อหิวาตกโรค (Cholera) อาการ สาเหตุ การรักษาโรคอหิวาตกโรค 3 วิธี

อหิวาตกโรค

อหิวาตกโรค, โรคอหิวาต์, โรคอุจจาระร่วงอย่างแรง, โรคลงราก หรือโรคห่า (Cholera)* เป็นโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ “วิบริโอคอเลอเร” (Vibrio cholerae) ที่เชื้อสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องร่วงเป็นน้ำและอาเจียนเป็นหลัก ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและช็อกจนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตได้ในระยะเวลาสั้น ๆ

ในสมัยก่อนพบว่า การระบาดแต่ละครั้งจะมีผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นร้อยเป็นพันคน จึงมีชื่อเรียกกันมาแต่โบราณว่า “โรคห่า” แต่ในปัจจุบันโรคนี้ลดความรุนแรงลงและพบการระบาดน้อยลงแล้ว

โรคอหิวาต์เป็นโรคที่พบเกิดได้ในทุกอายุตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่จะพบได้ในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก (มักพบในคนอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป) ผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสเกิดโรคนี้ได้เท่ากัน สามารถพบได้ประปรายทุกเดือนตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดีและในหมู่คนที่รับประทานอาหารที่ไม่ได้ปรุงให้สุกหรือขาดสุขนิสัยที่ดี (โรคนี้มักเกิดในช่วงฤดูร้อน โดยเฉพาะหลังความแห้งแล้งไม่มีฝนตกเป็นเวลานาน และมักเกิดหลังจากงานเทศกาลหรืองานฉลองซึ่งมีคนจากที่ต่าง ๆ มารวมกันมาก)

โดยมีรายงานโรคนี้ตามจังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกและภาคใต้ และพบได้บ้างประปรายทางภาคเหนือและภาคอีสาน ส่วนในต่างประเทศโรคนี้จะพบได้บ่อยใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ แอฟริกา และลาตินอเมริกา ซึ่งมักพบระบาดในกลุ่มคนที่อยู่กันอย่างแออัดและตามค่ายอพยพ (สำหรับในประเทศที่พัฒนาแล้วจะพบโรคนี้ได้น้อยมาก โดยมักพบในผู้ที่เพิ่งกลับมาจากการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังไม่พัฒนา)
ในปี ค.ศ.2010 (พ.ศ.2553) มีผู้ป่วยอหิวาตกโรคทั่วโลกประมาณ 3-5 ล้านคน เสียชีวิตประมาณ 100,000-130,000 คนต่อปี ส่วนในประเทศไทยมีรายงานจากสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ.2555 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 18 กันยายน (ในปีเดียว) พบโรคนี้ที่วินิจฉัยได้แน่นอนคิดเป็น 0.05 รายต่อประชากร 1 แสนคน และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคนี้

หมายเหตุ :

สาเหตุของอหิวาตกโรค

หมายเหตุ : ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ประมาณ 75% จะไม่มีอาการแสดง (แต่จะเป็นพาหะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้) ส่วนอีก 20% จะมีอาการอุจจาระร่วงไม่รุนแรง (ทำให้อาจแยกไม่ได้จากอุจจาระร่วงที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ) และจะมีเพียง 2-5% ที่มีอาการอุจจาระร่วงรุนแรง ถ่ายเป็นน้ำเฉียบพลันจำนวนมาก อาเจียน มักไม่ปวดท้อง (แต่อาจเจ็บบริเวณหน้าท้องเพราะเป็นตะคริวที่กล้ามเนื้อหน้าท้อง) และไม่มีไข้ (ยกเว้นในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี อาจมีไข้จากภาวะขาดน้ำได้)

อาการของอหิวาตกโรค

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยจะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเล็กน้อย ถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำวันละหลายครั้ง (คล้ายโรคท้องเสียทั่วไปหรืออาหารเป็นพิษ) แต่จำนวนอุจจาระจะไม่เกินวันละ 1 ลิตร และมักจะหายได้เองภายใน 1-3 วัน หรืออย่างช้า 5 วัน

