เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มบำรุงกำลัง (Energy drinks)

การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์

เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมของสารกาเฟอีน/คาเฟอีน (Caffeine) ในปริมาณไม่เกิน 50 มิลลิกรัม ต่อ 1 ขวด (100 - 150 มิลลิลิตร) เครื่องดื่มชนิดนี้ส่วนใหญ่เน้นไปทางด้านพลังงาน โดยส่วนใหญ่แล้วเครื่องดื่มชนิดนี้จะนิยมดื่มในหมู่ผู้ใช้แรงงาน และคนที่ทำงานหนัก เนื่องจากเมื่อทำงานเสร็จ ร่างกายจะอ่อนเพลีย จึงต้องการพลังงานชดเชยกลับมา

**ประวัติ

เครื่องดื่มชูกำลังเริ่มจำหน่ายในประเทศสก๊อตแลนด์ เมื่อปี ค.ศ. 1901 (พ.ศ. 2444) ในชื่อ "ไอรอน บรู (Iron Brew) ต่อมาเปลี่ยนเป็น ไอรัล-บรู (Irn bru)" ส่วนในประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีเครื่อง ดื่มชูกำลังในปี ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) คือ ลิโพวิตัน-ดี (Lipoviton D)

ในปี ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) จุดประสงค์ของการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังก็ถูกเปลี่ยนเป็น "ดื่มเพื่อชดเชยพลังงานที่เสียไป"

เครื่องดื่มชูกำลัง ออกวางจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1860 (พ.ศ. 2403) โดยใช้ชื่อยี่ห้อว่า "เกตเตอเรท (Gatorade)" โดยมีการปรับปรุงสูตร เพื่อให้สามารถรักษาพลังงานให้ยาว นานขึ้น

ในทวีปยุโรป เครื่องดื่มชูกำลังเริ่มต้นขึ้นโดยบริษัท เอส.สปิตส์ ออกจำหน่ายโดยใช้ชื่อทางการค้าว่า "เพาเวอร์ ฮอร์ส" (Power Horse)

สำหรับเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยนั้น เข้ามาเป็นครั้งแรกโดยลิโพวิตันดีเมื่อปี ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) โดยกรรมสิทธิ์ในการผลิตเป็นของบริษัทโอสถสภา

หลังจากนั้นอีก 4 ปีต่อมา (ค.ศ. 1981/พ.ศ. 2524) บริษัท ทีซี-ฟามาซูติคอล จำกัด ก็ได้เริ่มนำเครื่อง ดื่มชูกำลังเข้าสู่ท้องตลาด โดยใช้ชื่อ "กระทิงแดง (Red Bull)" ภายใต้สโลแกน "กระทิงแดง...ซู่ซ่า"

แต่ในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) โอสถสภาก็ส่ง "เอ็ม-150 (M-150)" เข้ามาในตลาด ใน ขณะนั้น เอ็ม-150 มีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 4% เมื่อเทียบกับกระทิงแดงที่มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 50% ในปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) เอ็ม-150 สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากกระทิงแดงได้สำเร็จ ในขณะนั้นทำส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง 40% โดยเอ็ม-150 ยังสามารถรักษาส่วนแบ่งการ ตลาดนี้มาได้จนถึงปัจจุบัน

**ส่วนประกอบของเครื่องดื่มชูกำลัง

ส่วนใหญ่ในเครื่องดื่มชูกำลังจะมีส่วนผสมที่สำคัญคือ สาร Xanthine (สารกระตุ้นระบบประ สาทชนิดหนึ่ง), วิตามิน บี และสมุนไพร บางยี่ห้อก็ใส่ส่วนผสมเพิ่มเติม เช่น Guarana (สารชนิดหนึ่งที่ได้จากพืช มีสรรพคุณกระตุ้นระบบประสาท) แปะก๊วย โสม บางยี่ห้อก็จะใส่น้ำตาลในปริ มาณที่สูง บางยี่ห้อก็ถูกออกแบบให้มีพลังงานต่ำ แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนผสมหลักของเครื่องดื่มชูกำลังก็คือ กาเฟอีน/คาเฟอีน (Caffeine) ซึ่งเป็นส่วนผสมชนิดเดียวกันกับกาแฟหรือชา

