สะเก็ดเงิน อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคสะเก็ดเงิน 7 วิธี

โรคสะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงิน โรคเกล็ดเงิน โรคเรื้อนกวาง หรือโซริอาซิส (Psoriasis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อและไม่ใช่โรคติดต่อ รอยโรคมีลักษณะขึ้นเป็นผื่นหรือปื้นและมีเกล็ดสีเงินปกคลุม สามารถพบเกิดกับผิวหนังได้ทุกส่วน แต่ที่พบได้บ่อยคือ ผิวหนังส่วนข้อศอกและเข่าด้านนอก ผิวหนังส่วนด้านหลัง หลังมือ หลังเท้า หนังศีรษะ และใบหน้า ผู้ป่วยมักมีอาการแบบเป็น ๆ หาย ๆ นานแรมปีหรือตลอดชีวิต ทำให้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

โรคสะเก็ดเงินจัดเป็นโรคผิวหนังที่พบได้เรื่อย ๆ แต่ไม่ถึงกับบ่อยมาก (ประมาณ 1-3% ของคนทั่วไป) สามารถพบได้ในคนทุกวัยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่พบได้มากในผู้ใหญ่ เพราะปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคในเด็กยังมีไม่มาก เช่น ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โอกาสที่พบในผู้หญิงและในผู้ชายมีใกล้เคียงกัน ผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 10-40 ปี ผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 3 พบว่ามีประวัติโรคนี้ในครอบครัว และอาการมักจะกำเริบเมื่อมีปัจจัยมากระตุ้น (ที่พบบ่อยคือ ความเครียด)

ผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินเพราะมีความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นพื้นฐานแล้วมีสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการและอาการแสดงทางผิวหนัง เล็บ และข้อร่วมด้วย แต่ความผิดปกติทางพันธุกรรมไม่จำเป็นที่บิดา มารดา หรือญาติพี่น้องจะต้องเป็นโรคนี้กันทุกคน เพียงแต่ว่าผู้ป่วยโรคนี้จะมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะเป็นโรคนี้อยู่

สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน

โรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุในการเกิดที่แน่ชัด แต่จากการศึกษาเชื่อว่า เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน (ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงสาเหตุเดียว) เช่น พันธุกรรม ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน และปัจจัยกระตุ้นจากภายนอก ส่งผลให้เซลล์ผิวหนังส่วนนั้นแบ่งตัวเร็วกว่าปกติร่วมกับเกิดการอักเสบจึงเกิดเป็นปื้น (Plaque) หรือเป็นแผ่นหนา แดง คันและตกสะเก็ด

ในคนปกตินั้น เซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าจะมีการงอกใหม่จากชั้นใต้ผิวหนังขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวหนังบนชั้นนอกสุดที่แก่ตัวตายและหลุดออกไปเป็นวัฏจักร โดยเซลล์ผิวหนังที่งอกใหม่จะใช้เวลาเคลื่อนตัวจากชั้นใต้ผิวหนังขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดประมาณ 26 วัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินนี้ บริเวณรอยโรคจะมีการแบ่งตัวหรือการงอกของเซลล์ผิวหนังใหม่เร็วกว่าปกติ และใช้เวลาเคลื่อนตัวจากชั้นใต้ผิวหนังขึ้นมาชั้นนอกสุดของผิวหนังเพียงประมาณแค่ 4 วัน ทำให้เซลล์ผิวหนังที่แก่ตัวหลุดออกในอัตราความเร็วที่ไม่ทันกับการงอกของเซลล์ใหม่ จึงทำให้เกิดการหนาตัวของผิวหนังกลายเป็นตุ่มหรือปื้น และมีเกล็ดสีเงินปกคลุมซึ่งหลุดลอกออกง่าย

มีการสันนิษฐานว่าความผิดปกติดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับความแปรปรวนของระบบภูมิคุ้มกัน กล่าวคือ ลิมโฟไซต์ ชนิด T cells (ปกติจะทำหน้าที่ในการต่อสู้กับเชื้อโรค) ถูกกระตุ้นให้ทำงานมากเกินไป เมื่อเคลื่อนตัวมาที่ชั้นใต้ผิวหนัง ก็จะทำงานร่วมกับสารอื่น ๆ กระตุ้นให้เซลล์หนังกำพร้าเกิดการแบ่งตัวและเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วผิดปกติ และก่อให้เกิดการอักเสบของผิวหนังทั้งในชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้

โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่มีแบบแผนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไม่ชัดเจน โดยพบว่าถ้าบิดาและมารดาเป็นโรคนี้ บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 65-83% ถ้าบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเป็นโรค บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ลดลงเหลือ 28-50% หรือถ้ามีพี่น้องในครอบครัวเป็นโรคนี้โดยที่บิดาและมารดาไม่ได้เป็นโรค บุตรคนถัดไปที่เกิดมาก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 24% แต่ถ้าทั้งบิดาและมารดาไม่เป็นโรคนี้เลย บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยลงไปเหลือเพียง 4% โดยลักษณะทางพันธุกรรมนี้เป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานของการเกิดโรค และการเกิดอาการของโรคก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว แม้ผู้ป่วยจะมีลักษณะทางพันธุกรรมของโรคสะเก็ดเงินอยู่ก็ตาม แต่ถ้าไม่มีปัจจัยอื่น ๆ มากระตุ้นหรือส่งเสริมมากระทบ ผู้ป่วยก็จะไม่เกิดอาการของโรค ดังนั้นผู้ป่วยแต่ละรายจึงควรสังเกตและพยายามหาให้ได้ว่ามีปัจจัยแวดล้อมอะไรบ้างที่ทำให้โรคกำเริบ แล้วพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้โรคกำเริบ เพราะปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบในผู้ป่วยแต่ละรายนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนกันแต่อย่างใด

ปัจจุบันพบว่ามียีนผิดปกติของโรคนี้อยู่มากกว่า 8 ชนิด ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายจะมียีนผิดปกติที่ไม่เหมือนกัน จึงทำให้มีอาการแสดงได้หลากหลายรูปแบบ นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าผู้ที่มียีนของโรคนี้แฝงอยู่ในร่างกายมีจำนวนถึง 1 ใน 3 ที่ไม่มีอาการ ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการ

ปัจจัยกระตุ้นหรือส่งเสริมให้เกิดโรคสะเก็ดเงิน

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยจำนวนมากอาจไม่พบว่ามีสาเหตุอะไรเป็นตัวกระตุ้นก็ได้

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคสะเก็ดเงินกำเริบหรือรุนแรงมากขึ้น

โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกาย รวมทั้งปัจจัยทางด้านจิตใจ เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคหรือส่งเสริมให้โรคที่สงบอยู่กำเริบ เป็นมากขึ้น หรือโรคยังคงเป็นอยู่และดำเนินต่อไป

อาการของโรคสะเก็ดเงิน

อาการของโรคนี้มีหลายรูปแบบ ที่พบได้บ่อยคือ การเกิดผื่นเป็นปื้นผิดปกติบนผิวหนัง อาจเกิดเพียงจุดเดียวหรือหลายจุดพร้อม ๆ กันทั่วตัวก็ได้ โดยทั่วไปรอยโรคจะมีลักษณะเป็นปื้นหนา แห้ง แดง คัน และตกสะเก็ดเป็นสีเงิน เมื่อเกิดที่แขนหรือขาก็มักจะเกิดพร้อมกันทั้งข้างซ้ายและข้างขวา ซึ่งถ้าเป็นมากผู้ป่วยอาจมีเลือดออกในปื้นนี้ได้ และ/หรือลุกลามเข้าไปในเล็บ หรือมีการอักเสบของข้อต่าง ๆ ร่วมด้วย

อาการแสดงของโรคนี้มีหลายชนิด ซึ่งผู้ป่วยอาจเป็นเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดร่วมกันก็ได้ ดังนี้

ภาวะแทรกซ้อนของโรคสะเก็ดเงิน

การวินิจฉัยโรคสะเก็ดเงิน

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากประวัติอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการใช้ยาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประวัติในครอบครัว การตรวจร่างกาย ตรวจความผิดปกติของผิวหนัง ส่วนในรายที่มีอาการไม่ชัดเจน อาจต้องทำการตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) โดยการตัดเนื้อเยื่อผิวหนังส่งพิสูจน์ และอาจมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