ส่วนในรายที่เป็นมากมักจะมีอาการถ่ายเป็นน้ำรุนแรงโดยไม่มีอาการปวดท้อง (มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีอาการปวดบิดในท้อง) โดยอุจจาระมักจะไหลพุ่ง (บางครั้งจะไหลพุ่งออกมาเองโดยไม่รู้ตัว) และผู้ป่วยแทบทุกรายมักจะมีอาการอาเจียนตามมาร่วมด้วย โดยที่ไม่มีอาการคลื่นไส้นำมาก่อน (มีเพียงส่วนน้อยที่อาจจะมีอาการคลื่นไส้) ในระยะแรกอุจจาระจะมีเนื้อปน ลักษณะเป็นน้ำสีเหลือง แต่ต่อมาจะกลายเป็นน้ำล้วน ๆ บางรายอุจจาระอาจมีสีเหมือนน้ำซาวข้าวเพราะว่ามีมูกมาก ไม่มีกลิ่นอุจจาระ แต่จะมีกลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลาเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจถ่ายวันละหลาย ๆ ครั้งถึงหลายสิบครั้ง หรือไหลพุ่งตลอดเวลา ส่วนอาการอาเจียนนั้น แรกเริ่มจะออกเป็นเศษอาหาร แต่ต่อมาจะออกเป็นน้ำและน้ำซาวข้าว

หากเป็นรุนแรงมาก ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกปริมาณอุจจาระในผู้ป่วยผู้ใหญ่อาจออกมากกว่า 1 ลิตร/ชั่วโมง (ส่วนปริมาณในผู้ป่วยเด็กประมาณ 120-240 มิลลิลิตร/กิโลกรัม/วัน) ถ้าได้รับน้ำและเกลือแร่ชดเชยอย่างเพียงพอจะหยุดเองใน 1-6 วัน แต่ถ้าได้รับน้ำและเกลือแร่ชดเชยไม่ทันกับที่เสียไป ผู้ป่วยจะเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงและช็อกอย่างรวดเร็วภายใน 4-18 ชั่วโมง (อาการแรกเริ่มเมื่อขาดน้ำ ผู้ป่วยจะมีอาการกระหายน้ำมาก ปากคอแห้ง ปัสสาวะน้อยเป็นสีเหลืองเข้มหรือไม่มีเลย ชีพจรเต้นเร็ว กระสับกระส่ายหรือซึม ถ้าช็อกมากผู้ป่วยจะไม่รู้สึก) หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีผู้ป่วยก็มักจะเสียชีวิตภายในระยะเวลาสั้น ๆ

อาการโรคอหิวาตกโรค
IMAGE SOURCE : www.npr.org

ภาวะแทรกซ้อนของอหิวาตกโรค

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของโรคนี้ ได้แก่ ภาวะขาดน้ำและช็อก ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันตามมา ทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่ เกิดอาการตะคริว ภาวะเลือดเป็นกรด และภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงอื่น ๆ

ภาวะแทรกซ้อนส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะกรดด่างและสารน้ำในเลือดอย่างรวดเร็วในขณะที่เกิดอาการและการรักษา ที่พบได้บ่อย ๆ คือ

การวินิจฉัยอหิวาตกโรค

แพทย์สามารถวินิจฉัยอหิวาตกโรคได้จากประวัติอาการ ประวัติการสัมผัสโรค ลักษณะของอุจจาระ การตรวจอุจจาระ และการเพาะเชื้อจากอุจจาระ (การตรวจยืนยันด้วยการเพาะเชื้อจากอุจจาระจะได้ผลแน่นอนที่สุด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน แต่อาจเพียงช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคได้เท่านั้น เพราะอาการของผู้ป่วยอาจหายก่อน) ในผู้ป่วยที่มีอาการถ่ายเป็นน้ำพุ่งไหลไม่หยุดที่อยู่ในถิ่นที่มีการระบาดแพทย์จะสงสัยว่าเป็นอหิวาตกโรคไว้ก่อน (เพื่อจะได้รักษาได้ทันท่วงที) และจะให้การรักษาโดยการให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ (ORS) หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดทันทีถ้าไม่ได้ผลหรือได้ผลเร็วไม่เพียงพอหรือผู้ป่วยดื่มไม่ได้

