อาการไส้ติ่ง สาเหตุ การรักษาไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) ไส้ติ่งแตก 5 วิธี

ไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องรุนแรงที่ต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน หากพบมีอาการเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา ควรนึกถึงโรคนี้ไว้ก่อนเสมอและรีบไปพบแพทย์ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานไส้ติ่งที่อักเสบมักจะแตกทะลุ เป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตได้

โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัยตั้งแต่เด็กอายุ 2 ขวบไปจนถึงผู้สูงอายุ หรือแม้กระทั่งหญิงตั้งครรภ์ แต่จะพบได้มากในช่วงอายุ 10-30 ปี (พบได้น้อยในผู้สูงอายุ เนื่องจากไส้ติ่งตีบแฟบมีเนื้อเยื่อหลงเหลือน้อย และในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เนื่องจากโคนไส้ติ่งยังค่อนข้างกว้าง) ในผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เท่า ๆ กัน (แต่ในช่วงอายุ 20-30 ปี จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง) และมีการคาดประมาณว่าในชั่วชีวิตของคนเราจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ประมาณ 7% หรือในปี ๆ หนึ่งจะมีผู้ป่วยเป็นโรคนี้ประมาณ 1 ใน 1,000 คน (ในแต่ละปีมีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 300-400 คน)

หมายเหตุ : ไส้ติ่ง (Vermiform appendix) เป็นส่วนขยายของลำไส้ที่ยื่นออกมาจากกระพุ้งไส้ใหญ่ (Cecum) อยู่ตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา โดยมีลักษณะเป็นถุงแคบและยาว มีขนาดกว้างเพียง 5-8 มิลลิเมตร และมีความยาวหรือก้นถุงลึกโดยเฉลี่ย 8-10 เซนติเมตร (ในผู้ใหญ่) ภายในมีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ไส้ติ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ที่ฝ่อตัวลงและไม่ได้ทำหน้าที่ในการย่อยและดูดซึมอาหาร เนื่องจากเป็นท่อขนาดเล็กปลายตัน เมื่อเกิดการอักเสบจึงทำให้เนื้อผนังไส้ติ่งเน่าตายและเป็นรูทะลุในเวลาอันรวดเร็วได้

อาการปวดท้องไส้ติ่ง
IMAGE SOURCE : www.stuff.co.nz

สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ

สาเหตุสำคัญคือ เกิดจากภาวะอุดตันในรู (ทางเข้า-ออก) ของไส้ติ่ง ที่พบได้บ่อยที่สุดคือจากการมีเศษอุจจาระแข็ง ๆ ชิ้นเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “นิ่วอุจจาระ” (Fecalith) ตกลงไปในรูไส้ติ่ง และที่พบได้รองลงมาคือ เกิดจากเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลือง (Lymphoid tissue) ที่ผนังไส้ติ่งที่หนาตัวขึ้นตามการอักเสบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย นอกจากนี้อาจเกิดจากสิ่งแปลกปลอม (เช่น เมล็ดผลไม้), หนอนพยาธิ (ที่สำคัญคือ พยาธิไส้เดือน พยาธิเส้นด้าย พยาธิตืดหมู) หรือก้อนเนื้องอก

ซึ่งเมื่อเกิดการอุดตันขึ้น สิ่งคัดหลั่งที่ไส้ติ่งหลั่งอยู่เป็นปกติก็จะเกิดการคั่งอยู่ในรูไส้ติ่ง ทำให้ไส้ติ่งบวมเป่งและมีแรงดันภายในไส้ติ่งสูงขึ้น ประกอบกับการบีบขับของไส้ติ่ง จึงทำให้เกิดอาการปวดท้องรอบ ๆ สะดือ และในขณะเดียวกันเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัย (ในจำนวนน้อย) ในรูไส้ติ่งก็จะเกิดการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วและรุกล้ำเข้าไปในเนื้อเยื่อของไส้ติ่ง ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงตาม ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา และในที่สุดไส้ติ่งก็จะเกิดการเน่าตายและแตกทะลุได้

ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบจากเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (Cytomegalovirus) ได้ ซึ่งมักจะพบได้ในผู้ป่วยเอดส์ และบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบโดยที่แพทย์ไม่ทราบสาเหตุเลยก็ได้

ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ป่วยแต่ละคน ไม่ได้เป็นโรคติดต่อที่แพร่ไปให้คนรอบข้างแต่อย่างใด

