หูดหงอนไก่ อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคหูดหงอนไก่ 10 วิธี

โรคหูดหงอนไก่

หูดหงอนไก่ (Genital warts, Condyloma acuminata) คือ หูดที่พบขึ้นบ่อยบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี หรือ “ฮิวแมน แปปิโลมา ไวรัส” (Human Papilloma Virus – HPV) โดยจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนใหญ่จะพบได้ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ คือ ในช่วงอายุ 17-33 ปี ทั้งหญิงและชาย แต่ส่วนใหญ่จะพบได้ในผู้หญิงมากกว่า ในบางครั้งอาจเรียกโรคนี้ว่า “หงอนไก่“, “หูดอวัยวะเพศ” หรือ “หูดกามโรค[3],[2]

จากการเก็บข้อมูลในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยรายใหม่ที่เป็นหูดหงอนไก่ที่มาทำการรักษาคิดเป็นประมาณ 1% ของจำนวนประชากรทั้งหมด[2]

สาเหตุของหูดหงอนไก่

อาการของหูดหงอนไก่

หูดหงอนไก่ผู้ชาย

โรคหงอนไก่

การวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากการดูลักษณะของรอยโรคเฉพาะที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า หรืออาจตรวจยืนยันได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยาจากชิ้นเนื้อตรงรอยโรค เนื่องจากรอยโรคที่มีหลากหลายของหูดหงอนไก่อาจทำให้เกิดความสับสนกับโรคอื่น ๆ ได้ เช่น หูดข้าวสุก ไฝ โรคผิวหนังบางชนิด ผื่นของโรคซิฟิลิสระยะที่ 2 ไปจนถึงลักษณะที่ผิดปกติของอวัยวะเพศของบางคนที่มีติ่งยื่นออกมาคล้ายหูดหงอนไก่

ในกรณีที่แพทย์ยืนยันว่าเป็นหูดหงอนไก่จริง ผู้ป่วยควรตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ด้วยเสมอ เช่น โรคซิฟิลิส โรคเอดส์ หนองใน พยาธิในช่องคลอด ฯลฯ เพราะมักพบเกิดร่วมกันได้ (การติดเชื้อเหล่านี้ร่วมด้วยจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะแสบ มีตกขาว คัน หรือมีแผลที่อวัยวะเพศเพิ่มขึ้น) นอกจากนี้แพทย์ยังอาจมีการตรวจเพิ่มเติมหรือตรวจสืบค้นด้วยวิธีอื่น ๆ ตามแต่กรณีหากสงสัยว่ามีหูดหงอนไก่ในบริเวณที่พบได้บ่อย เช่น การใช้กล้องส่องตรวจดูช่องคอหรือที่ทวารหนัก เป็นต้น ส่วนในกรณีที่ยังไม่มีรอยโรคหรือยังไม่เห็นเป็นก้อนหูด แพทย์จะยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้

วิธีรักษาหูดหงอนไก่

ด้วยโครงสร้างของเชื้อเอชพีวี (HPV) ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่ทำให้เชื้อนั้นไม่สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงของสิ่งแวดล้อมที่เชื้ออาศัยอยู่ได้ แพทย์จึงสามารถกำจัดเชื้อนี้ได้ด้วยการใช้ความร้อนจัด ความเย็นจัด หรือใช้ยาเคมีบำบัดบางชนิด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหูดที่มีขนาดเล็กย่อมรักษาได้ง่ายกว่า โดยพบว่าถ้าหูดมีขนาดเล็กกว่า 1 ตารางเซนติเมตรก็มักจะรักษาด้วยยาได้สำเร็จ แต่ถ้าหูดมีขนาดใหญ่กว่านั้นก็อาจจะต้องเลือกใช้วิธีอื่นในการรักษาแทน

ส่วนประสิทธิภาพในการรักษาแต่ละวิธีก็แตกต่างกันไปและทุกวิธีก็มีโอกาสเกิดซ้ำขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกหลังสิ้นสุดการรักษา เพราะพบว่ามีผู้ป่วยมากกว่า 50-70% ที่ได้รับการรักษาจนหายแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีกภายหลังหนึ่งปี ทั้งมาจากการติดเชื้อซ้ำใหม่หรือจากการกลับมาเป็นซ้ำจากเชื้อเดิมที่ยังคงเหลืออยู่ในบริเวณเดิม แต่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงไม่ได้รับการรักษาให้หมดไปจากการรักษาในครั้งแรก และโดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ซึ่งจะดื้อต่อการรักษาและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูง[2],[4]