สำหรับการตรวจร่างกายจะพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีไข้ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีไข้ต่ำ ไม่มีอาการปวดท้อง และมักตรวจพบภาวะขาดน้ำตั้งแต่ขนาดเล็กน้อยถึงรุนแรง ส่วนในรายที่เป็นรุนแรงจะพบภาวะช็อก (เหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ) หายใจเร็วจากภาวะเลือดเป็นกรด ส่วนในผู้ป่วยเด็กอาจพบว่ามีไข้ ชัก ซึม หรือหมดสติ

วิธีรักษาอหิวาตกโรค

ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีภาวะขาดน้ำรุนแรง และยังรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำได้ดี

แพทย์จะให้การรักษาแบบอาการท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษทั่วไป คือ การให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ (ORS) ทดแทนให้ได้เท่ากับปริมาณที่ถ่ายออกมาในแต่ละครั้ง (ซึ่งอาจต้องถึง 1 ลิตรต่อชั่วโมง) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ แล้วเก็บอุจจาระส่งเพาะเชื้อ เมื่อทราบผลการตรวจว่าเป็นโรคนี้ (หรือในรายที่แพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคนี้ เช่น เป็นผู้สัมผัสผู้ป่วยที่เป็นอหิวาตกโรค หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค) แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้ออหิวาตกโรคในลำไส้เล็ก (ตามข้อ 2) ซึ่งจะช่วยลดระยะของโรคให้สั้นลง ลดการสูญเสียน้ำ ตลอดจนลดระยะของการแพร่เชื้อลงได้

ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ถ่ายเป็นน้ำรุนแรง อาเจียนรุนแรง รับประทานอาหารไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง การรักษาจะต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำโดยเร็ว ซึ่งแพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

คำแนะนำและข้อควรรู้เกี่ยวกับอหิวาตกโรค

วิธีป้องกันอหิวาตกโรค

การป้องกันโรคติดเชื้อในทางเดินอาหารที่ดีที่สุดคือการสร้างสุขนิสัยส่วนตัวให้ดี ดังนี้