ไส้ติ่งอักเสบเกิดจากสาเหตุใด
IMAGE SOURCE : body-disease.com, med50.blogspot.com, www.pathology.pitt.edu

อาการของไส้ติ่งอักเสบ

ลักษณะอาการที่โดดเด่นของไส้ติ่งอักเสบ คือ มีอาการปวดที่มีลักษณะต่อเนื่องและปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาก็มักจะมีอาการปวดอยู่หลายวัน จนผู้ป่วยทนไม่ไหวและต้องไปโรงพยาบาล

ในระยะแรกเริ่มผู้ป่วยอาจมีอาการปวดแน่นตรงลิ้นปี่คล้ายโรคกระเพาะ หรือบางรายอาจมีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ รอบ ๆ สะดือคล้ายอาการปวดแบบท้องเสีย อาจเข้าส้วมบ่อย แต่ถ่ายไม่ออก (แต่บางรายอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวร่วมด้วย) และต่อมามักจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารร่วมด้วย และอาการปวดมักจะเป็นอย่างต่อเนื่องและไม่ทุเลาลง (แม้จะกินยาแก้ปวดอะไรก็ตาม อาการปวดก็ไม่ทุเลาลง)

ต่อมาอีกประมาณ 4-6 ชั่วโมง (หรืออาจนานกว่านี้) อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวาต่ำกว่าสะดือ มีลักษณะปวดเสียวตลอดเวลา และจะเจ็บมากขึ้นเมื่อผู้ป่วยมีการขยับเขยื้อนตัว เดิน ไอหรือจาม จึงทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ และบางรายอาจต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่กับที่จากอาการปวดที่ลุกลามทรมานมากขึ้นเรื่อย ๆ (อาการปวดจะทุเลาลงได้ด้วยการนอนงอขาและตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเดินตัวงอ ซึ่งจะทำให้รู้สึกสบายขึ้น) และบางรายอาจรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวหรือมีไข้ต่ำ ๆ ได้

ไส้ติ่งปวดข้างไหน
IMAGE SOURCE : idiseases.com

ภาวะแทรกซ้อนของไส้ติ่งอักเสบ

หากไม่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดภายใน 24-36 ชั่วโมงหลังมีการอักเสบ (มักจะไม่เกินระยะเวลา 3 วัน) ไส้ติ่งจะขาดเลือดกลายเป็นเนื้อเน่าและตาย สุดท้ายผนังของไส้ติ่งที่เปื่อยยุ่ยจะแตกทะลุ หนองและสิ่งสกปรกภายในลำไส้จะไหลออกมาในช่องท้อง ทำให้กลายเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) และหากเชื้อแบคทีเรียลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดก็จะเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ (แต่บางรายก็อาจกลายเป็นก้อนฝีรอบ ๆ ไส้ติ่งแทรกซ้อนแทน ซึ่งเกิดจากร่างกายสร้างเนื้อเยื่อมาห่อหุ้มไส้ติ่งที่แตกนั้นไว้ ทำให้คลำได้มีก้อนเจ็บที่ท้องน้อย และมีไข้) ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มักพบได้บ่อยในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว และผู้ป่วยเบาหวาน (เนื่องจากมีภูมิต้านทานต่ำ) ซึ่งในผู้สูงอายุที่เป็นไส้ติ่งอักเสบจะมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 15%

ถ้าผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดภายใน 24-36 ชั่วโมง โอกาสเสียชีวิตก็นับว่ามีน้อยมากและมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนาน นอกจากอาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวแล้ว หลังการผ่าตัดยังอาจเกิดการติดเชื้อของแผลผ่าตัดแทรกซ้อนอีกด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการรักษามากขึ้น

การวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ

แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคไส้ติ่งอักเสบได้จากการซักประวัติอาการและการตรวจร่างกายเป็นหลัก ส่วนการตรวจทางทวารหนัก (ผู้ตรวจจะสวมถุงมือแล้วใช้นิ้วชี้สอดเข้าทวารหนักของผู้ป่วย หากปลายนิ้วแหย่ถูกปลายไส้ติ่งผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บมาก) จะช่วยเพิ่มน้ำหนักในการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ได้ แต่จะไม่นิยมทำในเด็กเล็ก

