หัดเยอรมัน อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคหัดเยอรมัน 10 วิธี

โรคหัดเยอรมัน

หัดเยอรมันเหือด หรือ หัดสามวัน (German measles/เจอร์มันมีเซิลส์, Rubella/รูเบลลา หรือ Three-day measles/ทรีเดย์มีเซิลส์) เป็นโรคไข้ออกผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหัดเยอรมัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้และออกผื่นคล้ายโรคหัด แต่จะมีความรุนแรงและโรคแทรกซ้อนน้อยกว่าหัด โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรง ถ้าเป็นกับเด็กหรือผู้ใหญ่ทั่วไป มักจะหายได้เองโดยไม่มีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่ถ้าเกิดในหญิงตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เชื้ออาจแพร่กระจายเข้าทารกในครรภ์ ทำให้ทารกพิการ แท้ง หรือตายในครรภ์ได้ และโรคนี้เมื่อเป็นแล้วผู้ป่วยมักจะมีภูมิคุ้มกันไปจนตลอดชีวิต จะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก

หัดเยอรมัน* เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบอัตราป่วยสูงสุดในช่วงอายุ 15-24 ปี สามารถพบโรคนี้ได้บ้างประปรายตลอดทั้งปี (พบบ่อยขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน) แต่พบการระบาดได้น้อยกว่าโรคหัดและอีสุกอีใส โดยอาจติดต่อกันในหมู่คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยตามบ้าน โรงเรียน โรงงาน ที่ทำงาน

หมายเหตุ : คำว่า “รูเบลลา” (Rubella) มาจากภาษาละตินที่แปลว่า “จุดแดงเล็ก ๆ” และเนื่องจากแพทย์ชาวเยอรมันเป็นผู้ให้คำอธิบายว่าโรคนี้เป็นโรคใหม่ที่ต่างจากโรคหัดไว้เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1814 จึงเรียกโรคนี้ว่า “โรคหัดเยอรมัน” ส่วนในบ้านเราจะเรียกโรคนี้กันในอีกชื่อหนึ่งว่า “โรคเหือด

สาเหตุของโรคหัดเยอรมัน

สาเหตุ : เกิดจากเชื้อหัดเยอรมัน ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า “รูเบลลา” (Rubella) หรือที่เรียกว่า “รูเบลลาไวรัส” (Rubella virus) ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลโทกาวิริดี (Togaviridae) โดยเชื้อจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย เชื้อหัดเยอรมันนี้ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมภายนอกจะถูกทำลายได้ง่ายด้วยน้ำยาแอลกอฮอล์ 70% (ที่ใช้สำหรับทำความสะอาดแผล) ฟอร์มาลิน อะซีโตน คลอรีน แสงแดดหรือยูวี ความร้อนตั้งแต่ 56 องศาเซลเซียสขึ้นไป และความเย็นที่ -10 ถึง -20 องศาเซลเซียส

การติดต่อ : สามารถติดต่อได้โดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้ออาจติดอยู่ที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ (เช่น แก้วน้ำ จาน ชาม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หนังสือ โทรศัพท์ ของเล่น เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อม เมื่อคนปกติมาสัมผัสถูกมือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อ เชื้อก็จะติดมากับมือของคน ๆ นั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อหัดเยอรมันก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ (การสัมผัสผื่นที่ผิวหนังของผู้ป่วยไม่ได้ติดโรคได้ และในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่องจะไม่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหัดเยอรมันง่ายกว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติแต่อย่างใด ซึ่งต่างจากโรคหัดที่ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มต้านทานโรคบกพร่องจะมีโอกาสติดโรคหัดได้ง่ายกว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ)เชื้อหัดเยอรมัน

กลไกการเกิดโรค : เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อหัดเยอรมันเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจแล้ว เชื้อนี้จะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดเป็นครั้งแรกแล้วไปสู่ระบบน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลือง (ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโต) ตับ และม้าม ก่อนที่จะเพิ่มจำนวนเชื้อแล้วกระจายเข้าสู่กระแสเลือดเป็นครั้งที่สอง ทำให้เกิดอาการที่ระบบต่าง ๆ ได้แตกต่างกันไป และสามารถตรวจพบเชื้อในระบบต่าง ๆ ได้ เช่น ในเลือด ปัสสาวะ และน้ำไขสันหลัง

ระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนแสดงอาการ) : ประมาณ 12-24 วัน[1],[2],[3] โดยเฉลี่ยประมาณ 16-18 วัน

ระยะติดต่อ : คือระยะเวลาตั้งแต่ 5 วันก่อนผื่นขึ้นจนกระทั่ง 6 วันหลังจากผื่นเริ่มขึ้น[1] ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า ระยะติดต่อคือช่วง 7 วันก่อนและหลังผื่นเริ่มขึ้น[2] และอีกข้อมูลระบุว่า ผู้ป่วยจะมีเชื้อไวรัสนี้อยู่ในลำคอและแพร่เชื้อได้ในระยะ 3-8 วันหลังจากได้รับเชื้อไปจนถึงระยะหลังจากที่ผื่นเริ่มขึ้นแล้วประมาณ 6-14 วัน[3] โรคนี้มักพบการระบาดในโรงเรียน โรงงาน ที่ทำงาน และช่วงที่มักจะเกิดโรคคือ ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน

อาการของโรคหัดเยอรมัน

อาการของโรคหัดเยอรมัน สามารถแบ่งออกได้เป็น

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดเยอรมัน

โดยทั่วไปภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัดเยอรมันพบได้น้อยมาก และแทบไม่เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามอาการแทรกซ้อนอาจพบได้ คือ

โรคหัดเยอรมันแต่กำเนิด

การวินิจฉัยโรคหัดเยอรมัน

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากอาการที่แสดงและการตรวจร่างกาย ได้แก่ ตรวจดูลักษณะของผื่นที่ขึ้นและการตรวจพบต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังหู หลังคอ ท้ายทอย และข้างคอทั้ง 2 ข้าง ส่วนในรายที่จำเป็นต้องวินิจฉัยโรคให้แน่ชัด แพทย์ก็จะทำการทดสอบทางน้ำเหลืองเพื่อตรวจหาระดับสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อหัดเยอรมัน หรือโดยการเพาะเชื้อจากจมูกและคอหอยของผู้ป่วย ดังนี้

สิ่งที่ตรวจพบในผู้ป่วยหัดเยอรมัน

การแยกโรค

ในระยะแรกเริ่มขณะที่มีอาการไข้ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ อาการจะดูคล้ายโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมักจะมีไข้สูงหรือปวดเมื่อยตามตัว แต่จะไม่มีผื่นขึ้นที่ตัวตามมา แต่ในระยะที่มีผื่นขึ้นตามมา ควรแยกออกจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น

วิธีการรักษาโรคหัดเยอรมัน

สมุนไพรแก้โรคหัดเยอรมัน

วิธีป้องกันโรคหัดเยอรมัน

วัคซีนหัดเยอรมัน

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “หัดเยอรมัน/เหือด (German measles/Rubella)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 400-402.
  2. Siamhealth.  “โรคหัดเยอรมัน Rubella”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [26 ก.ค. 2016].
  3. หาหมอดอทคอม.  “โรคหัดเยอรมัน (German measles)”.  (พญ.สลิล ศิริอุดมภาส).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [27 ก.ค. 2016].
  4. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 322 คอลัมน์ : สารานุกรมทันโรค.  “หัดเยอรมัน”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [27 ก.ค. 2016].

ภาพประกอบ : www.nhs.uk, www.wikipedia.org (by Dr.Erskine Palmer, CDC), illnessee.com, www.skinsight.com, www.webmd.com, www.news.iastate.edu

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคหัดเยอรมัน
  • 2 สาเหตุของโรคหัดเยอรมัน
  • 3 อาการของโรคหัดเยอรมัน
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดเยอรมัน
  • 5 การวินิจฉัยโรคหัดเยอรมัน
  • 6 สิ่งที่ตรวจพบในผู้ป่วยหัดเยอรมัน
  • 7 การแยกโรค
  • 8 วิธีการรักษาโรคหัดเยอรมัน
  • 9 วิธีป้องกันโรคหัดเยอรมัน
  • 10 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
  • 11 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