เป้าหมายในการรักษาโรคหูดหงอนไก่ คือ เพื่อความสวยงาม เพื่อบรรเทาอาการ และลดความกังวลใจของผู้ป่วย ส่วนวิธีในการรักษาก็มีอยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบการใช้ยาหรือการใช้อุปกรณ์เพื่อกำจัดหูดออกไป แพทย์เป็นผู้ทำให้หรือให้ผู้ป่วยทำเอง หากสงสัยว่าตนเองเป็นหูดหงอนไก่ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและเพื่อตรวจแยกโรคนี้ออกจากโรคอื่น ถ้าพบว่าเป็นหูดหงอนไก่จริง แพทย์อาจให้การรักษาโดยใช้วิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้*

สำหรับการจะใช้วิธีรักษาใดนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ อาการของโรค (ขนาดและจำนวนของหูดหงอนไก่), ตำแหน่งที่เป็น, ภาวะตั้งครรภ์, ค่าใช้จ่ายในการรักษา, ผลข้างเคียงของการรักษา, การเดินทางของผู้ป่วย, ประสบการณ์ของแพทย์ และดุลยพินิจของแพทย์ (ตัวอย่างเช่น หากผู้ป่วยเป็นหูดชนิดราบที่อวัยวะเพศ ในครั้งแรกแพทย์อาจทดลองรักษาด้วยการทาครีมอิมิควิโมดก่อน หากพบว่ากลับมาเป็นซ้ำอีก แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนวิธีการรักษาไปใช้วิธีการจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy) หากผู้ป่วยเป็นหูดหงอนไก่ที่เกิดขึ้นบริเวณเยื่อเมือกของอวัยวะเพศ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยยาทาโพโดฟิลลิน (Podophyllin) เนื่องจากมีการตอบสนองต่อการรักษาได้ดี แต่หากผู้ป่วยเป็นหูดหงอนไก่ที่มีขนาดใหญ่ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยวิธีการจี้ไฟฟ้า (Electrocauterization) หรือจี้ด้วยเลเซอร์ (Laser ablation) ก่อน เป็นอันดับแรก และสำหรับผู้ป่วยที่เป็นหูดหงอนไก่ที่ดื้อต่อการรักษาหรือเป็นซ้ำในตำแหน่งเดิมหลายครั้ง อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดต่อไป เป็นต้น)

หมายเหตุ : การรักษาหูดหงอนไก่ทุกวิธีที่กล่าวมาจะต้องรักษาโดยแพทย์เท่านั้น ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยามารักษาเอง (ยกเว้นครีมอิมิควิโมดและโพโดฟิลอกซ์ที่ได้จากแพทย์) เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เกิดแผลต่อเนื้อเยื่อปกติรอบ ๆ รอยโรคอย่างรุนแรงได้ และก่อนทายาทุกครั้ง ผู้ป่วยควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเสมอ เพราะหลังจากทาแล้วไม่ควรให้รอยทายาถูกน้ำอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง

ผลข้างเคียงของโรคหูดหงอนไก่

หูดหงอนไก่ในปาก

วิธีป้องกันหูดหงอนไก่

ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถช่วยป้องกันและรักษาหูดหงอนไก่ได้อย่าง 100% (เนื่องจากหูดชนิดนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก คือ ติดต่อได้จากผิวหนังสู่ผิวหนัง) แต่เราสามารถลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อเอชพีวีได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  1. มีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับคู่นอนของตน และไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ เพราะจะยิ่งมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้น
  2. หากต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) แม้การใช้ถุงยางอนามัยอาจไม่สามารถป้องกันหูดหงอนไก่ได้ 100% แต่ก็เป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี (สาเหตุที่ถุงยางอนามัยอาจป้องกันหูดหงอนไก่ได้ไม่เต็มที่ นั่นเป็นเพราะว่าเชื้อเอชพีวีมักจะกระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งอาจเป็นบริเวณที่ถุงยางอนามัยครอบคลุมไม่ถึงนั่นเอง)
  3. เมื่อพบรอยโรคต้องสงสัยหรือความผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นหูดหงอนไก่ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาให้หายก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคไปสู่บริเวณเนื้อเยื่อเมือกอื่น ๆ หรือการติดต่อสู่ผู้อื่น
  4. ในปัจจุบันได้มีการผลิตวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV 4 สายพันธุ์สำคัญออกมาในเข็มเดียวกัน คือ HPV 6, 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่ 90% และ HVP 16,18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกประมาณ 70% วัคซีนนี้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ย่อย 6, 11, 16, 18 ได้ประมาณ 99% หากฉีดก่อนการติดเชื้อ ดังนั้น จึงแนะนำให้ฉีดได้ทั้งในเด็กหญิงและเด็กชายที่มีอายุระหว่าง 11-12 ปี สำหรับการป้องกันหูดหงอนไก่ หลังจากฉีดวัคซีนแล้วก็ยังแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยต่อไปและมีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับคู่นอนของตน เนื่องจากวัคซีน HPV 6, 11 นั้น สามารถป้องกันโรคนี้ได้ 90% ของผู้ติดเชื้อเฉพาะที่เกิดจาก HPV 6, 11 เท่านั้น (ส่วนการป้องกันมะเร็งปากมดลูกจาก HPV 16, 18 นั้น แม้ว่าจะฉีดวัคซีนทำให้มีภูมิคุ้มกันไปแล้ว แต่ก็ควรไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำด้วย เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกมีอยู่หลายชนิด และอาจไม่ได้เกิดจาก HPV 16, 18 เพียงอย่างเดียว)

ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเอชพีวี

จากข้อมูลที่มีการใช้วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์หลักทั่วโลก มีรายงานผลข้างเคียงที่ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรงและพบได้น้อยมาก ๆ โดยจากการฉีดวัคซีน 100,000 เข็ม พบว่าจะมีคนเป็นลม 8.2 ราย, มีอาการบวมแดงในตำแหน่งที่ฉีดยา 7.5 ราย, วิงเวียนศีรษะ 6.8 ราย, คลื่นไส้ 5 ราย, ปวดศีรษะ 4.1 ราย, มีปฏิกิริยาไวต่อยา 3.1 ราย และเกิดผื่นลมพิษ 2.6 ราย

สรุป หูดหงอนไก่แม้เป็นโรคที่ไม่ได้ทำให้ใครเสียชีวิต แต่ก็เป็นโรคที่ทำลายความมั่นใจในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก รวมทั้งผู้ป่วยต้องเสียเงินและเสียเวลาในการรักษามากมาย แม้การรักษาจะทำได้ไม่ยากแต่ก็มักไม่หายขาด เพราะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกประมาณ 30-70% หลังจากหยุดการรักษาไปแล้ว 6 เดือน แต่ในปัจจุบันมีวิธีการป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพดี ตั้งแต่ยังไม่เคยได้รับเชื้อมาก่อนโดยการฉีดวัคซีนไวรัสเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์หลัก[4]

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “หูดหงอนไก่ (Genital warts/Condyloma acuminata)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 979-980.
  2. หาหมอดอทคอม.  “หูดหงอนไก่ หูดอวัยวะเพศ (Condyloma acuminata)”.  (พญ.ชลธิรศน์ ศรีเกษตรสรากุล).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [17 มี.ค. 2016].
  3. ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.  “คู่มือเรื่องโรคหูดหงอนไก่”.  (ชนากานต์ เกิดกลิ่นหอม, เพียงเพ็ญ ธัญญะตุลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [18 มี.ค. 2016].
  4. ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.  “หูดหงอนไก่…ไม่ถึงตายแต่ทำลายความมั่นใจ”.  (อ.พญ.เจนจิต  ฉายะจินดา).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [19 มี.ค. 2016].

ภาพประกอบ : tamilculture.com, herd-it.org, www.aafp.org, enbac.com (by khanh) treat-genital-warts.com, www.massgeneral.org

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคหูดหงอนไก่
  • 2 สาเหตุของหูดหงอนไก่
  • 3 อาการของหูดหงอนไก่
  • 4 การวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่
  • 5 วิธีรักษาหูดหงอนไก่
  • 6 ผลข้างเคียงของโรคหูดหงอนไก่
  • 7 วิธีป้องกันหูดหงอนไก่
  • 8 ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเอชพีวี
  • 9 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
  • 10 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