เครื่องดื่มชูกำลังส่วนใหญ่จะมีปริมาตร 237 มิลลิลิตรต่อขวด (ประมาณ 8 ออนซ์) มีสารคา เฟอีนประมาณ 80 มิลลิกรัมต่อ 480 มิลลิลิตร [ในประเทศไทยกำหนดให้มีส่วนผสมของสารคาเฟ อีนในปริมาณไม่เกิน 50 มิลลิกรัม ต่อ 1 ขวด (100 - 150 มิลลิลิตร)] โดยในการทดสอบสูตรของเครื่องดื่มชูกำลังนั้น กลูโคส มักเป็นส่วนผสมพื้นฐานของเครื่องดื่มชูกำลังเสมอ (ซึ่งผสมอยู่ในคา เฟอีน, ทอรีน (Taurine/กรดอะมิโนชนิดหนึ่งช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อ), และสารกลูโคโน แล็คโทน/Gluconolactone/วัตถุเจือปนอาหารที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร)

การแข่งขันทางการตลาด

ในประเทศไทยนั้น เครื่องดื่มชูกำลังเริ่มมีการแข่งขันรุนแรงในช่วงปี 2549 - 2550 เนื่องจากเริ่มมีผู้ผลิตรายใหม่เพิ่มเข้ามามากขึ้น ประกอบกับการโฆษณาของเครื่องดื่มชูกำลังหลายค่าย เพื่อเรียกความนิยมให้ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังของตน โดยโฆษณาบางตัวมีการประกาศลดราคาเครื่องดื่มชูกำลัง บางค่ายก็ประกาศแถมเครื่องดื่มชูกำลัง เมื่อลูกค้าซื้อเครื่องดื่มชูกำลังครบตามกำหนด

กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศห้ามลด แลก แจก แถม หรือจัดส่งฝาชิงโชค เครื่องดื่มชูกำลังเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 ป้องกันไม่ให้คนซื้อเครื่องดื่มชูกำลังในปริมาณมากๆ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ เนื่องจากแรงจูงใจของผู้ผลิต และป้องกันการหลอกลวงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งวิธีนี้ได้ใช้กับเครื่องดื่มอีกประเภทหนึ่ง คือสุรา

**การควบคุมเครื่องดื่มชูกำลัง

การควบคุมเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2524 ตามประกาศกระ ทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 214 พ.ศ. 2543

-ส่วนผสม

กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้เครื่องดื่มชูกำลังมีส่วนผสมของกาเฟอีน/คาเฟอีนไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อขวด โดยถ้าเป็นส่วนผสมเพิ่มเติมจะต้องมีปริมาณไม่เกินที่กระทรวงสาธารณสุขประ กาศ เช่น

-ข้อมูลบนฉลาก

จะต้องมีข้อมูลในฉลากดังนี้

-การโฆษณา

สำหรับการควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ออกหลักเกณฑ์ในการโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลัง เช่นการแสดงข้อความ, การห้ามใช้ผู้แสดงแบบโฆษณาโดยใช้แรงงานหรือนักกีฬา หรือการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังไปในทางที่ชักจูง เป็นต้น

ในปี พ.ศ. 2546 กระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มเติมข้อความบางส่วนของ ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 214 พ.ศ. 2543 โดยเป็นการห้ามดาราหรือนักแสดงเป็นผู้แสดงโฆษณา และห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ซื้อเครื่องดื่มชูกำลัง โดยประกาศนี้มีผลบังคับใช้เมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา

**ข้อดีของเครื่องดื่มชูกำลัง

นักวิจัยกล่าวว่า เนื่องจากเครื่องดื่มชูกำลังมีส่วนผสมของทอรีน (Taurine) ซึ่งสามารถลดอา การเมาค้าง ลดคอเลสเตอรอล แต่ก็มีบางรายอ้างสรรพคุณว่า ช่วยส่งกระแสความรู้สึกให้ไวขึ้น ซึ่งคล้ายกับสารในนมแม่ ทำให้เครื่องดื่มของเด็กบางยี่ห้อได้ใส่สารนี้เข้าไป

