สาระน่ารู้จากหมอตา ตอน ปวดตา ปวดศีรษะ (Eye pain and headache)

30 กรกฎาคม 2015
สาระน่ารู้จากหมอตา

อาการปวดศีรษะ เป็นที่ทราบกันดีที่ทำให้หมอปวดศีรษะไปด้วย เพราะอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งที่มีโรคทางกาย เช่น ความดันโลหิตสูง เป็นไข้ หรืออาจจะเกิดจากภาวะจิตใจมีความกังวล เครียด ซึ่งแน่นอน การตรวจร่างกายจะไม่พบอะไรผิดปกติ ที่สำคัญ ปวดศีรษะอาจเกิดโรคทางสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งโรคเหล่านี้อาจทำให้เสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ตาเป็นอวัยวะที่อยู่บนศีรษะอาจเกิดโรคทำให้ปวดตาลามไปเป็นปวดศีรษะร่วมด้วย การรับความรู้สึกบริเวณดวงตา บริเวณเยื่อหุ้มสมอง หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ต่างก็ถูกควบคุมด้วยเส้นประสาทสมองเส้นที่ 5 (Trigeminal nerve) ดังนั้น การมีโรคทางสมองทำให้ปวดศีรษะอาจร้าวมาถึงบริเวณลูกตาได้ ในทางตรงข้าม โรคทางตาก็อาจร้าวไปทางศีรษะทำให้มีอาการทั้งปวดตาและปวดศีรษะได้เช่นกัน

ความผิดปกติหรือโรคทางตาที่ทำให้มีอาการปวดศีรษะที่พบบ่อยได้แก่ 1. เมื่อยล้าในตา (asthenopia) บางคนอาจมาด้วยอาการปวดศีรษะ ปวดตารอบ ๆ เบ้าตา หรือบางคนแค่รู้สึกเมื่อยล้า เพลีย มักจะมีอาการเมื่อใช้สายตามาก และมีอาการน้ำตาไหล การมองเห็นพร่าลงร่วมด้วย ในกลุ่มนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการใช้สายตา หรือมีสายตาตลอดจนการทำงานร่วมกันของตาสองข้างผิดไป เช่น

1.1 ภาวะสายตาผิดปกติ ได้แก่สายตาสั้น เอียง ยาว ตลอดจนสายตาผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับการแก้ไข

1.2 มีตาเขแบบซ่อนเร้น ซึ่งจะมีอาการปวดตาได้มากกว่าตาเขที่เห็นชัด ๆ ตาเขซ่อนเร้น มักอาศัยการเพ่ง เพิ่มการทำงานของกล้ามเนื้อตาเพื่อหลบภาพซ้อน จึงมีอาการปวดตาได้ง่าย

1.3 การทำงานของกล้ามเนื้อที่ทำให้ตาเบนเข้าของตาสองข้างผิดปกติ (convergence insufficient) กล่าวคือ เวลาเรามองใกล้ดวงตาทั้ง 2 ข้างจะหมุนเข้าหากันใช้ตาทั้ง 2 ข้างโฟกัสไปที่ตัวหนังสือ ในผู้ป่วยบางคน กล้ามเนื้อคู้นี้ทำงานได้ไม่ดี ไม่สามารถคงอยู่ได้นานพอหรือไม่เข้าหากัน เวลามองใกล้นาน ๆ จึงเกิดการเมื่อยล้า

1.4 การหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเพ่ง เวลามองใกล้ กล้ามเนื้อ (ciliary muscle) ต้องเกร็งตัวเพื่อเพิ่มกำลังหักเหของแสง (accommodation reflex) ในผู้ป่วยบางราย กล้าเนื้อนี้ทำงานนาน จึงหดเกร็ง (ciliary spasm) ค้างอยู่ เป็นเหตุให้ปวดตาและอาจเกิดภาวะสายตาเทียม

1.5 ภาวะตาแห้งมักจะมีอาการปวดเมื่อยมากกว่าปวดศีรษะรุนแรง

ภาวะเมื่อยล้าตาในกลุ่มนี้ แก้ไข้ได้ด้วยการพักสายตา ใช้น้ำตาเทียม ฝึกกล้ามเนื้อตา ตลอดจนการให้ยาคลายกล้ามเนื้อเกร็ง (cycloplegic)

2. มีการอักเสบในลูกตาและบริเวณรอบๆลูกตา การอักเสบชนิดต่างๆ อาจเป็นการติดเชื้อ ภูมิแพ้ หรือไม่ทราบสาเหตุก็ได้ มักจะมีอาการแสดงเห็นชัดที่ตา เช่น