วิธีรักษาโรคสะเก็ดเงิน

หากสงสัยว่าเป็นโรคสะเก็ดเงินควรปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์จะให้การรักษาไปตามชนิดและความรุนแรงของโรคสะเก็ดเงิน ตามแนวทางดังต่อไปนี้

  1. เมื่อเกิดผื่น ทั้งผื่นคันหรือผื่นไม่คัน ที่อาการไม่ดีขึ้นหรืออาการเลวร้ายลงภายหลังจากดูแลตนเองภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีสิ่งผิดปกติต่าง ๆ เช่น แผลเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ เกิดซ้ำในที่เดียวกันตลอด หรือผิวหนังมีก้อนเนื้อ ควรรีบไปพบแพทย์ภายใน 1 สัปดาห์หลังพบความผิดปกติ เพื่อวินิจฉัยแยกโรคว่าไม่ใช่เกิดจากโรคมะเร็ง
  2. สำหรับรอยโรคที่ผิวหนัง ในรายที่เป็นน้อย (มีผื่นน้อยกว่า 10% ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย โดยผื่นขนาดประมาณ 1 ฝ่ามือจะเท่ากับพื้นที่ประมาณ 1%) มีรอยโรคเพียงไม่กี่แห่ง แพทย์จะให้ทาครีมสเตียรอยด์ เช่น ครีมไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ (Triamcinolone acetonide) หรือขี้ผึ้งน้ำมันดินหรือโคลทาร์ (Coal tar) ชนิด 1-5% หรืออาจใช้ทั้ง 2 สลับกัน เพื่อป้องกันการดื้อยา
    • ในรายที่เป็นมากขึ้น อาจหลีกเลี่ยงการใช้ครีมสเตียรอยด์ หรือใช้ทาเฉพาะบริเวณที่เป็นปื้นหนา และบางครั้งแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยอาบแดดในช่วงเวลา 10.00-14.00 น. โดยให้เริ่มอาบด้านละ 5-10 นาทีก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลานานขึ้น จนถึงขั้นทำให้เกิดรอยแดงเรื่อ ๆ ที่ผิวหนังภายใน 24 ชั่วโมงหลังอาบแดด ซึ่งส่วนใหญ่จะอาบแดดนานประมาณ 15-20 นาที โดยให้ทำประมาณสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะช่วยให้ผื่นยุบไปได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ (แสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลตจะมีฤทธิ์ทำให้ลิมโฟไซต์ชนิด T cells ตาย ส่งผลให้การแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังชะลอลง จึงช่วยลดการเกิดเกล็ดเงินและการอักเสบของผิวหนังได้) แต่มีข้อควรระวัง คือ อย่าอาบแดดนานเกินไป และควรใช้ผ้าคลุมหน้าเพื่อป้องกันมิให้ผิวหน้าถูกแดดมากเกินไป และบางรายอาจแพ้แดดทำให้อาการของโรคกำเริบขึ้นมาได้
    • วิธีรักษาโรคสะเก็ดเงินให้หายขาดผู้ป่วยบางรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เป็นโรคสะเก็ดเงินชนิดปื้นหนา แพทย์อาจให้ผู้ป่วยทาขี้ผึ้งแอนทราลิน (Anthralin ointment) พร้อมกับการอาบแดด (สำหรับในโรงพยาบาลขนาดใหญ่อาจใช้วิธีฉายแสงอัลตราไวโอเลตบี (UVB) แทนการอาบแดดก็ได้) ซึ่งถ้าได้ผลผื่นจะยุบไปภายใน 3-4 สัปดาห์ แต่มีข้อควรระวังคือ ยาทาชนิดนี้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ ถ้าพบอาการระคายเคืองควรหยุดใช้ยา และห้ามใช้ยานี้ทาบนใบหน้า ข้อพับ และอวัยวะเพศ ในบางกรณีแพทย์อาจเลือกใช้ยาทาชนิดอื่น ๆ เช่น แคลซิโปทรีน (Calcipotriene) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินดี, ทาซาโรทีน (Tazarotene) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอหรือเรตินอยด์ (ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์) เป็นต้น โดยอาจใช้เดี่ยว ๆ หรือใช้ร่วมกับยาอื่น หรือร่วมกับการฉายแสงอัลตราไวโอเลต
    • นอกจากนี้แพทย์จะให้การรักษาไปตามอาการ เช่น ถ้ามีอาการคัน แพทย์จะให้ยาแก้แพ้, ถ้าผิวหนังแห้งจะให้ทาด้วย Petroleum liquid paraffin เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง, ถ้าเกล็ดหนามากแพทย์จะให้ยาละลายขุย เช่น ครีมยูเรียหรือกรดซาลิไซลิก, ถ้ามีอาการปวดหรือมีไข้ จะให้ยาแก้ปวดลดไข้ เป็นต้น