ในรายที่แพทย์สงสัยว่าเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ หรือต้องการยืนยันการวินิจฉัยให้แน่ชัดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ แพทย์อาจต้องทำการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย) เช่น การตรวจดูผลเลือดซีบีซี (ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบจะพบว่ามีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ), การตรวจปัสสาวะ (หากตัวไส้ติ่งอยู่ใกล้ท่อไตหรือกระเพาะปัสสาวะอาจพบเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวมากกว่าปกติ), การตรวจอัลตราซาวนด์ (อาจพบไส้ติ่งที่อักเสบบวม หรือพบก้อนฝีรอบ ๆ ไส้ติ่ง), การตรวจเอกซเรย์ช่องท้องหรือตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง (เพื่อแยกจากโรคอื่น ๆ เช่น นิ่วในท่อไต ปีกมดลูกอักเสบ การตั้งครรภ์นอกมดลูก ฯลฯ), การตรวจภายในสำหรับผู้หญิง (เพื่อแยกจากโรคอื่น ๆ) เป็นต้น

สำหรับการตรวจร่างกายมักพบว่า ผู้ป่วยมีไข้ต่ำ ๆ ประมาณ 37.5-38 องศาเซลเซียส แต่มักไม่เกิน 38.5 องศาเซลเซียส (แต่บางรายอาจไม่มีไข้เลยก็ได้ หรือในรายที่มีไข้สูงอาจเกิดจากไส้ติ่งแตก หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ปีกมดลูกอักเสบ ไทฟอยด์ เป็นต้น) และที่สำคัญ คือ การตรวจพบอาการกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา โดยเฉพาะตรงตำแหน่งของไส้ติ่งหรือจุดแมคเบอร์เนย์ (McBurney’s point) ถ้าใช้มือค่อย ๆ กดตรงบริเวณนั้นลงไปลึก ๆ แล้วปล่อยมือให้ผนังหน้าท้องกระเด้งกลับขึ้นมาทันที ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดมาก ซึ่งเรียกว่า “อาการกดปล่อยแล้วเจ็บ” (Rebound tenderness) ซึ่งแสดงว่าผู้ป่วยเริ่มมีการอักเสบของเยื่อบุช่องท้องในบริเวณนั้น ๆ นอกจากนี้อาจพบว่าผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดที่ท้องน้อยข้างขวาเมื่อผู้ตรวจใช้มือกดตรงท้องน้อยข้างซ้าย ซึ่งเรียกอาการนี้ว่า “Rovsing’s sign” ส่วนในรายที่ไส้ติ่งแตก ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอย 40 องศาเซลเซียส มีอาการปวดเจ็บทั่วบริเวณท้องน้อยทั้งซ้ายและขวา ท้องจะแข็งเกร็งไปหมด จนผู้ป่วยเดินไม่ไหว และอาจคลำได้ก้อน

อาการปวดไส้ติ่ง
IMAGE SOURCE : www.wisegeek.com

การแยกโรค

ในระยะแรกเริ่มที่ผู้ป่วยมีอาการปวดแน่นตรงลิ้นปี่ (คล้ายโรคกระเพาะ) หรือปวดบิดเป็นพัก ๆ รอบ ๆ สะดือ (คล้ายอาการท้องเสีย) อาจต้องแยกออกจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น

ส่วนในรายที่มีอาการปวดตรงท้องน้อยข้างขวา อาจต้องแยกออกจากสาเหตุอื่น ๆ อีก เช่น

จะสังเกตได้ว่าอาการปวดท้องในระยะแรกเริ่ม ไม่ว่าจะเป็นไส้ติ่งหรือโรคอื่น ๆ ก็ตามจะแยกออกจากกันได้ยาก ซึ่งบางครั้งก็อาจทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยเกิดขึ้นและทำให้แพทย์ถูกต่อว่าได้ เช่น ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่เมื่อผ่าตัดแล้วพบว่าไส้ติ่งไม่อักเสบ, ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคอื่นจนกระทั่งไส้ติ่งแตก, เด็กอายุน้อยกว่า 2 ขวบเกือบทุกรายแพทย์มักจะวินิจฉัยโรคได้หลังไส้ติ่งแตกแล้ว, ในเด็กเล็กและผู้สูงอายุที่อาการอาจไม่ชัดเจนและอาจเกิดปัญหารุนแรงได้ถ้าได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ล่าช้าเนื่องจากมีภูมิต้านทานต่ำ, ในเพศหญิงอาจวินิจฉัยโรคได้ยากขึ้นเพราะมีรังไข่และท่อรังไข่ข้างขวาอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับไส้ติ่ง เป็นต้น ดังนั้น จึงขอแนะนำว่าในกรณีที่เริ่มมีอาการปวดท้องที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร อย่าเพิ่งกินยาแก้ปวด ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจก่อน เพราะการกินยาแก้ปวดจะทำให้แพทย์วินิจฉัยแยกจากโรคได้ลำบากเนื่องจากยาจะบดบังอาการปวด