2.1 เปลือกตาและถุงน้ำตาอักเสบ จะพบเปลือกตาบวมแดงที่รอบ ๆ หนังตา

2.2 เยื่อบุตา กระจกตาอักเสบ อาจเกิดจากติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา กลุ่มนี้มักมีอาการ ตาแดง น้ำตาไหล ตาสู้แสงไม่ได้ พร่ามัว ตรวจพบการอักเสบหรือมีแผลชัดเจน โดยเฉพาะกระจกตาอักเสบ มักเจ็บปวดและเคืองตามาก

2.3 ตาขาวอักเสบ (scleritis) มักจะพบในผู้ป่วยที่มีโรค rheumatoid ร่วมด้วย

2.4 ม่านตาอักเสบ มักจะมีอาการปวดเบ้าตาลึก ๆ ร่วมกับตาพร่ามัว สู้แสงไม่ได้

2.5 เบ้าตาอักเสบ (orbital cellulitis)

3. ต้อหินเฉียบพลัน เนื่องจากความดันตาที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มักจะมี่อาการปวดตา ปวดศีรษะซีกเดียว ร่วมกับอาเจียนและตามัวอย่างมาก เป็นภาวะที่ควรให้การรักษาทันที ทิ้งไว้อาจทำให้ตาบอดถาวรได้

4. โรคไมเกรน (migraine) ภาวะนี้เชื่อว่า เกิดจาการขยายตัวของหลอดเลือดบริเวณศีรษะ มีการหลั่งของสารเคมี ทำให้มีการอักเสบของเส้นประสาทที่ 5 (trigeminal nerve) จึงเกิดอาการปวดศีรษะร่วมกับสายตามัวลง ลักษณะอาการและอาการแสดงของภาวะนี้อาจเป็น

4.1 ไมเกรนที่ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า (without aura) มักพบปวดหลังตื่นนอน หรือขณะพักผ่อน จะปวดตุ้ม ๆ ไปครึ่งศีรษะ อาการปวดจะค่อย ๆมากขึ้นจนปวดไปทั่วศีรษะ

4.2 ชนิดที่มีอากรเตือนล่วงหน้า (with aura) ถือเป็น classic migraine มักพบอาการทางสมองหรือทางตานำมาก่อน อาการทางสมอง เช่น ง่วงหาวนอน ซึมเศร้า อาการผิดปกติของก้านสมอง หรืออัมพาตของกล้ามเนื้อกลอกตา อาการเตือนล่วงหน้าทางตาที่พบบ่อยก็คือ ตามัวร่วมกับมีแสงประกาย หรือแสงวูบวาบ (scintillating scotoma) เป็นแสงรูปเกือกม้าหยักไปมา ร่วมกับลานสายตาผิดปกติร่วมด้วย อาการเหล่านี้อาจเป็นอยู่นาน 20-40 นาที

4.3 Ophthalmic migraine มักพบในวัยรุ่นโดยมีอาการปวดศีรษะมาก่อนหลายวัน ตามด้วยอัมพาตของกล้ามเนื้อกลอกตา ส่วนมากเป็นกล้ามเนื้อที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทที่ 3 (oculomotor nerve) ภาวะนี้ต้องต้องวินิจแยกโรค กับ aneurysm ที่สมอง

4.4 Retinal migraine มีอาการตามัวคล้ายโรคของจอตาลักษณะคล้ายรูดม่าน มักเป็นชั่วครู่ในตาข้างเดียว อาจเห็นเป็นสีเทา ๆ ขาว ๆ หรือมืดไปเลย

4.5 ไมเกรนที่เป็นช่วง ๆ (cluster migraine) กล่าวกันว่า ชนิดนี้มาพบหมอตามากที่สุด มักจะปวดศีรษะร่วมกับปวดเบ้าตาข้างหนึ่ง ร่วมกับตาแดง น้ำตาไหล หนังตาตก รูม่านตาหดเล็ก มักเป็นตอนกลางคืนในผู้ชายสูงอายุ ปวดอยู่ประมาณ 20 นาที ทุกวัน โดยมีอาการเป็นช่วง ๆ ช่วงละประมาณ 6-12 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการจะหายไปเป็นเดือนหรือปี อาจเป็นซ้ำได้

5. นอกจากนี้ภาวะบางอย่าง เช่น ภาวะขาดเลือดของเส้นประสาทตา (ischemic optic neuropathy) ภาวะ inflammatory optic neuropathy แม้แต่ภาวะเนื้อร้ายกระจายมายังเบ้าตา ก็อาจทำให้ปวดตา ปวดศีรษะได้