  3. สำหรับรอยโรคที่หนังศีรษะ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยสระผมด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน เช่น ทาร์แชมพู สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ส่วนในรายที่มีขุยที่หนังศีรษะมาก แพทย์อาจให้โลชั่นที่เข้าสเตียรอยด์ (Steroid scalp lotion) ไปทาวันละ 1-2 ครั้ง
  4. สำหรับอาการข้ออักเสบ แพทย์จะให้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพื่อบรรเทาอาการอักเสบ
  5. ในรายที่เป็นรุนแรง หรือดื้อต่อการรักษา แพทย์อาจต้องใช้ยาชนิดกิน เช่น การให้กินยาโซลาเรน (Psoralen) ร่วมกับการฉายแสงอัลตราไวโอเลตเอ การให้กินยากลุ่มเรตินอยด์ เมโทเทรกเซท (Methotrexate) หรือไซโคลสปอริน (Cyclosporin) ที่เป็นยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย ซึ่งวิธีการรักษาเหล่านี้ควรให้แพทย์โรคผิวหนังเป็นผู้ดูแลในการรักษาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผลข้างเคียงและข้อควรระวังของยาแต่ละชนิดแตกต่างกันไป
    • ในปัจจุบันนี้มียาใหม่ที่มีผลข้างเคียงน้อย แต่มีราคาแพง เช่น อีทาเนอร์เซ็บท์ (Etanercept), อินฟลิกซิแม็บ (Infliximab) เป็นต้น ซึ่งเป็นสารชีวภาพที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยับยั้งการทำงานของลิมโฟไซต์ได้ แพทย์อาจเลือกใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ป่วยที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผลหรือมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ร้ายแรงของยาอื่น
  6. การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคสะเก็ดเงิน ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำต่อไปนี้
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคสะเก็ดเงินกำเริบหรือรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะความเครียด การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์
    • อาบน้ำโดยใช้สบู่เด็กอ่อน หรืออาจใช้สบู่สำหรับผิวแห้งมาก (สบู่ผสมน้ำมัน) ในบริเวณผิวหนังส่วนที่มีรอยโรค
    • อาบแดดอ่อน ๆ ทุกวันตามคำแนะนำของแพทย์
    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ
      ควรรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดี
    • ควรไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบไปพบแพทย์ก่อนนัดเมื่ออาการต่าง ๆ ที่เป็นอยู่เลวร้ายลง หรือมีอาการผิดปกติไปจากเดิม หรือเมื่อมีความกังวลในอาการ
  7. เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบซ้ำ ผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
    • หลีกเลี่ยงการซื้อยาชุด ยาสมุนไพร และยาลูกกลอนกินเอง เพราะอาจเกิดอาการแพ้ยาทำให้โรคกำเริบได้ หรือหากได้รับยาสเตียรอยด์ที่ผสมอยู่ในยาชุดหรือยาลูกกลอน ซึ่งแม้ว่าจะทำให้โรคทุเลาลงได้ แต่ถ้าหยุดใช้ยาก็อาจทำให้โรคกำเริบรุนแรงได้ โดยทั่วไปแพทย์จะหลีกเลี่ยงการให้ยาสเตียรอยด์ชนิดกินแก่ผู้ป่วย แต่จะให้ใช้สเตียรอยด์ชนิดทาหรือฉีดเฉพาะที่แทน เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบหลังจากหยุดยา
    • หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บหรือถูกขีดข่วนที่ผิวหนัง
    • งดการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
    • ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดหลับอดนอน หรือตรากตรำทำงานหนักจนเกินไป
    • พยายามอย่าให้เกิดภาวะเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยการหันมาออกกำลังกายเป็นประจำ ทำสมาธิ ฝึกโยคะ ชี่กง รำมวยจีน หางานอดิเรกทำ เป็นต้น
    • ควรอาบแดดหรือให้ผิวหนังได้ถูกแสงแดดบ้าง แต่ไม่ควรให้ถูกแสงแดดนานเกินไป ยกเว้นในรายที่แพ้แดด ควรหลีกเลี่ยงการถูกแดด