ข้อสังเกต : อาจสังเกตได้ว่าถ้าเป็นอาการปวดท้องทั่วไปจากโรคอื่น ๆ โดยทั่วไปมักจะปวดเป็นพัก ๆ ไม่ปวดตลอดเวลาเหมือนไส้ติ่งอักเสบ

วิธีรักษาไส้ติ่งอักเสบ

หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่ใกล้บ้านทันที โดยให้ยึดหลักว่า “หากมีอาการปวดท้องติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมง หรือขยับเขยื้อนตัวหรือเอามือกดแล้วรู้สึกเจ็บตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีไข้หรือไม่ก็ตาม ให้สงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที และอย่าคิดว่าเป็นเพียงอาการปวดท้องธรรมดา เช่น การปวดประจำเดือนที่อาจเคยเป็นอยู่ประจำ”

  1. ในรายที่มีอาการไส้ติ่งอักเสบชัดเจน (แม้แพทย์อาจจะไม่มั่นใจ 100% ก็ตาม) และไม่มีอาการไส้ติ่งแตกทะลุ แพทย์จะรีบให้การรักษาด้วยการผ่าตัดไส้ติ่งออกทันที เพื่อป้องกันไส้ติ่งแตกทะลุและเกิดการติดเชื้อรุนแรงตามมา (ในกรณีนี้ยังไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด แต่แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะก่อนการผ่าตัดได้ เมื่อผ่าตัดแล้วพบว่าไส้ติ่งอักเสบไม่แตกทะลุก็ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะต่อ) โดยการผ่าตัดไส้ติ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที การทำไม่ยุ่งยาก และแพทย์จะให้ผู้ป่วยอยู่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน (ในรายที่ไส้ติ่งแตกแล้วมักจะใช้เวลาที่นานกว่า และอาจเกิดแผลผ่าตัดติดเชื้อภายหลังได้) แล้วจึงอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ และจะนัดมาตัดไหมหลังการผ่าตัด 1 สัปดาห์ ซึ่งภายหลังการรักษาผู้ป่วยมักจะหายดีโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนแต่อย่างใด
  2. ในรายที่แพทย์สงสัยว่าไส้ติ่งแตกทะลุ โดยเฉพาะในรายที่ลักษณะทางคลินิกไม่สามารถแยกได้ว่าไส้ติ่งแตกทะลุชัดเจน แพทย์จะนิยมให้ยาปฏิชีวนะไว้ก่อนตั้งแต่ก่อนการผ่าตัด (เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังการผ่าตัด) แต่ถ้าผ่าตัดไปแล้วพบว่าไส้ติ่งไม่ได้แตกทะลุก็ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะต่อไปอีกหลังการผ่าตัด แต่ถ้าพบว่าไส้ติ่งแตกทะลุก็ให้ยาปฏิชีวนะกับผู้ป่วยต่อไป
  3. ในรายที่มีอาการไส้ติ่งแตกและมีอาการเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) เนื่องจากปล่อยให้เป็นอยู่นานกว่าจะมาพบแพทย์ การรักษาแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย (ก่อนนำผู้ป่วยไปผ่าตัด แพทย์จะใช้วิธีรักษาแบบประคับประคองให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่เหมาะสมต่อการให้ยาสลบและการผ่าตัดก่อน เช่น ให้น้ำเกลือ ให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม ให้ยาลดไข้หรือเช็ดตัวให้อุณหภูมิร่างกายลดลง ถ้าผู้ป่วยมีไข้สูง เป็นต้น) และภายหลังการผ่าตัดอาจต้องมีวิธีการดูแลรักษาแผลผ่าตัดเป็นพิเศษ แตกต่างจากไส้ติ่งอักเสบที่ยังไม่แตก และต้องให้ผู้ป่วยอยู่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่าปกติ
  4. ในรายที่ไส้ติ่งอักเสบมาแล้วหลายวันและกลายเป็นก้อนฝีรอบ ๆ ไส้ติ่ง แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมกว้างขวางไปก่อน (เพราะก้อนฝีอาจยังเละ ยุ่ย ไม่รวมตัวกันดี และการผ่าตัดเข้าไปรื้อค้นอาจทำให้ก้อนฝีฉีกขาดกระจัดกระจายได้) ถ้าผู้ป่วยตอบสนองดีต่อการรักษา เช่น อาการปวดท้องของผู้ป่วยดีขึ้น ก้อนฝีเล็กลง แพทย์จะให้การรักษาต่อโดยวิธีประคับประคอง และค่อยนัดผู้ป่วยมาผ่าตัดแบบไม่ฉุกเฉินในอีก 6-12 สัปดาห์ต่อมา แต่ถ้าการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีอาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดเลย (ถ้าพยาธิสภาพรุนแรงมาก อาจทำเพียงระบายหนอง แต่ถ้าพยาธิสภาพไม่รุนแรงและสามารถตัดไส้ติ่งออกได้ แพทย์ก็จะทำการผ่าตัดให้)
  5. ในรายที่มีอาการไม่ชัดเจนว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ อาการปวดหรือตรวจร่างกายยังไม่ชัดเจน แต่มีสิ่งที่ทำให้สงสัยได้ว่าเป็นโรคนี้ แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด โดยให้งดน้ำและอาหารและไม่ให้ยาปฏิชีวนะ ถ้าต่อมาผู้ป่วยมีอาการชัดเจนว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ แพทย์จะรีบทำการผ่าตัดไส้ติ่งทันที
ผ่าตัดไส้ติ่ง
IMAGE SOURCE : www.childrenshospital.org, www.medicalnewstoday.com

