เกลื้อน อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคเกลื้อน 15 วิธี

เกลื้อน

เกลื้อน (Tinea versicolor, Pityriasis versicolor) เป็นโรคเชื้อราของผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อ Malassezia spp. ทำให้ผู้ป่วยมีผื่นขึ้นตามผิวหนังในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก โดยเฉพาะในผู้ที่มีเหงื่อออกมาก เช่น ผู้ที่ทำงานกลางแดด ทำงานแบกหาม เป็นนักกีฬา หรือผู้ที่ใส่เสื้อผ้าที่อับเหงื่อเป็นเวลานาน

สาเหตุของเกลื้อน

หมายเหตุ : เชื้อ Malassezia spp. ที่พบว่าทำให้เกิดโรคเกลื้อนได้มีอยู่ 11 ชนิด (Species) แต่ชนิดที่พบว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเกลื้อนได้บ่อย คือ Malassezia globosa รองลงมาคือ Malassezia sympodialis และ Malassezia furfur

อาการของเกลื้อน

การวินิจฉัยโรคเกลื้อน

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้โดยดูจากอาการของผู้ป่วยจากลักษณะของผื่นและตำแหน่งที่ผื่นขึ้นเป็นหลัก และผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ในกรณีที่ผื่นมีลักษณะไม่ชัดเจนอาจต้องใช้การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ โดยการขูดเอาผิวหนังตรงบริเวณผื่นนำมาวางบนแผ่นสไลด์ แล้วหยดด้วยน้ำยาเคมีที่มีชื่อโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ 30% และนำไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ถ้าเป็นเกลื้อนก็จะพบเชื้อราที่มีรูปร่างแบบเส้น (Hyphae) ปนกับรูปร่างแบบกลม ๆ (Yeast) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า สปาเกตตี กับ มีตบอล หรือเบคอนกับไข่ดาว และถ้านำไปย้อมด้วยสีพิเศษชนิดต่าง ๆ ก็จะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ยารักษากลากเกลื้อนที่ดีที่สุด

ปกติแล้วผิวหนังของคนเราจะแบ่งออกเป็นชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นผิวหนังแท้ ในส่วนของชั้นผิวหนังกำพร้าจะแบ่งย่อยออกไปอีก 4-5 ชั้น ในการวินิจฉัยเมื่อตัดชิ้นเนื้อจากบริเวณที่เป็นผื่นไปตรวจทางพยาธิวิทยา จะพบเชื้อรารูปร่างแบบเส้นและแบบกลมอยู่เฉพาะผิวหนังชั้นบนสุด (ชั้นขี้ไคล) ของชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น เชื้อราจะไม่ลุกลามลงไปยังชั้นผิวหนังส่วนล่าง ๆ ซึ่งจะแตกต่างกับเชื้อราชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้ยังพบว่าชั้นผิวหนังกำพร้าจะมีการหนาตัวขึ้นและมีการสร้างเคราตินมากขึ้น และพบมีเซลล์เม็ดเลือดขาวมาอยู่รอบหลอดเลือดที่อยู่ในชั้นผิวหนังแท้

ควรแยกโรคนี้ออกจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคด่างขาว กลาก กลากน้ำนม เพราะถ้าเป็นโรคเหล่านี้และทาด้วยยารักษาเกลื้อนมักจะไม่ได้ผล (กลากจะมีลักษณะเป็นผื่นสีแดง มีขอบเขตชัดเจน ขอบภายนอกจะมีสีเข้มกว่าด้านใน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ต่างจากโรคเกลื้อน ส่วนกลากน้ำนมนั้นจะไม่ได้เกิดจากเชื้อรา แต่เป็นโรคที่เซลล์สร้างเม็ดสีที่ชั้นหนังกำพร้าลดลง จึงทำให้เกิดเป็นผื่นแบนราบสีออกขาวดูคล้ายโรคเกลื้อน แต่กลากน้ำนมมักจะพบขึ้นบริเวณใบหน้าและมีขอบเขตของผื่นไม่ชัดเจนเหมือนโรคเกลื้อน)

วิธีรักษาเกลื้อน

ข้อควรระวัง : ห้ามใช้ครีมสเตียรอยด์เพื่อทารักษาเกลื้อน เพราะอาจจะทำให้โรคที่เป็นอยู่ลุกลามได้ ถ้าจะซื้อยามาใช้เอง จะต้องระวังอย่าซื้อยาที่เข้าสเตียรอยด์มาใช้ และอย่าใช้ยาน้ำที่ทาแล้วแสบ ๆ หรือยาที่มีฤทธิ์ลอกผิว หรือขี้ผึ้งเบอร์ต่าง ๆ ก็ไม่ควรใช้เช่นกัน เพราะจะไม่ค่อยได้ผล ซึ่งในบางรายอาจทำให้ผิวหนังไหม้และเกิดการอักเสบได้ แต่ทางที่ดีที่สุดคุณควรปรึกษาเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยาทุกชนิด

โดยทั่วไปแล้ว เกลื้อนเป็นโรคที่ไม่รุนแรง ไม่มีผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อน ไม่ทำให้เกิดอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิต แม้ผู้ป่วยจะไม่ได้ใช้ยารักษาเลยก็ตาม เพียงแต่จะทำให้ผิวหนังในบริเวณที่เป็นนั้นเกิดรอยด่างเป็นดวง ๆ แลดูไม่สวยงามและอาจก่อให้เกิดความรำคาญได้ (อาการคันเมื่อมีเหงื่อออก) และมักเป็นแบบเรื้อรัง แม้ว่าจะรักษาหายแล้วแต่ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง ผื่นก็จะค่อย ๆ หายไปเองและไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก โดยผิวหนังจะเริ่มกลับมาเป็นสีปกติเหมือนเดิมภายในระยะเวลา 1-2 เดือน หรืออาจนานกว่านั้นเป็น 2-4 เดือน โดยไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นแต่อย่างใด (การตากแดดบ่อย ๆ จะช่วยเร่งผิวที่เป็นรอยด่างให้กลับมาเป็นสีเดิมได้เร็วขึ้น)

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “เกลื้อน (Tinea versicolor/Pityriasis versicolor)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 983-985.
  2. หาหมอดอทคอม.  “เกลื้อน (Pityriasis versicolor)”.  (พญ.สลิล ศิริอุดมภาส).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [31 มี.ค. 2016].
  3. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 128 คอลัมน์ : โรคน่ารู้.  (พญ.ปรียา กุลละวณิชย์).  “กลากเกลื้อน : โรคยอดนิยมประจำเมืองร้อน”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [31 มี.ค. 2016].

ภาพประกอบ : www.regionalderm.com, www.flickr.com (by Sarahrosenau), redbook.solutions.aap.org, blog.drseymourweaver.com, en.wikipedia.org (by Grook Da Oger), www.pcds.org.uk, www.dermquest.com, www.onlinedermclinic.com, www.familysavvy.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 เกลื้อน
  • 2 สาเหตุของเกลื้อน
  • 3 อาการของเกลื้อน
  • 4 การวินิจฉัยโรคเกลื้อน
  • 5 วิธีรักษาเกลื้อน
  • 6 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