 สายพันธุ์ และชนิด PPSV23 ที่ครอบคุลมการติดเชื้อได้ 23 สายพันธุ์ ซึ่งแพทย์จะเลือกฉีดให้ตามความเหมาะสม (หลังฉีดอาจทำให้มีอาการบวมแดงบริเวณที่ฉีดหรือมีไข้ต่ำ ๆ และจะค่อย ๆ บรรเทาลงเมื่อผ่านไปได้ประมาณ 2-3 วัน) อย่างไรก็ตามก็ต้องคำนึงถึงความค่าของการฉีดวัคซีนชนิดนี้ด้วย เพราะแม้วัคซีนจะมีประสิทธิภาพป้องกันโรคดังกล่าวได้ดี แต่ก็มีราคาแพงและมีระยะเวลาป้องกันโรคได้เพียง 2-3 ปี อีกทั้งยังไม่ได้ครอบคลุมเชื้อได้ทุกสายพันธุ์และอุบัติการณ์ของโรคเหล่านี้ในไทยก็น้อย ดังนั้น โดยทั่วไปแพทย์จึงพิจารณาฉีดให้ในผู้สูงอายุและเด็กที่มีความเสี่ยงสูงมากกว่าคนปกติทั่วไป (เช่น เด็กที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ติดเชื้อเอชไอวี มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ม้ามทำงานไม่ดีหรือไม่มีม้าม อยู่ในสภาพแวดล้อมหรือภาวะที่เสี่ยง รวมถึงเด็กที่ได้รับการผ่าตัดใส่วัสดุเทียมของหูชั้นในหรือมีการเปลี่ยนอวัยวะ)
    • การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal ACWY vaccine) เป็นวัคซีนที่ป้องกันเชื้อโรคได้ 4 สายพันธุ์ คือ A, C, Y, W-135 ภูมิคุ้มกันจะขึ้นหลังจากฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 7-10 วัน และฉีด 1 ครั้งภูมิคุ้มกันจะอยู่ได้นาน 3-5 ปี อย่างไรก็ตามวัคซีนชนิดก็นี้ยังไม่มีการฉีดอย่างแพร่หลายมากนักในบ้านเรา เพราะแพทย์มักจะแนะนำให้ฉีดในผู้ที่ต้องเดินทางเดินไปในประเทศที่เสี่ยง (โดยเฉพาะในเขต Meningitis belt ในแอฟริกา) รวมถึงนักเรียนนักศึกษาที่จะไปเรียนต่อในบางประเทศที่มีข้อกำหนดว่าจะต้องได้รับวัคซีนดังกล่าวก่อนเข้าไป เช่น ในสหรัฐอเมริกา หรือบางประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ
    • การฉีดวัคซีนโรคฮิบ (HIB vaccine) เพื่อป้องกันการติดเชื้อฮีโมฟิลัส อินฟลูเอ็นซาอี ชนิดบี (Haemophilus influenzae Type B) ที่ทำให้เกิดโรคฮิบ (HIB) รวมถึงโรคอื่น ๆ เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือด รวมทั้งเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยทั่วไปวัคซีนชนิดนี้จะเหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี แต่เนื่องจากอุบัติการณ์การติดเชื้อและการแพร่ระบาดของโรคฮิบไม่สูงมากนักประกอบการที่วัคซีนยังมีราคาแพง สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยจึงจัดให้วัคซีนฮิบเป็นวัคซีนทางเลือก (แนะนำให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 24 เดือนฉีดวัคซีนชนิดนี้ โดยเฉพาะในเด็กที่มีความเสี่ยง เช่น ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่แออัด หรืออยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก เป็นต้น ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 2 ปี แนะนำให้ฉีดเมื่อมีระบบภูมิคุ้มกันไม่ปกติ เช่น ภาวะไม่มีม้าม หรือมีการทำงานของม้ามผิดปกติ เป็นต้น)
    • การฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG) ตั้งแต่แรกเกิด เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นวัณโรค และถ้าเป็นวัณโรคก็ต้องรักษาให้หายขาด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่น
วัคซีนเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
IMAGE SOURCE : www.gannett-cdn.com
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 583-587
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 309 คอลัมน์ : สารานุกรมทันโรค.  “เยื่อหุ้มสมองอักเสบ”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [22 ส.ค. 2017].
  3. หาหมอดอทคอม.  “โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [23 ส.ค. 2017].
  4. Siamhealth.  “โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ meningitis”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [24 ส.ค. 2017].
  5. พบแพทย์.  “เยื่อหุ้มสมองอักเสบ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pobpad.com.  [27 ส.ค. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • 2 สาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • 3 ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • 4 อาการของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • 5 ภาวะแทรกซ้อนของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • 6 การวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • 7 การแยกโรค
  • 8 การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • 9 การป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • 10 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