การผ่าตัดไส้ติ่ง

วิธีป้องกันไส้ติ่งอักเสบ

เนื่องจากยังบอกไม่ได้ชัดเจนว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดโรคนี้ จึงไม่อาจแนะนำวิธีป้องกันโรคไส้ติ่งอักเสบได้อย่าง 100% แต่มีการศึกษาที่พบว่า ภาวะท้องผูกมีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดไส้ติ่งอักเสบ โดยพบว่าผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบจะมีจำนวนครั้งในการถ่ายอุจจาระต่อสัปดาห์น้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ และยังพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งไส้ตรงมักจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบนำมาก่อน นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาหลายงานที่พบว่า การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำจะมีส่วนในการทำให้เกิดโรคไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ว่าการรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำจะทำให้มีช่วงเวลาในการบีบไล่อุจจาระนาน (พบว่าประชากรที่นิยมรับประทานอาหารพวกผักผลไม้มาก ๆ เช่น ชาวแอฟริกา จะมีอัตราการเป็นไส้ติ่งอักเสบน้อยกว่าประชากรในกลุ่มที่รับประทานผักผลไม้น้อย เช่น ชาวตะวันตก)

ดังนั้น วิธีที่อาจช่วยป้องกันโรคไส้ติ่งอักเสบได้คือ การพยายามรับประทานอาหารที่มีกากใยอย่างผักผลไม้ให้มาก ๆ ทุกวันเพื่อช่วยในการขับถ่าย (ป้องกันภาวะท้องผูก) และฝึกนิสัยให้มีเวลานั่งขับถ่ายเป็นประจำทุกวัน

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 525-527.
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 301 คอลัมน์ : สารานุกรมทันโรค.  “อาหารเป็นพิษ”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [26 ก.พ. 2017].
  3. หาหมอดอทคอม.  “ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)”.  (นพ.โอกาส ชาญเชาวน์กุล).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [26 ก.พ. 2017].
  4. Siamhealth.  “ไส้ติ่งอักเสบ (APPENDICITIS)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [26 ก.พ. 2017].
  5. MutualSelfcare.  “โรคไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : mutualselfcare.org.  [26 ก.พ. 2017].
  6. โรงพยาบาลพญาไท.  “ไส้ติ่ง “ติ่ง” อวัยวะ เจ็บเล็ก ๆ ที่อาจส่ออันตรายถึงชีวิต”.  (พญ.นรสรา วิทยาพิพัฒน์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.phyathai.com.  [27 ก.พ. 2017].
  7. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.  “ไส้ติ่งอักเสบ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : th.wikipedia.org.  [27 ก.พ. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ไส้ติ่งอักเสบ
  • 2 สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ
  • 3 อาการของไส้ติ่งอักเสบ
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของไส้ติ่งอักเสบ
  • 5 การวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ
  • 6 วิธีรักษาไส้ติ่งอักเสบ
  • 7 การผ่าตัดไส้ติ่ง
  • 8 วิธีป้องกันไส้ติ่งอักเสบ
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