  1. รักษาสุขอนามัยพื้นฐานโดยการปฏิบัติตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติให้ดี เพื่อช่วยลดโอกาสการติดเชื้อต่าง ๆ
  2. ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกหรือได้รับการฆ่าเชื้อแล้ว และน้ำนมสัตว์ที่ดื่มจะต้องผ่านกรรมวิธีการฆ่าเชื้อหรือพาสเจอไรซ์ก่อน หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำคลองหรือดื่มน้ำบ่อแบบดิบ ๆ และไม่กินน้ำแข็งหรือไอศกรีมที่เตรียมไม่สะอาด
  3. ระวังไม่ให้น้ำเข้าปากเมื่อลงเล่นหรืออาบน้ำในลำคลอง
  4. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ในขณะยังร้อน และไม่มีแมลงวันตอม (อาหารที่ปรุงสุกแล้วควรมีฝาชีครอบ) และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ (โดยเฉพาะอาหารทะเล) และอาหารที่ปรุงทิ้งไว้นาน ๆ หรือมีแมลงวันตอม
  5. ควบคุมแมลงวันโดยการใช้มุ้งลวด ใช้กับดัก หรือพ่นยาฆ่าแมลง และควบคุมการขยายพันธุ์ของแมลงวันซึ่งเป็นพาหะของโรคด้วยการเก็บและทำลายภาชนะด้วยวิธีที่เหมาะสม
  6. ล้างผักผลไม้ให้สะอาดเสมอ ส่วนภาชนะที่ใส่อาหารก็ควรล้างให้สะอาดทุกครั้งก่อนใช้
  7. ตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาดก่อนเตรียมอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
  8. หลีกเลี่ยงการประกอบอาหารในระหว่างที่กำลังมีอาการท้องเสีย
  9. ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ จัดสร้างส้วมให้ถูกหลักสุขาภิบาล และห้ามถ่ายหรือเทอุจจาระ ปัสสาวะ และสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำลำคลอง หรือเททิ้งเรี่ยราดตามพื้นดิน เพื่อป้องกันการแพร่ของเชื้อโรค
  10. หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยที่เป็นโรคอหิวาตกโรค แต่ถ้ามีผู้ป่วยเป็นอหิวาตกโรคในบ้าน ทุกคนในบ้านจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าว ที่สำคัญคือ
    • รักษาสุขอนามัยพื้นฐานตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติอย่างเคร่งครัดเป็นกรณีพิเศษ
    • ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาดบ่อย ๆ ก่อนเตรียมอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังการดูแลผู้ป่วย
    • ดื่มแต่น้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุก อาหารทุกชนิดต้องปรุงสุกใหม่ และบริโภคทันทีหลังปรุงเสร็จ ไม่ทิ้งค้าง
    • ควรนำอุจจาระและสิ่งที่ผู้ป่วยอาเจียนออกมาไปเทใส่ส้วมหรือฝังลงดินให้มิดชิด (ที่ฝังจะต้องห่างจากแหล่งน้ำดื่ม) อย่าเทลงตามพื้นหรือเทลงแม่น้ำลำคลอง หรือนำไปทำลายด้วยการใส่น้ำยาฆ่าเชื้อคลอรีนหรือตามคำแนะนำของแพทย์หรือพยาบาล
    • เสื้อผ้าและของใช้ต่าง ๆ ของผู้ป่วยที่แปดเปื้อนเชื้อ ต้องนำไปซักล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อคลอรีนหรือน้ำต้มเดือด (ห้ามนำไปซักในแม่น้ำลำคลอง) ส่วนพื้นและห้องนอนของผู้ป่วยก็ควรทำความสะอาดด้วยเช่นกัน
  11. สำหรับผู้ที่สัมผัสโรคจะต้องรับประทานยาที่แพทย์ให้จนครบ และห้ามออกนอกบ้าน เพื่อเฝ้าสังเกตอาการอย่างน้อย 5 วัน
  12. ในปัจจุบันไม่แนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะแก่ชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เนื่องจากไม่ได้ผลและอาจทำให้เชื้อดื้อยาได้ แต่แพทย์อาจพิจารณาให้ในกลุ่มคนขนาดเล็ก เช่น ในบ้าน ในเรือนจำ หรือในชุมชนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกิน 20%
  13. ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคชนิดใหม่ โดยเป็นวัคซีนชนิดกิน (Oral cholera vaccine) ที่ต้องกิน อย่างน้อย 2-3 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งให้กินห่างกันประมาณ 1 สัปดาห์ และจะมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นเพียงพอ และได้ผลดีประมาณ 1 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนครบ และต้องได้รับวัคซีนกระตุ้นทุก 6 เดือน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับอายุ ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้ใช้ในประเทศที่มีการระบาดของโรคเป็นประจำโดยเฉพาะในคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง (เช่น เด็ก ผู้ป่วยเอดส์) และในผู้ที่ต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคหรือมีการระบาดของโรคนี้เป็นประจำ ส่วนในประเทศไทยการใช้วัคซีนตัวนี้จะขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ ดังนั้น ผู้ที่สนใจควรปรึกษาแพทย์
วัคซีนอหิวาตกโรค
IMAGE SOURCE : www.npr.org
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “อหิวาต์ (Cholera)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 492-496.
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 284 คอลัมน์ : เวชปฏิบัติปริทัศน์.  “อหิวาตกโรค”.  (ศ.พญ.วันดี วราวิทย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [28 ก.พ. 2017].
  3. หาหมอดอทคอม.  “อหิวาตกโรค (Cholera)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [28 ก.พ. 2017].
  4. แผนกพยาบาลอายุรศาสตร์และจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “อหิวาตกโรค”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [01 มี.ค. 2017].
  5. สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค.  “Cholera”.  (เสาวพักตร์ เหล่าศิริถาวร, ธีรศักดิ์ ชักนำ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.boe.moph.go.th.  [02 มี.ค. 2017].
  6. ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ.  “อหิวาตกโรค (cholera)”.  (นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhealth.com.  [03 มี.ค. 2017].
  7. MutualSelfcare.  “อหิวาตกโรค (Cholera)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : mutualselfcare.org.  [03 มี.ค. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 อหิวาตกโรค
  • 2 สาเหตุของอหิวาตกโรค
  • 3 อาการของอหิวาตกโรค
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของอหิวาตกโรค
  • 5 การวินิจฉัยอหิวาตกโรค
  • 6 วิธีรักษาอหิวาตกโรค
  • 7 คำแนะนำและข้อควรรู้เกี่ยวกับอหิวาตกโรค
  • 8 วิธีป้องกันอหิวาตกโรค
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