และยังมีสารอาหารประเภทวิตามินอีกหลายแบบ เช่น

สำหรับเครื่องดื่มชูกำลังบางยี่ห้อที่มีราคาสูง จะมีส่วนผสมของสารกลูโคโนแล็คโทน ซึ่งเป็นสารประกอบอีกชนิดหนึ่งของเครื่องดื่มชูกำลัง ช่วยทำให้ทุเลาอาการเหนื่อย ช่วยบำรุงข้อต่อส่วนต่างๆของร่างกาย

**โทษ/ผลกระทบของเครื่องดื่มชูกำลัง

-ด้านสุขภาพกาย

นักวิชาการหลายท่านออกมากล่าวว่า โทษของเครื่องดื่มชูกำลัง ส่งผลกระทบร้ายแรงในด้านระบบประสาท เช่น กระสับกระส่าย มือเท้าสั่น โดยเฉพาะในเด็ก

ในกรณีดื่มเครื่องดื่มชูกำลังร่วมกับสุรา จะทำให้เพิ่มอาการเมาเป็น 2 เท่า

สำหรับในสถานศึกษา ก็เริ่มมี "เหล้าชูกำลัง" เนื่องจากนักศึกษาบางคนต้องการดื่มสุรา แม้ ว่าจะผิดกฎหมายก็ตาม โดยเครื่องดื่มชูกำลังที่ผสมกับสุรานั้น มีอันตรายมากกว่า อาการเมาค้าง ถึงแม้จะเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมก็ตาม โดยเครื่องดื่มชนิดนี้ เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว จะไม่รู้สึกอ่อนล้าหรือเพลีย แต่จะเป็นอันตรายต่อเยาวชน เนื่องจากเยาวชนจะเข้าใจผิดว่า เครื่องดื่มชนิดนี้ดื่มแล้วจะไม่เป็นอันตราย อาการที่เกิดขึ้น เช่น เกิดภาวะขาดน้ำ เนื่องจากฤทธิ์ของคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ผสมกัน ที่ช่วยให้ปัสสาวะเพิ่มขึ้นในปริมาณมาก (ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจผิดว่าการผสมเครื่องดื่ม 2 ชนิดเข้าด้วยกัน จะช่วยแก้อาการเมาค้างได้)

สำหรับผลการศึกษาจากประเทศออสเตรเลีย ก็ระบุว่า การดื่มเครื่องดื่มชูกำลังอาจเป็นอัน ตรายถึงชีวิต สำหรับคนที่มีอาการเครียด มีความดันโลหิตสูง หรือมีระบบการทำงานของระบบหลอดเลือดบกพร่อง สามารถเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองได้ (หลอดเลือดไปเลี้ยงสมองอุดตัน) ทำให้มีนักวิชาการหลายท่านแนะนำว่า ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มชูกำลังวันละ 2 ขวด (ไม่ควรเกิน 1 ขวด)

-ด้านจิตใจ และพฤติกรรม

ในปัจจุบันเครื่องดื่มชูกำลัง เริ่มมีการอวดอ้างสรรพคุณมากขึ้น และส่วนผสมเครื่องดื่มชูกำลังก็ใส่ส่วนผสมที่มากขึ้น โดยเฉพาะ คาเฟอีน, และ Guarana (ที่เป็นสารกระตุ้นระบบประสาท) มีปริ มาณมากขึ้น

ทำให้มีนักวิชาการออกมากล่าวว่า การดื่มเครื่องดื่มชูกำลังมากๆ ในระยะเวลาติดต่อกัน อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน หรือการขับขี่รถยนต์ และถ้าหากดื่มในปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อจิตประสาท

และยังได้กล่าวอีกว่า เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ขวด มีสารคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟ 1 ถ้วย แต่สา มารถดื่มได้ง่ายกว่า ทำให้กังวลว่า วัยรุ่นจะไปติดยาชูกำลังในลักษณะเป็นยาเสพติด หรือไม่ก็ไปมีเพศสัมพันธ์ที่ขาดการป้องกันที่ถูกต้องตามมาต่อ

และ รัฐบาลอังกฤษออกมาประกาศห้ามขายเครื่องดื่มชูกำลังในโรงเรียน เนื่องจากเครื่องดื่มชนิดนี้ทำให้เด็กนักเรียนหลายคนมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น

**ข้อสรุป

บรรณานุกรม

  1. [2014,Jan2].
  2. [2014,Jan2].
  3. [2014,Jan2].