เนื่องจากโรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน และยังไม่มีการรักษาใดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด หลักการรักษาโดยรวมจึงเป็นการรักษาแบบผสมผสานกันไป (Combination therapy) เพื่อให้ผลการรักษาดีขึ้น สามารถลดขนาดของยาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาได้ นอกจากนี้ การรักษาก็ไม่ควรใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเป็นเวลานาน ๆ แต่ควรใช้วิธีหมุนเวียนการรักษา (Rotation therapy) เพื่อลดขนาดยาโดยรวม ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงของการรักษา และเพื่อให้โรคสงบได้นานขึ้น

ยารักษาโรคสะเก็ดเงิน

การรักษาด้วยการใช้ยาทา (Topical therapy) ได้แก่

การรักษาด้วยการฉายแสง (Phototherapy) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการรักษาสะเก็ดเงิน ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ รังสีอัลตราไวโอเลตเอและบี ซึ่งผู้ป่วยต้องมารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน โดยจะให้ผลการรักษาดีประมาณ 70-80% ขึ้นไป ผลข้างเคียงโดยรวมพบได้น้อย การกลับมาเป็นซ้ำของโรคจะน้อยกว่ายาทาหรือยากิน

การรักษาด้วยการใช้ยาแบบ Systemic therapy

การรักษาด้วยยาชีวบำบัด (Biological therapy) ได้แก่

คำแนะนำเกี่ยวกับโรคสะเก็ดเงิน

วิธีป้องกันโรคสะเก็ดเงิน

เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงยังไม่มีวิธีป้องกัน แต่ที่พอทำได้คือการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่พอเลี่ยงได้ (เช่น ภาวะความเครียด ความอ้วน) และรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “โซริอาซิส/โรคเกล็ดเงิน (Psoriasis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1019-1024.
  2. ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “สะเก็ดเงิน คืออะไร”.  (รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [11 มิ.ย. 2016].
  3. ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)”.  (ผศ.พญ.ชนิษฎา วงษ์ประภารัตน์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [11 มิ.ย. 2016].
  4. ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.  “โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)”.  (อ.พญ.ดร.จงกลนี วงศ์ปิยะบวร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.cai.md.chula.ac.th/lesson/lesson4806/.  [12 มิ.ย. 2016].
  5. หาหมอดอทคอม.  “โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [12 มิ.ย. 2016].

ภาพประกอบ : dylansteinacupuncture.com, qsota.com, www.galdermabenelux.com, www.mayoclinic.org, ww.stelarainfo.com, www.healthline.com, www.minnesotaskin.com, www.papaa.org, www.health24.com, byebyedoctor.com, www.pcds.org.uk, www.health.auckland.ac.nz, www.torontopsoriasiscentre.com, www.onlinedermclinic.com, www.clevelandclinicmeded.com, noskinproblems.com, www.dermquest.com, hickeysolution.com, www.psoriasisexpert.org, www.psoriasis.com, escholarship.org, www.hometreatmentcure.com, healthh.com, www.onlinedermclinic.com., conditions.healthguru.com, noskinproblems.com, psoriasisfreetips.com, mddk.com, www.danderm-pdv.is.kkh.dk, www.clinicaladvisor.com, www.physio-pedia.com, www.prnewswire.com, emedicine.medscape.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคสะเก็ดเงิน
  • 2 สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน
  • 3 อาการของโรคสะเก็ดเงิน
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของโรคสะเก็ดเงิน
  • 5 การวินิจฉัยโรคสะเก็ดเงิน
  • 6 วิธีรักษาโรคสะเก็ดเงิน
  • 7 ยารักษาโรคสะเก็ดเงิน
  • 8 คำแนะนำเกี่ยวกับโรคสะเก็ดเงิน
  • 9 วิธีป้องกันโรคสะเก็ดเงิน
  • 10 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