อย่าสักแต่ว่า “สัก” (ตอนที่ 3 และตอนจบ)

11 สิงหาคม 2015

สำหรับการลบรอยสัก อาจทำได้ด้วยวิธีการ

• การใช้เลเซอร์ (Laser treatments) เพื่อทำให้รอยสักเบาบางลง เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลกว่าวิธีอื่น แต่อาจต้องใช้เวลาทำหลายครั้งนานเป็นสัปดาห์หรือเดือน บางคนอาจใช้วิธีทำให้แผลเป็นสีขาวแทน (Hypopigmentation)

อย่างไรก็ดีมีบางกรณีที่มีรายงานว่า เลเซอร์อาจทำปฏิกริยากับสีที่สักไว้ทำให้เกิดอาการแพ้ได้

• ศัลยกรรมขัดผิวหนังเพื่อกำจัดแผลเป็น (Dermabrasion) เป็นการขัดชั้นของผิวหนังด้วยแปรงลวด (Wire brush) หรือกระดาษทราย (Diamond fraise)
• การใช้วิธี Salabrasion โดยการใช้น้ำเกลือ (Salt solution) ลบรอยสัก บางทีก็มีการใช้วิธีนี้ควบคู่กับวิธี Dermabrasion
• การใช้วิธี Scarification โดยใช้น้ำกรด (Acid solution) ทำให้เกิดแผลเป็นแทน
• การผ่าตัดผิวบริเวณรอยสักออกไป หากเป็นรอยสักขนาดใหญ่อาจต้องใช้การผ่าตัดหลายครั้ง
• การพรางตา (Camouflaging) ด้วยการฉีดสีใหม่เข้าไปกลบสีเดิม โดยใช้สีที่คล้ายกับผิวสีเดิม (Skin-toned pigments) แต่อาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติ

ดังนั้น ก่อนทำการสักจึงควรคิดให้รอบคอบ และเลือกบริเวณที่ต้องการสักว่าต้องการให้มองเห็น หรืออยู่เพียงในร่มผ้า ทั้งนี้ความอ้วนและการตั้งครรภ์ก็อาจทำให้ลายสักที่ทำไปผิดเพี้ยนไปได้เช่นกัน

และหากต้องการสักจริง ก่อนการสักก็ควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้ด้วย

• เลือกคนสัก (Tattoo artist) ที่มีประสบการณ์
• คนสักสวมถุงมือหรือไม่
• คนสักใช้อุปกรณ์ที่ใช้แล้วทิ้ง (Disposable equipment) อันใหม่หรือไม่ เช่น เข็ม ฯลฯ หรือกรณีเป็นเครื่องมือถาวรได้ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วหรือยัง

นอกจากนี้หลังการสักควรดูแลตัวเองดังนี้

• เปิดผ้าปิดแผลหลังการสัก 24 ชั่วโมง
• กรณีทำความสะอาด ให้ใช้น้ำและสบู่ตบเพียงเบาๆ ไม่ต้องถู และเช็ดให้แห้ง
• ใช้ครีมหรือโลชั่นสำหรับทาให้ความชุ่มชื้นกับผิว (Moisturizer) วันละหลายครั้ง
• หลีกเลี่ยงแสงแดดบริเวณที่สักอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
• หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ
• เลือกใส่เสื้อผ้าที่สบาย ไม่ทำให้ติดผิวบริเวณที่สัก

แหล่งข้อมูล

1. Tattoos, What You Need to Know. [2015, August 10].
2. Tattoos: Understand risks and precautions. [2015, August 1].
3. Tattoo medical issues. [2015, August 10].